ใช้จูงมือหลินโดยมียุ่งเดินตามลัดเลาะไปตามทางเดินแคบ ๆ ในสวนที่มีทั้งมะพร้าวและส้มโอ ในขณะที่แสงแดดยามบ่ายส่องลอดใบไม้เหล่านั้นลงมาเป็นจุด ๆ อากาศในตอนนี้แม้ว่าจะเริ่มเย็นทว่าก็ค่อนข้างอบอ้าว โชคดีที่ยังพอมีลมพัดเอื่อยให้คลายร้อนได้บ้าง
"ป๊า! ในนี้จะมีร้านขายหวานเย็นด้วยเหรอ" หลินเงยหน้าถามเจ้าของมือใหญ่กว่าตน พลางกวาดตามองไปรอบสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้และร่องน้ำเล็กที่มีผักตบชวาลอยอยู่ประปราย เธอไม่เห็นวี่แววของร้านค้าเลยด้วยซ้ำ
"เปี๊ยก ลื้อเรียกอั๊วว่าเฮียดีไหม แม้แต่แฟนอั๊วยังไม่มีจะมีลูกตัวโตขนาดลื้อได้ยังไง" ใช้พูดเสียงห้วนด้วยความไม่ชอบใจต่อคำเรียกขานของเจ้าตัวเล็ก
เฮ้อ...!! หลินระบายลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของป๊าในตอนนี้ดูสูงโปร่ง ผิวขาวสะอาดหมดจด จมูกโด่งเป็นสันรับกับดวงตาเรียวเล็กที่ฉายแววขี้เล่นอย่างที่เธอคุ้นเคย หากแต่ทุกอย่างกลับดูแปลกตาเมื่ออยู่บนร่างกายของเด็กหนุ่มวัยรุ่นตรงหน้า
(นี่คือป๊าในวัยสิบสี่...) ความรู้สึกประหลาดแล่นริ้วในอก มันทั้งคุ้นเคยและแปลกใหม่จนเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัดเขินเล็กน้อยที่ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กห้าขวบแล้วเรียกเขาว่าป๊าเช่นกันดังนั้น....
"เฮีย...ร้านมันอยู่ตรงไหน" เสียงเล็กใสเอ่ยถามใหม่ตามที่เด็กหนุ่มต้องการพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ อีกครั้ง สวนส้มโอกับมะพร้าวที่เขียวครึ้มดูร่มรื่นแต่ก็ไม่น่าจะมีร้านค้าซ่อนตัวอยู่ได้เลย
ใช้คลี่ยิ้มบางอย่างพอใจเมื่อได้ยินคำเรียกขานใหม่ "อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วน่า เปี๊ยกเดินตามมาดี ๆ อย่ามัวแต่มองนู่นนี่นั่น หากลื้อตกท้องร่องขึ้นมาระวังอั๊วจะไม่ช่วยนะ" เขาพูดเชิงหยอกเย้าพลางกระชับมือเล็กให้เดินตามต่อไป โดยมียุ่งเดินตามหลังมาติด ๆ ด้วยท่าทางคุ้นเคยสถานที่เป็นอย่างดี
เมื่อเดินลึกเข้าไปในสวนอีกหน่อยเสียงน้ำไหลเอื่อยก็ดังชัดเจนขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ ที่คุ้นเคยจนยุ่งแสดงท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาใสแจ๋วเป็นประกายมองไปยังจุดหมาย
เขาส่งเสียงอือในลำคอแผ่วเบาพร้อมกับแสดงอาการกระวนกระวายเล็กน้อยด้วยการขยับเท้าไปมาคล้ายตื่นเต้นที่จะได้กินของโปรดคลายร้อน
"เห็นไหมล่ะเปี๊ยก บอกแล้วว่าใกล้ถึงแล้ว" ใช้พูดพลางชี้มือไปยังกระท่อมไม้ไผ่หลังคามุงจากขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาของต้นมะม่วงใหญ่อีกที ควันไฟสีขาวจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากเตาไฟด้านข้าง
"นั่นไง...ร้าน...อาแปะ..." ยุ่งพูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำกว่าปกติ ดวงตาจ้องมองกระท่อมด้วยความดีใจ ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินนำหน้าคนทั้งสองไปยังกระท่อมอย่างระมัดระวัง ท่าทางของเขาดูมีความสุขและคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างมาก
หลินมองตามอย่างประหลาดใจ กระท่อมหลังเล็กดูทรุดโทรมแต่ก็สะอาดสะอ้าน บริเวณโดยรอบจัดวางของใช้อย่างเป็นระเบียบ ข้างกระท่อมมีแคร่ไม้ไผ่สำหรับนั่งพักผ่อนและมีโต๊ะไม้เก่า ๆ สองสามตัววางอยู่ใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่
ชายชราผิวกรำแดดใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัย สวมเสื้อผ้าเก่าแต่สะอาดกำลังนั่งเหลาไม้ไผ่อยู่บนแคร่ เมื่อเห็นยุ่งกับใช้เดินเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นเผยรอยยิ้มกว้าง
"อ้าว อาใช้ วันนี้มาเร็วกว่าปกตินี่นา แล้วนั่น...ใครกันล่ะ" แปะซ้งมองมาที่หลินด้วยความสงสัย
"สวัสดีครับอาแปะ นี่หลิน..น้องสาวของผมครับเพิ่งมาถึงที่นี่วันนี้" ใช้แนะนำพลางจูงมือหลินเข้าไปใกล้ ๆ
"สวัสดีค่ะอาแปะ" หลินยกมือไหว้ตามมารยาทโดยไม่ต้องให้ใครสอน
"เอ้อ ๆ สวัสดีหนูน้อยหน้าตาน่าเอ็นดูทีเดียวจะว่าไปลื้อกับอาใช้มีส่วนคล้ายกันอยู่นะสมควรเป็นญาติกัน ว่าแต่ลื้อมาจากไหนล่ะ มา ๆ นั่งพักก่อน ร้อนแย่เลยใช่ไหม" อาแปะเจ้าของสถานที่วางมีดเหลาไม้ลงแล้วผายมือเชิญให้ทั้งสามคนนั่งพลางถามออกมาในคราวเดียว
ยุ่งค่อย ๆ ปีนขึ้นไปนั่งบนแคร่อย่างระมัดระวังมองสำรวจรอบด้านด้วยความสนใจ ส่วนใช้ได้ยกตัวของหลินขึ้นนั่งข้างกับยุ่งก่อนจะเดินเข้าไปในร้านชำแห่งนี้
หลินที่โดนคำถามของอาแปะสูงวัยจำต้องเล่าเรื่องเท็จที่ม่าของตนแต่งขึ้นตอนอยู่ในห้องพยาบาลออกมา แม้ว่าเธอไม่อยากจะโกหกก็ตามแต่จะให้บอกว่าเธอมาจากอนาคตก็คงไม่ได้อีกเหมือนกัน
หลังได้ยินเรื่องที่เด็กน้อยเล่าให้ฟัง อาแปะผู้สูงวัยก็หายสงสัยก่อนจะส่งเสียงไปทางเด็กหนุ่มหัวเกรียนที่กำลังเดินดูนั่นมองนี่
"วันนี้ลื้อจะเอาอะไรดีล่ะ อาใช้" อาแปะถามด้วยน้ำเสียงใจดี
"เหมือนเดิมครับอาแปะ หวานเย็นสอง น้ำแดงกับน้ำเขียว แล้วก็...เปี๊ยกเอาไร" ใช้ตอบแปะซ้งก่อนตะโกนถามเด็กหญิงที่กำลังมองขวดน้ำหวานตรงหน้าที่มีทั้งสีเขียว สีแดงและสีส้ม
"เอาน้ำแดงไม่ใส่นมค่ะ" เจ้าตัวเล็กตอบชัดถ้อยชัดคำ
"ได้ ๆ เดี๋ยวอั๊วไปทำมาให้ลื้อก่อนเลยเด็กน้อย" อาแปะเจ้าของร้านพยักหน้าตอบด้วยสายตาเอ็นดูเด็กหญิงที่ดูจะฉลาดเกินวัย
ว่าแล้วเขาก็ลุกไปเตรียมทำหวานเย็น ก้อนน้ำแข็งมือที่ถูกล้างแกลบออกถูกไสบนเครื่องดังครืดคราดเบา ๆ ผสมผสานกับเสียงลมพัดใบไม้และเสียงจอกแหนในร่องน้ำเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลาย
ไม่นานนักแปะซ้งก็ยกหวานเย็นมาเสิร์ฟ ทั้งสามคนรับมาดับกระหายคลายร้อน หวานเย็นน้ำแดงสดใสของหลินเย็นชื่นใจหวานหอมอร่อยจนแก้มใส ๆ ของหล่อนเริ่มมีสีชมพูระเรื่อ
ส่วนใช้ซดน้ำเขียวเย็นซ่าจนหมดถ้วยอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากยุ่งที่ค่อย ๆ ตักหวานเย็นน้ำแดงคำโตเข้าปากแสดงถึงความสุข ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อได้ลิ้มรสของโปรด
ระหว่างที่กินหวานเย็นทั้งสามคนก็พูดคุยกันบ้าง แปะซ้งได้เล่าเรื่องเก่า ๆ ในสวนให้หลินฟังด้วยน้ำเสียงใจดีโดยมีใช้ช่วยเสริมบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนยุ่งนั้นถึงแม้จะพูดน้อยแต่ก็ส่งเสียงอืออาตอบรับเป็นระยะและยิ้มกว้างทุกครั้งที่แปะซ้งหันมาคุยด้วย
เมื่อหวานเย็นหมดถ้วยความสดชื่นก็เข้ามาแทนที่ความเหนื่อยล้าจากอากาศร้อน ใช้ลุกขึ้นจ่ายเงินหนึ่งสลึงให้แปะซ้งโดยที่ยุ่งเองก็กำลังแกะหนังยางที่มัดเงินเข้ากับเสื้อของตน หลังจ่ายเงินเรียบร้อยใช้กับยุ่งก็จับมือหลินคนละข้าง
"ขอบคุณครับ/ค่ะอาแปะ ไว้พวกเราจะมาใหม่นะครับ/นะคะ" ใช้กับหลินกล่าวลา
"ขอบใจเช่นกันอาใช้ ดูแลน้องดี ๆ ล่ะ" แปะซ้งยิ้มให้ทั้งสามคนด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
ทั้งสามคนเดินออกจากร้านหวานเย็นกลับไปยังทางเดิม พวกเขาเดินเรียงเป็นหน้ากระดานจนเต็มทางเดินเล็กแคบแห่งนี้ ในขณะที่แสงแดดยามเย็นเริ่มสาดส่องเป็นสีทองอ่อนทาบทาทั่วสวนส้มโอกับมะพร้าวดูสวยงามขึ้นในแสงสุดท้ายของวัน ลมเย็นเริ่มพัดมาแผ่วเบาไล่เอาความอบอ้าวให้จางหายไป
หลินเงยหน้ามองใช้ที่จูงมือเธออยู่ ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ แม้ว่าสถานการณ์จะแปลกประหลาดและเธอจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่การมีป๊าในวัยสิบสี่อยู่เคียงข้างก็ทำให้เธอรู้สึกมั่นใจขึ้นมาก
พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กแคบกลับไปยังบ้านพัก "เฮียใช้! บ้านเฮียยุ่งอยู่ไหน" หลินถามพลางมองใบหน้าอวบอูมของเด็กชายที่เดินชมนกชมไม้อย่างไม่ทุกข์ร้อน
"ไปทางเดียวกันนี้แหละ บ้านของยุ่งถึงก่อนบ้านเรา...ตรงนั้นไงลื้อเห็นหลังคากระเบื้องตรงนั้นไหม" ใช้ตอบพลางชี้นิ้วไปทางบ้านไม้ยกพื้นสูงห่างออกไปไม่ไกล
และยังไม่ทันที่เด็กทั้งสามจะเดินไปถึงบ้าน ทั้งใช้และยุ่งก็มองเห็นแผ่นหลังของคนคุ้นเคยเดินอยู่ด้านหน้า
"ป๊า! เฮีย"
มือเล็กของหลินว่างเปล่าไปชั่วขณะเมื่อใช้ปล่อยมือแล้ววิ่งนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงชะงักเล็กน้อยเงยหน้ามองตามแผ่นหลังของเขาที่ตะโกนเรียกใครบางคนอยู่ข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย... จากทารกน้อยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนยิ้มแต้ในเปล บัดนี้ "อาหมวยน้อยหลิน" เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ฉลาดและน่ารักเกินวัย เธอกำลังจะเตรียมตัวเข้าโรงเรียนอนุบาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กหญิงได้เห็นกิจการของครอบครัวเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ร้าน "อาม่า หมูกระทะริมบึง" ได้ขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นระบบระเบียบของใช้และผู้จัดการอาทิตย์ และด้วยความมั่นคงนี้เอง หลินก็ได้เริ่ม "ภารกิจ" ใหม่ของเธอ เธอมักจะแนะนำแบบอ้อม ๆ ให้ป๊านำเงินกำไรไปลงทุนซื้อที่ดินแปลงสวย ๆ ในทำเลที่มีแนวโน้มว่าจะเจริญในอนาคตเก็บไว้ โดยเด็กหญิงมักอ้างว่า "หนูฝันเห็น" หรือ "หนูรู้สึกว่าตรงนี้มันสวยดี" ซึ่งใช้ที่เชื่อใน "ความโชคดี" และสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของลูกสาวคนนี้อย่
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี...ชีวิตของทุกคนในครอบครัวตงและครอบครัวสาขาต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามที่อาทิตย์จัดการ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของทุกคนยิ่งมั่นคง และแล้วข่าวดีที่ทุกคนรอคอยก็มาเยือนครอบครัวตงอีกครั้ง เมื่อสวยภรรยาของใช้ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง! และด้วยความเจริญทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น ทำให้การไปฝากครรภ์ในครั้งนี้พวกเขาสามารถรู้เพศของทารกในครรภ์ได้ล่วงหน้า... และผลก็คือ พวกเขากำลังจะได้สมาชิกใหม่เป็น "เด็กผู้ชาย"! สร้างความยินดีให้กับอากงตงและอาม่าเคี้ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีหลานชายมาสืบสกุลเพิ่มอีกคน สำหรับหลินน้อยที่ตอนนี้อายุได้หนึ่งขวบกว่าแล้ว แม้ร่างกายจะเป็นเพียงทารกที่เพิ่งจะเริ่มหัดเดินเตาะแตะและ หัดพูดเ
เวลาผ่านไปอีกหกเดือน... หลินน้อยเติบโตขึ้นเป็นทารกที่จ้ำม่ำน่ารักน่าชัง ผิวขาวผ่องและมีดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส เป็นที่รักและเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัวใหญ่ ทั้งอากงตงและอาม่าเคี้ยงที่ตอนนี้มีความสุขกับการได้เลี้ยงหลานคนแรกของลูกชายคนเล็กอย่างเต็มที่ รวมถึงลุงชัยและป้าจำปีที่มักจะพาลูก ๆ ทั้งสองคนมาเยี่ยมเยียนและเล่นกับน้องหลินอยู่เสมอ ชีวิตของทุกคนดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะทั้งสาขาใหญ่และสาขาย่อยต่างก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง และในช่วงเวลานี้เองกระแสแห่งความเจริญจากเมืองหลวงก็ได้เริ่มคืบคลานเข้ามายังตัวอำเภอที่เคยดูจะเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด และสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือการมาถึงของ "ห้างสรรพสินค้า" ขนาดใหญ่และทันสมัยแห่งแรกของจังหวัด!
ในสายตาของใครหลายคน ชัยอาจจะดูเป็นลูกชายคนโตที่ทอดทิ้งครอบครัวไปในยามที่ลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวของเขาก็เต็มไปด้วยความรัก ความผิดพลาด และการเรียนรู้ที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ย้อนกลับไปในวันที่ชัยอายุเพียงสิบแปดปี เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ร้อนรนด้วยความรักที่มีต่อ "จำปี" หญิงสาวที่เขาหมายปอง ในสายตาของเด็กหนุ่มตอนนั้น ครอบครัวของจำปีดูจะมีฐานะมั่นคงจากการเป็น "ผู้รับเหมาก่อสร้าง" (ตามที่เขาเข้าใจผิดไปเอง) การแต่งงานกับหล่อนดูเหมือนจะเป็นการสร้างอนาคตที่สดใส ความรักทำให้เขาหน้ามืดตามัวทำจำปีท้องด้วยความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ การชิงสุกก่อนห่ามทำให้เกิดผลที่คาดไม่ถึงตามมา เขารบเร้าขอให้พ่อแม่ช่วยจัดงานแต่งงานให้โดยไม่ได้รับรู้ถึงความลำบากใจและความฝืดเคืองของครอบครัวในขณะนั้นอย่างแท้จริง&nb
หลังจากที่แขกเหรื่อทยอยกันกลับ และผู้ใหญ่ได้ทำพิธีส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอตามประเพณีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในเรือนไม้สักริมบึงบัวก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ เหลือเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่ด้วยความสุขใจ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จและความสุขอยู่นั้น ในใจของหลินกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าใจหาย... มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับตอนที่เธอถูกดึงให้ย้อนเวลากลับมาในอดีตไม่มีผิด ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวขึ้น และความผูกพันที่เธอมีต่อโลกใบนี้... มันดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนรางลง... (หรือว่า... จะถึงเวลาแล้วสินะ...) หลินคิดในใจ หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกัน ทั้งดีใจที่ภารกิจสำเร็จลุล่วง และใจหายที่จะต้องจากทุกคนที่เธอรักไป น้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงต
หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ไปหาฤกษ์งามยามดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันมงคลสมรสที่ทุกคนรอคอยของใช้และสวยก็มาถึง เช้าตรู่ของวันนั้น บรรยากาศที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งก็คือร้านขายผ้าของเถ้าแก่มิ่งคึกคักเป็นพิเศษ มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าและพิธีรดน้ำสังข์ไว้อย่างสวยงามตามฐานะ ญาติสนิทมิตรสหายของฝ่ายหญิงต่างก็มาช่วยงานกันอย่างแข็งขัน ส่วนทางด้านบ้านตึกแถวในตลาดของฝ่ายเจ้าบ่าวก็คึกคักไม่แพ้กัน เคี้ยงและตงอยู่ในชุดผ้าไหมสีทองอร่ามสมฐานะเจ้าภาพ กำลังดูแลความเรียบร้อยของขบวนขันหมากเป็นครั้งสุดท้าย และที่โดดเด่นสะดุดตาในวันนี้ คือภาพของใช้ เจ้าบ่าวที่อยู่ในชุดสูทกางเกงสีครีมทั้งชุดซึ่งเป็นสไตล์ที่ดูทันสมัยแบบสากล เนื้อผ้าเนี้ยบกริบตัดเย็บอย่างประณีต ทำให้ร่างสูงโปร่งของเขาดูสง่างามและภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง