ในระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งพักให้หายเหนื่อยอยู่นั้นหลินก็ได้อาศัยจังหวะนี้เดินมากับเกสรทางห้องครัวเธอไม่ต้องการให้เคี้ยงเหนื่อยทำอาหารเย็นอีก ดังนั้นจึงได้เสกอาหารชุดใหญ่ออกมา
ไม่ว่าจะเป็นหมูตุ๋นน้ำแดง ผัดผักบุ้ง ไข่เจียวฟูกรอบ ต้มยำรวมมิตรน้ำข้น และโจ๊กสำหรับอากง กลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ นั้นช่างทรงพลังอย่างยิ่ง มันแทรกซึมไปทั่วทุกอณูของบ้านไม้กึ่งปูนหลังใหม่ ปลุกสัญชาตญาณความหิวของทุกคนที่กำลังนั่งพักผ่อนให้ตื่นตัวขึ้นมาทันที
โครกกกก... ครากกกก...
เสียงท้องร้องประท้วงดังขึ้นจากหลายทิศทาง แต่ที่ดังชัดเจนและน่าอายที่สุดเห็นจะเป็นเสียงท้องของใช้นั่นเอง! เด็กหนุ่มถึงกับหน้าแดงก่ำรีบเอามือกุมท้องตัวเองไว้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลิ่นหอมยั่วยวนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ได้
"โอ๊ย! กลิ่นอะไรวะเนี่ย! หอมจนท้องกิ่วไปหมดแล้ว!" ใช้โพล่งออกมาอย่างทนไม่ไหว เขาผุดลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินไปดูที่มาของกลิ่นในครัว
ตงที่นอนพักอยู่บนเตียงโยกในห้องโถงที่หลินแอบจัดไว้ให้ชั้นล่างเพื่อความสะดวกก็ยังต้องพยาย
ค่ำคืนนั้นทุกคนในบ้านต่างหลับใหลไปด้วยความคิดของแต่ละคนจวบจนกระทั่งถึงเช้าวันต่อมาซึ่งวันนี้เป็นวันเสาร์ เป็นวันที่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่รอคอยเพราะไม่ต้องไปโรงเรียนใช้เองก็เช่นกัน วันนี้เด็กหนุ่มดูกระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษตั้งแต่ตื่นนอน เขาเดินผิวปากลงมาจากชั้นบนด้วยท่าทางอารมณ์ดีช่วยม๊าและเกสรยกของจัดร้านเตรียมเปิดขายข้าวแกงรอบเช้าอย่างแข็งขันผิดกับวันปกติที่มักจะมีอิดออดบ้างเล็กน้อยตามประสาหลินที่นั่งมองดูปฏิกิริยาของป๊าตัวเองในวัยเด็กอยู่เงียบ ๆ ก็อดที่จะหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้"ป๊าดูสดชื่นมากเลยนะคะวันนี้" เจ้าตัวเล็กเอ่ยแซวยกมือกอดอกทำท่าทางราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยที่กำลังจับสังเกต"ใครป๊าลื้อ! เปี๊ยก!" ใช้ หันมาแยกเขี้ยวใส่ทันควันแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก "อั๊วบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้เรียกอั๊วว่าเฮีย ไม่ใช่ป๊า!""ก็ได้ค่ะ... เฮีย" หลินรับคำเสียงเบาแต่ก็แอบอมลมจนแก้มป่องอย่างน่ารัก"ดีมาก!" ใช้ยืดอกอย่างพอใจ "เป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่แบบนี้แหละจะได้โตเร็ว ๆ" เขาพูดพลางยกมือของตัวเองขึ้น
ใช้กำหมัดแน่น อยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็รู้ว่าสู้แรงพวกมันไม่ได้ ตงเองก็พยายามจะเข้าไปช่วยเช่นกันทว่า...อาการที่หลังของเขาก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเสียก่อนในจังหวะนั้นเอง... เกสรที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยแววตาสงบนิ่งมาตลอดก็ค่อย ๆ ก้าวออกมา หล่อนยืนประจันหน้ากับกลุ่มอันธพาลอย่างไม่เกรงกลัว"พวกแกจะทำอะไรคุณประทีป" น้ำเสียงของหล่อนเรียบเฉยแต่กลับเย็นเยียบจนน่าขนลุกหัวหน้ากลุ่มอันธพาลหันมามองเกสรด้วยท่าทางหยาบคาย "น้องสาว! อย่ามาเข้ามายุ่งเลยดีกว่า พี่เกรงว่าจะพลั้งมือทำให้ใบหน้าสวย ๆ ของน้องเป็นรอย" มันไม่พูดเปล่ายังจะเอื้อมมือมาจับปลายคางของนางไม้สาวอีกด้วยใช้ที่เห็นแบบนี้เจ้าตัวก็ตั้งท่าปรี่เข้ามา แม้ว่าเขาจะเจ็บตัวแต่ยังไงเขาก็ไม่มีทางให้คนเลวพวกนี้กล้าแตะต้องหญิงสาวที่นับถือเหมือนพี่สาวทว่า....เท้าของเขายังก้าวไปไม่ถึงไหนและก่อนที่มือหยาบกร้านของมันจะทันได้สัมผัสตัวของนางไม้จำแลง...วูบ!ทันใดนั้น! อากาศรอบตัวก็ของพวกมันพลันเย็นเยียบลงอย่างน่าประหลาด! ความรู้สึกกดดันอันหนักอึ้งแผ่กระจายไปทั่วบริเวณกลุ่มอันธพาลทั้งสี่คนรู้สึก
เช้าวันต่อมากิจกรรมยามเช้าของบ้านหลังน้อยริมคลองของครอบครัวก็ดำเนินไปอย่างเช่นทุกวันที่ผ่านมานับตั้งแต่เปิดร้าน เสียงตะหลิวกระทบกระทะ เสียงสับหมูสับผัก เสียงลูกค้าสั่งอาหาร และเสียงพูดคุยจอแจดังผสมปนเปกันไปหมด สร้างบรรยากาศมีชีวิตชีวาให้กับมุมเล็ก ๆ ท้ายซอยอันเงียบเหงามานานกลิ่นหอมของน้ำยากะทิปลาช่อนหม้อใหญ่ที่เคี้ยงลงมือปรุงตั้งแต่เช้ามืด และผัดเผ็ดเครื่องในรสจัดจ้านที่เกสรช่วยผัดอย่างคล่องแคล่วลอยอบอวลไปทั่วบริเวณดึงดูดลูกค้าทั้งหน้าเก่าที่ติดใจในรสชาติและหน้าใหม่ที่ได้ยินคำร่ำลือแล้วอยากจะมาลองชิมให้แวะเวียนเข้ามาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสายตงซึ่งวันนี้อาการปวดหลังดีขึ้นมากจนไม่ต้องใช้ไม้เท้าแล้วแม้หมอที่รักษาจะยังคงกำชับเรื่องห้ามยกของหนักอยู่ เขาก็ออกมานั่งที่โต๊ะไม้ตัวหนึ่งหน้าร้านคอยมองดูภรรยา หลานสาว และเกสร ช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็งและรับเงินทอนเงินดวงตาของเขาฉายแววภูมิใจระคนยินดีที่เห็นกิจการเล็ก ๆ ของครอบครัวกำลังไปได้สวย ลูกค้าที่เข้าร้านมาไม่ขาดสายคือเครื่องยืนยันความสำเร็จก้าวแรกของพ
ขณะที่ครอบครัวของหลินกำลังตัดสินใจอยู่นั้น คุณประทีปเจ้าของบ้านที่กำลังป่วยหนักและกำลังจะไร้ที่อยู่ก็ได้แต่ย้ายตัวเองจากฟูกนอนเก่ามานั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่างผุพัง ดวงตาของเขาว่างเปล่ามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีใครรู้ว่าในหัวของเขากำลังคิดถึงเรื่องอะไร หรือเคยเจอกับความโหดร้ายใด ๆ มาบ้างในชีวิตที่ผ่านมาพี่เกสร คุณอาคนนั้นเขาจะไม่เป็นไรใช่ไหมจ๊ะ หลินถามอย่างสงสารทว่าเธอก็ไม่รู้ว่าจะช่วยสิ่งใดได้ เรื่องนี้เกินกำลังที่เธอจะตัดสินใจได้เองเด็กน้อย ข้าจะพาเจ้าไปดูอะไรดีไหม จบคำของนางไม้สาวร่างกายของหลินก็คล้ายกำลังล่องลอยเธอคล้ายรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเบาหวิวไร้น้ำหนักมันเหมือนกับครั้งแรกที่เธอได้ย้อนเวลามายังสถานที่แห่งนี้ไม่มีผิดและในที่สุดร่างของเธอก็หยุดนิ่งในรูปลักษณ์โปร่งแสง "ฉันตายแล้วอย่างนั้นหรือ" หลินพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่าและสับสนเธอพยายามยกมือโปร่งแสงของตัวเองขึ้นมอง บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกตอนนี้คือโหยหาถึงอนาคตหรือเศร้าเสียใจกับปัจจุบัน หรือเป็นเพียงความประหลาดใจที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
เมื่อเคี้ยงเห็นว่าประทีปมีท่าทีอ่อนลงและคลายความระแวงลงมากแล้ว หล่อนจึงตัดสินใจเอ่ยถึงเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ออกมา"คุณประทีปคะ... ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาของคุณจะเป็นอย่างไร ตอนนี้คุณป่วยหนักมากพวกเราจะทิ้งคุณไว้แบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงใจ"ก่อนอื่นเลยนะคะ... พวกเราต้องพาคุณไปโรงพยาบาล ให้หมอตรวจดูอาการให้ละเอียด แล้วค่อยว่ากันว่าจะรักษากันอย่างไรต่อไป"ประทีปมองหน้าเคี้ยงด้วยแววตาซาบซึ้ง เขารู้ดีว่าตัวเองแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะดูแลตัวเองแล้ว การมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยในยามนี้มันเหมือนปาฏิหาริย์เหลือเกินทั้งที่พวกเขาไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตัวเองด้วยซ้ำ"ขอบคุณพวกคุณมาก..." เขากล่าวเสียงแผ่ว พยายามขยับตัวอย่างยากลำบากเอื้อมมือไปหยิบกล่องไม้เก่า ๆ ใบหนึ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ฟูกนอนที่ยุบแบน เขารื้อค้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบเอาเอกสารสำคัญแผ่นหนึ่งออกมา มันคือโฉนดที่ดินริมบึงบัวผืนนั้นนั่นเอง"นี่..." ประทีปยื่นโฉนดที่ดินที่ดูเก่าเหลืองแผ่นนั้นส่งให้เคี้ยงด้วยมืออันสั่นเทา"นี่คือโฉนดที่ดินริมบึง
"ได้สิ! กินให้อร่อยนะจ๊ะ แล้วก็... ถ้ามีเพื่อน ๆ ก็เรียกมากินด้วยกันได้เลยนะ พวกเราตั้งใจเอามาให้ทุกคนที่นี่กินอยู่แล้ว"วิญญาณของเด็กหญิงดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ ร่างโปร่งแสงของเธอก้มลงใกล้จานหมูย่าง... และเพียงครู่เดียว หมูย่างในจานก็ดูเหมือนจะซีดจางลงเล็กน้อยราวกับถูกดูดกลืนพลังงานบางอย่างไป พร้อมกับที่ร่างของเด็กหญิงวิญญาณดูจะมีสีสันและความอิ่มเอิบขึ้นมานิดหน่อยอย่างน่าประหลาด"อร่อย... อร่อยที่สุดเลยจ้ะพี่สาว!" เด็กหญิงวิญญาณพูดด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้นกว่าเดิมมาก"ขอบคุณพี่สาวมากนะจ๊ะ! หนูไม่ได้กินอะไรอร่อยแบบนี้มานานมากแล้ว" พูดจบเธอก็ยกมือไหว้หลิน ก่อนที่ร่างจะค่อย ๆ จางหายไปรวมกับกลุ่มควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบด้านขณะเดียวกัน เสียงกระซิบกระซาบโหยหวนของเหล่าวิญญาณอื่น ๆ ที่หลินได้ยินก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป จากความหิวโหยเป็นความสนใจใคร่รู้และมีความหวังมากขึ้นเมื่อรับรู้ว่ามีอาหารมาถึงพวกเขาแล้วและยังมีคนสามารถเลี้ยงพวกเขาได้ทันใดนั้น เสียงที่ดูจะมีอายุและทรงภูมิที่สุดในบรรดาวิญญาณเหล่านั้นก็ดังขึ้นในโสตประสาทของหลินรวมถึงนางไม้เกสร"