บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน

บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน

last updateLast Updated : 2025-05-26
By:  AesmechUpdated just now
Language: Thai
goodnovel16goodnovel
Not enough ratings
9Chapters
19views
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

"กงล้อโชคชะตาของเจ้าหญิงต้องสาป" ในฐานะพระธิดาองค์โตของจักรวรรดิ อากาธีร์ "ออเรเลีย" ควรได้รับความรักและยกย่อง—แต่เธอกลับเป็นเพียงเงาที่ถูกทอดทิ้งในวังหลวง เด็กหญิงเติบโตมาอย่างเดียวดาย ท่ามกลางสายตาเย็นชาของผู้เป็นบิดา และเสียงกระซิบเย้ยหยันของเหล่าขุนนางที่ตราหน้าว่าเธอเป็น "เจ้าหญิงไร้ค่า" ทว่ามีบางสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น... ความสามารถที่เกินวัย สัมผัสประหลาดเมื่อสบตากับบางคน และฝันร้ายที่ดูสมจริงจนน่าหวาดกลัว มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน...

View More

Chapter 1

ออเรเลีย วอน อากาธีร์

เด็กหญิงสะดุ้งตื่นจากหลับที่ไร้ซึ่งความสงบ เปลือกตาของเธอเบิกกว้างขึ้นเพื่อเผยให้เห็นความโอ่อ่าตระการรายล้อมตัว ห้องนี้ประดับประดาไปด้วยพรมแขวนผนังและเฟอร์นิเจอร์ปิดทอง เป็นภาพแสดงถึงความมั่งคั่งที่ดูเย็นชาและไม่เป็นมิตร ราวกับว่าผนังของพระราชวังเองก็กระซิบเล่าเรื่องราวแห่งความยิ่งใหญ่ แต่กลับซ่อนความลับไว้ใต้พื้นผิวที่ถูกขัดเกลาให้เป็นประกาย

เธอลุกขึ้นนั่งและขยี้ตาที่ยังเคลิบเคลิ้ม เธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสามขวบ แต่มีลักษณะเด่นที่ทำให้เธอแตกต่างจากคนอื่น ผมของเธอพลิ้วไหวราวกับสายน้ำสีม่วงเข้ม โอบล้อมใบหน้าที่บอบบางของเธอไว้ ในขณะที่ดวงตาสีเขียวสดใสของเธอแผ่วบ่งบอกถึงความตระหนักรู้บางอย่างที่เกินวัย ผิวขาวบริสุทธิ์ของเธอเกือบจะเรืองแสงท่ามกลางโทนสีเข้มของห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ทำให้เธอดูราวกับเทพธิดาในสภาพแวดล้อมนี้

ความรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกประหลาดค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในทรวงอกน้อยๆ ของเธอ หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับร่างที่เธออาศัยอยู่นี้เคย "ทำบางสิ่ง—บางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว" มาก่อน แต่เมื่อเธอนั่งขึ้น นิ้วน้อยๆ ของเธอกำผ้าปูที่นอนไหมเอาไว้ เธอก็ไม่อาจจับรายละเอียดของสิ่งที่หลอกหลอนเธอได้ ความทรงจำเหล่านั้นถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา อยู่แค่เอื้อมแต่กลับจับต้องไม่ได้

เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วนอกหน้าต่างดึงความสนใจของเธอ เสียงร้องที่เปี่ยมสุขของพวกมันดูขัดแย้งอย่างชัดเจนกับความเงียบงันที่ห่อหุ้มพระราชวังไว้ ช้าๆ ออเรเลียหันศีรษะไปทางหน้าต่าง ที่ซึ่งแสงอาทิตย์สาดส่องผ่านม่านหนัก ทอดแสงอ่อนลงบนพื้น หอมกลิ่นไหมลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับความเหนื่อยล้าที่ยังคงเกาะกุมเธอไว้ราวกับเงามืด

เธอสูดลมหายใจลึกๆ ปล่อยให้ช่วงเวลานี้ซึมซับเข้าไปในตัว เธอรู้สึกถึงน้ำหนักแปลกประหลาดที่กดทับอยู่บนหัวใจ เธอเป็นใคร? ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งสำคัญในตัวเธอหายไป? ความโหยหาอันยากจะอธิบายค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายใน เจือปนกับความไม่สงบในจิตวิญญาณของเธอ

เธอปล่อยให้เท้าเล็กๆ ของเธอสัมผัสกับพื้นหินอ่อนเย็นยะเยือก แล้วค่อยๆ ยันตัวขึ้นมายืนอย่างไม่มั่นคง รอบตัวเธอ การตกแต่งอันหรูหรารู้สึกทั้งสวยงามและอึดอัด ราวกับว่ามันเป็นกับดักที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกักขังเธอไว้ในกรงทองคำนี้ เธอมองไปรอบๆ พยายามหาคำตอบจากแสงสีทองที่สาดส่องเข้ามาในมุมมืดของห้อง

ไม่นานหลังจากที่เธอตื่นขึ้น พี่เลี้ยงของเธอก็เข้ามาในห้อง สายตาที่มองเหยียดขาดความเคารพพร้อมท่าทางที่แข็งกระด้าง สิ่งที่หญิงรับใช้แสดงออกมาคือความไม่พอใจที่เกาะกุมเธอเหมือนเมฆหนา "มาเถอะเพคะฝ่าบาท" พี่เลี้ยงพูดด้วยน้ำเสียงที่ขาดความอ่อนโยน "เดี๋ยวกระหม่อมจะทรงเครื่องให้เพคะ"

เด็กสาวพยักหน้า เด็กสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สู่สวนอันกว้างใหญ่ ขณะที่พี่เลี้ยงช่วยเธอแต่งตัว—ดึงเสื้อผ้าให้เธอด้วยความรวดเร็วที่ดูเหมือนการฝึกทหารมากกว่าการดูแลอย่างเอาใจใส่— ต้นไม้และดอกไม้สีสันสดใสเรียกเธอ ความงดงามของมันตัดกับความรู้สึกภายในที่มืดมนของเธออย่างชัดเจน

“ฝ่าบาทเพคะ นี่ของหวานที่ทรงโปรด”

เสียงของหญิงรับใช้ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับถาดเงินที่มีขนมอบวางอยู่ เธอหันไปมอง สีหน้าเธอไม่เปลี่ยนแปลงนัก มือเล็กเอื้อมไปหยิบขนมขึ้นมา มองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดคำเล็กๆ

หวาน แต่ไม่อร่อย

รสชาติของขนมอบนี้ให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งที่เธอเคยลิ้มลองมาก่อน แต่กลับแตกต่างอย่างน่าประหลาด เหมือนเธอรู้จักมันดี แต่ขณะเดียวกันก็นึกไม่ออกว่าเคยกินมันเมื่อไหร่ ความคิดนี้ทำให้เธอขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะวางขนมลงอย่างเสียไม่ได้

หญิงรับใช้มองเด็กหญิงอย่างลังเลเล็กน้อย

“ฝ่าบาท…ไม่ทรงโปรดหรือเพคะ?”

“เป่า....” เธอตอบสั้นๆ แต่ไม่อาจอธิบายเหตุผลที่แท้จริงได้

ในห้องอาหารที่กว้างขวางแห่งนี้ ทุกสิ่งดูหรูหรา เพดานประดับด้วยลวดลายทองคำ ผนังตกแต่งด้วยภาพวาดวิจิตร แต่กลับให้ความรู้สึกเวิ้งว้างราวกับกล่องอันกว้างใหญ่ที่ขังเธอเอาไว้ เด็กสาวนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนประดับด้วยเมฆขาวลอยละล่อง เธอชอบมองท้องฟ้า มันทำให้เธอรู้สึกสงบ...หรือบางทีอาจเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกเหมือน ‘อิสระ’ ที่เธอไม่มี

เธอรู้ว่าตัวเองชื่อ ‘ออเรเลีย’ เป็นองค์หญิงแห่งจักรวรรดิและตัวเธอ...ก็เป็นเพียงองค์หญิงที่ถูกมองข้าม ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครใส่ใจ ทุกสิ่งเหล่านี้เธอรับรู้ แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีใครเคยบอกเธอแท้ๆ แต่กลับรับรู้ได้อย่างน่าประหลาด คำพูดต่างๆ ที่ไหลออกมาจากคนรับใช้ สัมผัสของความเงียบงันในห้องนี้ที่เหมือนเคยรู้สึก ความชินกับความเย็นของพื้นใต้ฝ่าเท้า ทุกอย่างดู ‘คุ้นเคย’ จนน่าขนลุก

แต่เธอกลับจำอะไรไม่ได้เลย

มันเหมือนมีเงาบางอย่างหล่นทับในห้วงความคิดของเธอ ไม่อาจมองเห็น ไม่อาจจับต้อง แต่ก็มีตัวตนอยู่จริง

 

"ยายี่ ข้าอยากไปเดินเล่นที่ฉวน"

หญิงรับใช้มองเด็กสาวด้วยความตกใจเล็กน้อยก่อนจะตอบรับประสงค์ของผู้เป็นนาย "เพคะฝ่าบาท"

เมื่อพร้อมแล้ว ออเรเลียถูกพาออกไปสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยแสงแดด แต่ก็ยังกลับรู้สึกเหมือนถูกขังไว้ในกรงอยู่ดี หัวใจน้อยๆ ของเธอจับผ้าชุดไว้แน่นขณะที่พวกเธอเดินเข้าไปในสวน กลิ่นหอมของดอกไม้โอบล้อมเธอ ช่วยให้จิตใจเธอเบาลงชั่วคราว สวนแห่งนี้เป็นเหมือนภาพวาดขนาดใหญ่ ที่ประดับไปด้วยดอกไม้หลากสี—ลาเวนเดอร์ กุหลาบ และทิวลิปหลากสีสัน แสงแดดส่องผ่านใบไม้ด้านบน สร้างเงารูปแบบต่างๆ บนพื้นดิน

ภายในสวน ออเรเลียสังเกตเห็นโต๊ะน้ำชาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางดอกไม้ ถูกจัดวางอย่างสมบูรณ์แบบด้วยถ้วยชาที่สวยงาม ราวกับว่ามันกำลังรอคอยใครสักคน แต่กลับโดดเดี่ยว—เป็นเหมือนโอเอซิสที่เงียบสงบ

พี่เลี้ยงดึงเธอเบาๆ ให้เดินตาม แต่เท้าของออเรเลียกลับหยุดอยู่กับที่ เธอรู้สึกหลงใหลในความงามของดอกไม้ที่รายล้อม อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอเดินไปเรื่อยๆ ความสับสนก็ค่อยๆ โอบล้อมเธอ สวนแห่งนี้กว้างใหญ่และซับซ้อนเต็มไปด้วยทางเดินที่วกวน เด็กสาวเดินหน้าไปตามทางเรื่อยๆประหนึ่งเหมือนมีบางสิ่งกำลังเรียกหาเธอ สองเท้าเล็กๆเดินไปตามทางได้อย่างชำนาญเหมือนเคยเดินผ่านเส้นทางนี้มานับครั้งไม่ถ้วน

ขณะที่เธอเดินไปตามทางที่คดเคี้ยว หัวใจของเธอเริ่มเจ็บปวดกับความรู้สึกโหยหาบางอย่างหรือบางคนที่เธอไม่สามารถจับต้องหรือพบเจอได้ กลีบดอกไม้ที่สวยงามรอบตัวเริ่มพร่ามัว ความงามที่เคยมีกลายเป็นน้ำหนักที่ทับถมอกของเธอ เธอรู้สึกถึงความเศร้า ที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ราวกับว่าดอกไม้กำลังกระซิบถึงความสุขที่เธอไม่สามารถเข้าถึงได้ น้ำตาไหลลงแก้มเธอโดยไม่ทันตั้งตัว เป็นสัญลักษณ์ของความว่างเปล่าภายในที่เธอรู้สึก

มือเล็กๆ ของออเรเลียสัมผัสดอกไม้ขณะที่เธอดันตัวเองไปข้างหน้า เพื่อหาความสบายใจท่ามกลางกลีบดอกไม้ เธอรู้สึกเชื่อมโยงกับสถานที่แห่งนี้ ความเจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในหัวใจของเธอ ราวกับว่าสวนแห่งนี้สะท้อนความทรงจำของเสียงหัวเราะและแสงสว่างที่เธอไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ดึงเธอออกจากความคิด ออเรเลียหันไปเห็นชายร่างสูงอายุราวยี่สิบกลางๆ ก้าวเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจ ผมสีทองของเขาเป็นประกายใต้แสงแดด และเขาสวมชุดที่หรูหราสมฐานะของจักรพรรดิ สีหน้าของเขาแสดงถึงความโกรธ และออร่าของอำนาจรอบตัวเขาที่เหมือนเข็มพุ่งตรงทิ่มแทงมาที่เด็กสาว

"เจ้ามาทำอะไรที่นี่?" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด เต็มไปด้วยความดุดันที่ทำให้อากาศรอบตัวสั่นไหว "ใครอนุญาตให้เจ้าสามารถมาเหยียบย่ำสถานที่แห่งนี้?" คำพูดของเขาเหมือนน้ำแข็งที่ตัดผ่าน หยาบเกินไปสำหรับเด็กอายุเพียงสามขวบ ถ้าเป็นเด็กทั่วไปถูกดุด้วยเสียงดังขนาดนี้จะต้องหวาดกลัวไม่ก็ร้องไห้ออกมาแล้ว แต่เด็กสาวกลับไม่เป็นเช่นนั้น ออเรเลีย หยุดนิ่งไม่ได้ตอบกลับอะไร 

"นิ่งแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร ข้ากำลังถามเจ้า หูหนวกไม่ได้ยินหรือไม่มีปากให้พูดรึ?

ก่อนที่เด็กสาวจะรวบรวมความคิดได้ สาวใช้พี่เลี้ยงของเธอก็รีบเข้ามา ใบหน้าซีดด้วยความกังวล "ขออภัยเพคะฝ่าบาท" สาวใช้พี่เลี้ยงพูดพร้อมโค้งคำนับอย่างลึก เสียงของเธอสั่นด้วยความหวาดกลัว "กระหม่อมจะพาองค์หญิงออกไปตอนนี้เพคะ" เธออุ้มออเรเลียขึ้นและรีบพาเธอออกจากความโกรธของจักรพรรดิด้วยท่าทีร้อนรน

ออเรเลียแทบไม่มีเวลาที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่สาวใช้พี่เลี้ยงจะพาเธอกลับไปตามทางสู่ปราสาท ขณะที่อยู่ในอ้อมกอดสาวใช้พี่เลี้ยง ออเรเลียเหลือบมองกลับไปที่จักรพรรดิ ร่างของเขายืนโดดเด่นท่ามกลางดอกไม้ ราวกับว่าเป็นภาพวาดที่งามวิจิตร ความสับสนโถมทับเธอ ทำไมเธอถึงรู้สึกโหยหาเขา แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอยากถอยห่างจากสายตาของเขา?

"ฝ่าบาททรงแอบหนีไปไหนด้วยตัวคนเดียวโดยไม่บอกหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ!" พี่เลี้ยงดุเธอเบาๆ ขณะที่พวกเขาเดิน "ฟังให้ดีนะเพคะฝ่าบาท วังนั้นเป็นวังต้องห้ามหลังจากนี้ห้ามท่านไป ณ ที่แห่งนั้นอีกเป็นอันขาด"

"ข้าขอโทษ ยายี่"

"หม่อมฉันชื่อ รารี่ เพคะฝ่าบาท" สาวใช้พี่เลี้ยงถอนหายใจ ด้วยบรรยากาศที่แปลกไปของเด็กสาวตรงหน้าในวันนี้ทำให้นางเผลอลืมตัวไปว่าเด็กสาวตรงหน้านางเป็นเด็กวัยเพียงแค่สามขวบที่ยังไม่ประสีประสาต่อโลก 

ออเรเลียกัดริมฝีปากของเธอ เก็บกดความอยากที่จะเถียง ภายในใจลึกๆ ของเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังตื่นขึ้น พร้อมกับคำถามที่ว่าเธอทำอะไรผิด? แต่ไม่นานความโกรธเกรี้ยวนั้นก็สงบลง เหมือนมีบางอย่างมาคอยดึงรั้งสติของเธอไว้ให้กลับมาใจเย็นลงแล้วเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดแทน

เด็กสาวกลับถึงห้องของเธอ ความว่างเปล่ากลืนกินความคิดของเธอ เด็กสาวครุ่นคิดถึงความเชื่อมโยงที่แปลกประหลาดกับชายคนที่เธอเพิ่งพบ 

"เสด็จป่อ?"


วันต่อมาหลังจากเหตุการณ์ในสวน ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นลอยอยู่ในอากาศเหมือนเมฆก่อนพายุ ออเรเลียรู้สึกได้ถึงมัน เธอตระหนักดีถึงปัญหาที่เธอสร้างให้กับสาวใช้พี่เลี้ยง ซึ่งตอนนี้ปฏิบัติต่อเธอด้วยท่าทางเย็นชาที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการดุด่าใดๆ มันเหมือนกับกำแพงกั้นขนาดใหญ่ที่เจ้าหญิงน้อยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อทลายมัน

สาวใช้พี่เลี้ยงของเธอเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วดูแลความต้องการของ ออเรเลีย แค่เฉพาะเท่าที่จำเป็นในบางครั้ง ออเรเลียก็สังเกตเห็นความหงุดหงิดที่แวบขึ้นในสายตาของสาวใช้พี่เลี้ยงบางคน

ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นเด็กดีมากขึ้น ออเรเลีย ตัดสินใจปรับปรุงตัวเธอเอง ในแต่ละวัน เธอพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเชื่อฟัง ตั้งใจฟัง และทำตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในวังแห่งนี้ที่เธออาศัยอยู่เพื่อไม่ให้เป็นที่เดือดร้อนของเหล่าสาวใช้

บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เจ้าหญิงน้อยนั่งอยู่ในห้องเล่นที่เต็มไปด้วยแสงแดด ล้อมรอบไปด้วยของเล่นนุ่มๆ และหนังสือ เธอมองดูพี่เลี้ยงของเธอที่กำลังจัดห้องอย่างประณีต มือของเธอเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ และทันใดนั้น ออเรเลีย ก็รู้สึกถึงความโหยหาความผูกพัน ออเรเลีย รวบรวมความกล้าของเธอเดินไปจับชายกระโปรงสาวใช้พี่เลี้ยงกระตุกเบาๆ

“ยายี่...” ออเรเลียพูดเบาๆ หัวใจของเธอเต้นเร็ว “ข้าเหงามาเล่งกับข้าหน่อยได้ไหม?”

พี่เลี้ยงของเธอหยุดชั่วครู่ ปรับชายผ้ากันเปื้อนของเธอ จากนั้นก็กลับมาจัดของต่อโดยไม่มองมาที่ออเรเลีย “ไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าหญิง หม่อมฉันมีหน้าที่ต้องทำ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้เยื่อใย

ความผิดหวังถาโถมเข้ามาในใจของ ออเรเลีย แต่เธอไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าหรืออารมณ์ได้ เธอไม่อยากให้ตัวเองดูอ่อนแอหรือเป็นที่น่ารำคาญ—หรือแย่กว่านั้น เป็นตัวปัญหา เพียงแต่.... 

“บางที... บางทีถ้าแค่กอดกันสักหน่อยได้ไหม?” เธอถาม ด้วยเสียงเล็กๆ ของเธอ

ในชั่วขณะนั้น มีแต่ความเงียบ มีเพียงเสียงติ๊กต็อกของนาฬิกาโบราณบนผนัง แต่ละเสียงดังเหมือนสะท้อนถึงความว่างเปล่าในหัวใจของเจ้าหญิงน้อย พี่เลี้ยงของเธอยังคงทำงานต่อไป วางของเล่นต่างๆ บนชั้นอย่างระมัดระวัง โดยหันหลังให้ออเรเลีย

 “หามิได้เพคะ ฝ่าบาททรงเป็นเจ้าหญิงหม่อมฉันเป็นเพียงแค่สาวรับใช้ อีกอย่างการที่เจ้าหญิงมีเวลาว่างมากเช่นนี้ หากทรงกรุณาใช้เวลาส่วนนั้นเสด็จไปศึกษาหาความรู้ด้วยพระองค์เอง อาจจะเป็นการดีไม่น้อยเพคะ”

คำพูดเหล่านั้นเหมือนก้อนหินหนักๆ ที่บอกเธอถึงความจริงเกี่ยวกับสถานะและภาระหน้าที่ของตน "ข้าเข้าใจแล้ว..."

ออเรเลีย มองออกไปนอกหน้าต่าง ที่ซึ่งบนต้นไม้มีรังนกและครอบครัวของมันแสนน่ารักอยู่ พ่อและแม่นกที่บินคาบอาหารมาให้ลูกนกอย่างน่าเอ็นดู

เวลาผ่านไป แม้ว่าจะถูกปฏิเสธจากสาวใช้พี่เลี้ยงอย่างเย็นชา แต่ลึกๆ แล้ว ออเรเลีย ยังคงมีความหวังเล็กๆ เธอเชื่อว่า หากเธอพยายามอีกหน่อย หากเธอทำให้ตัวเองมีประโยชน์ขึ้น เข้มแข็งขึ้น ฉลาดขึ้น เก่งขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เธออาจจะได้ความรัก ความอบอุ่น และการยอมรับ

ในชั่วขณะนั้น เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะกลายเป็นเจ้าหญิงที่สมบูรณ์แบบ ได้รับความรัก—ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เงา แต่เป็นแสงสว่างแห่งความสุขที่สามารถทำให้หัวใจของคนรอบข้างอบอุ่นขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่บริสุทธิ์ของเด็กน้อย เธอจึงเริ่มฝึกฝนทักษะต่างๆด้วยตัวเอง เช่น การพูดให้ชัด และลุกเดินเองให้คล่อง


ดวงอาทิตย์ลอยสูงบนท้องฟ้า สาดแสงสว่างเจิดจ้าลงบนพระราชวัง ไม่นานหลังจากที่มีข่าวลือเกี่ยวกับ เจ้าหญิงออเรเลีย ที่มีพัฒนาการเกินวัย องค์จักรพรรดิก็ได้มีรับสั่งให้ส่งครูฝึกมา ณ วังของเจ้าหญิงออเรเลีย เธอรู้สึกถึงความตื่นเต้นผสมกับความกังวลใจขณะถูกพาไปยังห้องโถงใหญ่ที่ซึ่งครูฝึกของเธอกำลังรออยู่ ประตูสูงตระหง่านเปิดออกเผยให้เห็นหญิงสาวผู้มีรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าที่เคร่งขรึม สายตาเย็นชาของนางมองมาที่เจ้าหญิงตัวน้อย

“เจ้าหญิงออเรเลีย” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ “วันนี้เราจะเริ่มการฝึกพื้นฐานเกี่ยวกับการเดิน การพูด และมารยาทของราชวงศ์ เตรียมตัวให้พร้อม”

ออเรเลียพยักหน้า รู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้น นี่ไม่ใช่แค่บทเรียน—มันคือการทดสอบ

สิ่งแรกคือการเรียนรู้การเดินอย่างถูกต้อง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ภายใต้สายตาที่เข้มงวดของครูฝึก มันกลายเป็นความท้าทายที่น่าหวาดหวั่นเล็กน้อย ออเรเลียจัดวางเท้าของเธออย่างระมัดระวัง พยายามจำคำแนะนำของเธอเกี่ยวกับการวางตัวและความสง่างาม ขณะที่เธอก้าวไปข้างหน้า เธอรู้สึกถึงสายตาของครูฝึกที่จับจ้องอยู่ทุกการเคลื่อนไหว แม้การเคลื่อนไหวของเจ้าหญิงจะถูกต้องเพียงใด แต่เท้าเล็กๆที่ผ่านการฝึกมาอย่างยาวนานก็เริ่มออกอาการอ่อนล้า เธอสะดุดอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างของเด็กสาวล้มลงแต่ไม่มีใครเข้ามาช่วยพยุงเลยแม้แต่น้อย

“ลุกขึ้นเพคะ!” เธอตะคอกด้วยเสียงที่เฉียบคมราวกับแส้ “พระองค์ทรงเป็นเจ้าหญิงแห่งอนาจักร ไม่ใช่ตุ๊กตา! จะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นมิได้เพคะ! ยืนตัวให้ตรง! เดินให้สง่างาม”

ทุกครั้งที่เธอทำผิด ออเรเลีย รู้สึกถึงแรงกดดันของความคาดหวังที่ถาโถมเข้ามา เธอทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนความแห้งในลำคอเริ่มทำให้เจ็บ และเหงื่อเล็กๆ ไหลลงมาบนหน้าผากของเธอ แต่เธอยังคงอดทน มุ่งมั่นที่จะทำให้ครูฝึกพอใจและพิสูจน์ว่าเธอเป็นเด็กดี เสด็จพ่อและสาวใช้จะได้หันมามองที่เธอบ้าง

ทักษะการพูด เขียน อ่าน เจ้าหญิงออเรเลีย ได้เรียนพวกมันทั้งหมด แม้จะเหนื่อยล้า แต่บางสิ่งที่น่าทึ่งกำลังก่อตัวขึ้นภายในตัวเธอ เมื่อเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ ออเรเลียเริ่มปรับตัวกับการฝึกฝนที่เข้มงวด เธอแสดงความอดทนที่เกินกว่าที่เด็กสามขวบทั่วไปจะทนได้ เธอขจัดข้อผิดพลาดของตัวเองได้เกือบหมดภายในเวลาไม่กี่วัน ทักษะของเธอเติบโตแข็งแกร่งและคล่องแคล่วภายใต้การจับตาอย่างเข้มงวด

ครูฝึกของเธอก็เริ่มสังเกตเห็นความก้าวหน้าที่ผิดปกติ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเอ่ยปากชมเชยก็ตาม แต่เธอได้มอบหนังสือเล่มภาพเล่มหนึ่งให้เธอ—เรื่องราวของเจ้าหญิงแห่งความรัก—ออเรเลียก็ดื่มด่ำกับมันอย่างเต็มที่ คำต่อคำ เธออ่านข้อความและจ้องมองรูปภาพเหล่านั้น นิ้วเล็กๆ ของเธอลากตามตัวอักษร ด้วยท่าทีที่นิ่งสงบรวมกับเป็นคนละคนกับไม่กี่วันก่อนหน้านี้

เสียงกระซิบเริ่มแผ่วเบาเริ่มกระจายไปตามห้องโถงของพระราชวัง สาวใช้ต่างส่งสายตาและพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำแบบกระซิบ 

เจ้าหญิงต้องเป็นอัจฉริยะเป็นแน่” 

เพียงสามชันษาก็ทรงอ่านออกเขียนได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ยังทรงมีพระสุรเสียงอันชัดเจนอีกด้วยขนาดข้ากว่าจะพูดเริ่มชัดยังต้อง 5 ขวบ

น่ากลัว....พระองค์ยังทรงเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่าเนี่ย

ความน่าทึ่งในการเรียนรู้ของเธอเป็นที่เลื่องลือสำหรับสาวใช้ในวังของนาง แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นข่าวลือถึงความน่ากลัวของเธอที่มีพัฒนาการเหมือนไม่ใช่เด็กอายุแค่ 3 ขวบ

ยิ่งเธอเรียนรู้มากเท่าไหร่ ความมั่นใจก็เริ่มเบ่งบานภายในตัวเธอมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าการฝึกฝนจะเหน็ดเหนื่อย แต่มันก็สร้างความแข็งแกร่งและความอดทนที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมี คืนแล้วคืนเล่า ออเรเลีย ทุ่มเทให้กับบทเรียนของเธอ ประวัติศาสตร์ การคำนวณ เศรษฐศาตร์  สังคมศาสตร์ ศิลปะ มารยาท ทุกอย่างองค์หญิงน้อยสามารถเล่าเรียนและเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งเพียงแค่เห็นหน้าตำราก็เหมือนสามารถบอกเนื้อหาภายในจนหมดเล่มได้เสียด้วยซ้ำ

แต่ภายใต้ความมุ่งมั่นที่กำลังเติบโตนั้น ความโหยหาความอบอุ่นและความเข้าใจยังคงอยู่ แม้ว่าเธอจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง แต่ระยะห่างระหว่างเธอกับทุกคนยังคงมีอยู่ องค์จักรพรรดิที่ไม่เคยเยี่ยมเยียน เหล่าสาวใช้พี่เลี้ยงที่ยังคงเย็นชา ครูฝึกที่ไร้คำชม ดูเหมือนการฝึกฝนทักษะของราชวงศ์เป็นสิ่งหนึ่ง แต่การหาความรักและการยอมรับที่เธอปรารถนานั้นเป็นอีกการต่อสู้หนึ่ง

เมื่อเธอวางหนังสือกลับที่ชั้นหลังจากวันฝึกฝนอันยาวนาน ออเรเลีย มองออกไปนอกหน้าต่างสู่สวนที่เคยไปเดินเล่นก่อนหน้านี้ในช่วงเวลานั้น เธอตระหนักว่าแม้ว่าเธอจะเชี่ยวชาญในศิลปะของการเป็นเจ้าหญิงที่เพียบพร้อมเพียงใด แต่สิ่งที่เธอยังคงแสวงหานั้นกลับไม่ได้รับการเติมเต็มเลยแม้แต่น้อย

เส้นทางข้างหน้ายังยาวไกล แต่ออเรเลีย เตรียมใจสำหรับการเดินทางนั้น วันแล้ววันเล่า เธอจะไม่เพียงแต่พยายามที่จะเป็นเจ้าหญิงที่สมกับตำแหน่งของเธอ แต่ยังจะสร้างตัวตนของเธอเองท่ามกลางการฝึกฝนที่เข้มงวดและความคาดหวังที่ไม่อาจหยุดยั้ง อนาคตยังไม่แน่นอน แต่ภายในหัวใจและความคิดของเธอ เธอได้เก็บความหวังเล็กๆ ไว้ที่ว่าเธอจะเป็นที่รักเหมือนเจ้าหญิงในหนังสือภาพ

Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters

Comments

No Comments
9 Chapters
ออเรเลีย วอน อากาธีร์
เด็กหญิงสะดุ้งตื่นจากหลับที่ไร้ซึ่งความสงบ เปลือกตาของเธอเบิกกว้างขึ้นเพื่อเผยให้เห็นความโอ่อ่าตระการรายล้อมตัว ห้องนี้ประดับประดาไปด้วยพรมแขวนผนังและเฟอร์นิเจอร์ปิดทอง เป็นภาพแสดงถึงความมั่งคั่งที่ดูเย็นชาและไม่เป็นมิตร ราวกับว่าผนังของพระราชวังเองก็กระซิบเล่าเรื่องราวแห่งความยิ่งใหญ่ แต่กลับซ่อนความลับไว้ใต้พื้นผิวที่ถูกขัดเกลาให้เป็นประกายเธอลุกขึ้นนั่งและขยี้ตาที่ยังเคลิบเคลิ้ม เธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสามขวบ แต่มีลักษณะเด่นที่ทำให้เธอแตกต่างจากคนอื่น ผมของเธอพลิ้วไหวราวกับสายน้ำสีม่วงเข้ม โอบล้อมใบหน้าที่บอบบางของเธอไว้ ในขณะที่ดวงตาสีเขียวสดใสของเธอแผ่วบ่งบอกถึงความตระหนักรู้บางอย่างที่เกินวัย ผิวขาวบริสุทธิ์ของเธอเกือบจะเรืองแสงท่ามกลางโทนสีเข้มของห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ทำให้เธอดูราวกับเทพธิดาในสภาพแวดล้อมนี้ความรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกประหลาดค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในทรวงอกน้อยๆ ของเธอ หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับร่างที่เธออาศัยอยู่นี้เคย "ทำบางสิ่ง—บางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว" มาก่อน แต่เมื่อเธอนั่งขึ้น นิ้วน้อยๆ ของเธอกำผ้าปูที่นอนไหมเอาไว้ เธอก
last updateLast Updated : 2025-05-20
Read more
เด็กที่ถูกทอดทิ้ง
ข้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นในห้องนอนอันกว้างใหญ่ แสงแดดยามเช้าสาดผ่านม่านผืนหรูทอดเงาซับซ้อนลงบนพื้นหินขัดมันวาว งดงาม... แต่กลับเยียบเย็นราวกับความโอ่อ่ารอบตัวนี้กำลังบีบรัดข้าไว้จนหายใจไม่ออก ข้าจ้องเพดานนิ่ง รวบรวมสติจากเศษเสี้ยวของความฝันที่หลงเหลืออยู่ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา ชีวิตเช่นนี้(?)... ข้าชินชาเสียแล้วเสียงการขยับตัวของพี่เลี้ยงหน้าประตูปลุกข้าให้หลุดจากภวังค์"ถึงเวลาตื่นแล้วเพคะ เจ้าหญิงออเรเลีย" น้ำเสียงเรียบเฉย ปราศจากไออุ่นใดๆข้าพยักหน้ากับตัวเอง พลางเหยียดขาออกจากเตียง ความเย็นเฉียบของพื้นหินอ่อนแทรกผ่านฝ่าเท้าจนข้าต้องขมวดคิ้ว ความหนาวที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายนี้... ไม่ต่างจากความเย็นชาที่เกาะกุมหัวใจของข้าเลยไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้าจำความได้ สิ่งแรกที่ข้ารู้จักคือชื่อของข้า "ออเรเลีย วอน อากาธีร์" พวกเขามักจะเรียกข้าว่าเจ้าหญิง(?) ข้าไม่เคยเห็นหน้าแม่ของข้า ผู้คนรอบตัวบอกว่าท่านเสียไปเพราะให้กำเนิดข้า ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นคือ จักรพรรดิของอานาจักรนี้ "อาเดลวิน วอน อากาธีร์" ข้ารู้จักแค่ชื่อเพราะ บางครั้งก็ได้ยินจากพี่สาวรับใช้พูดคุยกันไปมาเพียงเท่านั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จ ข
last updateLast Updated : 2025-05-20
Read more
ฝันร้ายที่ไร้ที่มา
ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก หัวใจเต้นรัวขณะที่ข้าพยายามหายใจเข้าอย่างตื่นตระหนก ความมืดในห้องชวนให้อึดอัด ผ้าปูที่นอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ราวกับยังคงแบกรับความน่าสะพรึงกลัวของภาพฝันที่ยังติดตรึงอยู่ในความคิด—ภาพของสงครามที่คอยตามหลอกหลอนข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าข้ายังคงได้ยินเสียงของกองทัพปะทะกัน เสียงดาบปะทะกันอย่างดุเดือด และเสียงกรีดร้องของเหล่าทหารที่ดังสะท้อนไปทั่ว ทุกเสียงที่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดเหมือนกริชที่พุ่งตรงเข้าหัวใจ กลิ่นคาวเลือดที่อบอวล หนาแน่นจนข้ารู้สึกเหมือนกำลังหายใจเอามันเข้าไป มันติดอยู่ในจมูกของข้าแม้กระทั่งตอนที่ข้าตื่นขึ้นมาแล้วในฝัน ข้าเห็นมือของตัวเอง มือที่เปื้อนเลือด กำดาบเอาไว้แน่น—อาวุธที่เย็นเยียบและหนักอึ้ง มันให้ความรู้สึกแปลกแยกแต่ขณะเดียวกันก็ดูคุ้นเคยจนผิดปกติ ข้ายังเห็นภาพของสมรภูมิรบเบื้องหน้า เต็มไปด้วยความโกลาหลและความหวาดกลัว คลื่นแห่งความตื่นเต้นและบันเทิงแล่นไปทั่วร่าง เหมือนข้ากำลังดีใจ ปลาบปลื้ม สะใจ?!"นี่มันอะไรกัน?" ข้าพึมพำท่ามกลางความมืด เสียงสั่นเครือขณะที่ข้ากอดเข่าตัวเอง "ทำไมข้าถึงรู้สึกแบบนั้น?" คำถามนั้นสะท้อนอยู่ในหัวของข้า ไม่มีค
last updateLast Updated : 2025-05-20
Read more
โอกาสที่เปลี่ยนไป
วันฉลองพระชันษาครบรอบเจ็ดปีของ คาริเบล พึ่งผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้เป็นวันที่สงบสุขในสวนพระราชวัง แสงอาทิตย์ส่องประกายอบอุ่น อาบไล้ทุกสิ่งให้เปล่งประกายสีทอง มอบความเป็นชีวิตชีวาให้ทุกสรรพสิ่งที่มันผ่าน อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน สีสันสดใสแต่งแต้มทิวทัศน์ให้ดูงดงามราว แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความงามนี้ กลับมีสายตาและเสียงซุบซิบนินทาถึงข้าอยู่ร่ำไปขณะเดินเล่น ข้าพยายามเพิกเฉยต่อ คาลิเบล ที่เดินตามมาติด ๆออเรเลีย—เจ้าหญิงแห่งเงาของปราสาทบัดนี้ได้รับการเลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าหญิงตัวซวย เจ้าหญิงถูกทิ้ง บลาๆ ตามแต่ที่จะนินทา นั่นคือสิ่งทุกคนในวังไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ ไปจนถึงขุนนางบางคนที่เข้าออกวังมองข้า แต่ถึงกระนั้น คาลิเบล ผู้เป็นน้องชายตัวน้อยผู้เต็มไปด้วยพลัง ก็ยังคงวนเวียนกระโดดโลดเต้นตามข้าอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เสียงหัวเราะของเขากังวานสดใสราวกับเสียงนกในฤดูใบไม้ผลิ"ท่านพี่!" เขาเรียกพลางดึงชายกระโปรงของข้า การกระทำของเขาบางครั้งก็ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด แต่น้ำเสียงใสซื่อของเขาก็ทำให้หัวใจข้าอ่อนลงไปพร้อมกัน "เราไปเล่นกันที่น้ำพุได้ไหม?""ไม่,
last updateLast Updated : 2025-05-20
Read more
เจ้าหญิงที่ถูกปกป้อง
ข้าก้าวเดินต้อยๆไปตามถนนที่คึกคักของชิทูเรีย ความตื่นเต้นและอารมณ์แห่งการผจญภัยหลอมรวมกันอยู่ในใจ ใบไม้เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วงปลิวไสวราวกับเศษกระดาษสีที่โปรยปรายอยู่ในสายลมอ่อน ๆ มันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่ายินดีจากการเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในวัง และเป็นโอกาสให้ข้าได้สัมผัสชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ด้วย แน่นอนด้วยเครื่องแต่งกายที่สุดแสนจะธรรมดา ทำให้ตอนนี้พวกเราแลดูเหมือนเป็นครอบครัวชาวเมืองที่มาเดินเล่นแถวตลาดแบบธรรมดาเอลลี่เดินอยู่ข้างข้า เสียงพูดคุยร่าเริงของเธอเติมเต็มอากาศ ขณะที่เธอชี้ให้ดูร้านค้าต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน“ฝ่าบาทเพคะ! ดูสิ ร้านนั้นขายขนมแลดูน่าอร่อยสุดๆไปเลยนะเพคะ! พวกเราควรซื้อมาลองทานกันสักหน่อยนะเพคะ” เธอเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นข้ายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กับความกระตือรือร้นและร่าเริงของนาง “ดูน่าสนใจดีนะ” ข้าตอบพลางมองไปที่แผงขายขนมอบที่มีของหวานหน้าตาน่าทาน กลิ่นหอมของแป้งที่อบใหม่ทำให้ข้าเผลอจินตนาการถึงรสสัมผัสของเปลือกขนมกรอบ ๆ และไส้หวานนุ่มละมุน ไม่ช้านาน เอลลี่ ก็กลับมาหาพวกเราที่ยืนรออยู่ไม่ห่างพร้อมขนมอบสามชิ้น ควันอุ่นๆลอยขึ้
last updateLast Updated : 2025-05-20
Read more
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
ความว่างเปล่ากลืนกินสติของข้าหลังจากการต่อสู้ ข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องชาวเมือง แต่ในที่สุด ความอ่อนล้าก็ตามทัน ข้าหมดสติท่ามกลางความโกลาหลรอบตัวในห้วงนิทราลึก ข้าพบว่าตัวเองจมดิ่งสู่ความฝัน มันทั้งชัดเจนและเลือนรางในคราวเดียวกัน เหมือนจริงจนน่าประหลาดใจ แต่ก็คล้ายกับบางสิ่งที่ข้าไม่อาจไขว่คว้าได้ ภาพเลือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้า—เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยเงาอันเร้นลับ ทำให้ข้ามองเห็นไม่ชัด ทว่าผมสีส้มเพลิงของเขาส่องประกายราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ท่ามกลางความมืดแห่งนั้น แรงดึงดูดบางอย่างฉุดข้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัวเขายืนหันหลังให้ข้า และเมื่อข้าจ้องมองเขาอยู่นั้น เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมา หัวใจข้าเต้นรัว ความคาดหวังพุ่งทะยานขึ้นสูง ทว่าในวินาทีที่เขาหันมาเผชิญหน้ากับข้า ข้ากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ข้ามองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับ เป็นถ้อยคำที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขา ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบเล็ดลอดจากริมฝีปากของข้า ข้าทำได้แค่เฝ้ามอง ขณะที่เขาขยับปากกล่าวบางอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ยิน“ได้โ
last updateLast Updated : 2025-05-23
Read more
เส้นทางที่ไม่อาจบรรจบ
ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ
last updateLast Updated : 2025-05-23
Read more
ทรยศ?
เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า
last updateLast Updated : 2025-05-24
Read more
สารแห่งโชคชะตา
เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย
last updateLast Updated : 2025-05-26
Read more
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status