"ใช่เสียงของจำปีหรือเปล่า" เคี้ยงพูดออกมาโดยไม่เจาะจงว่าหล่อนถามใคร
"ใช่ครับ อั๊วขอไปดูก่อน" ชัยตอบพลางลุกจากพื้น
ชายหนุ่มเดินเร็ว ๆ ออกไปยังชานตรงบันไดเรือน ที่นั่น หญิงสาวในชุดเสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงินกับผ้าซิ่นสีเดียวกันยืนรออยู่จริงด้วยท่าทางกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
แสงสลัวจากในบ้านส่องให้เห็นใบหน้าของจำปีไม่ถนัดนัก แต่พอชัยเดินเข้าไปใกล้เขาก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของคนรักนั้นซีดเผือด ดวงตาฉายแวววิตกกังวลอย่างปิดไม่มิด มือทั้งสองข้างบีบกันแน่นอยู่ตรงหน้าตัก
"จำปี... มีอะไรรึ มาถึงนี่" ชัยถามเสียงเบาพยายามควบคุมความรู้สึกตัวเองหลังจากเพิ่งมีปากเสียงกับพ่อเรื่องของหล่อนไปหมาด ๆ
จำปีเงยหน้าขึ้นสบตาของเขา แววตาของหล่อนสั่นระริก ก่อนจะตัดสินใจดึงแขนคนรักให้เดินลงบันไดไปสองสามขั้น เพื่อให้พ้นจากสายตาของคนที่อยู่ในตัวเรือนซึ่งอาจจะมองออกมา
"เฮีย..." จำปีเรียกเสียงสั่นเครือ น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด "ฉัน... ฉัน..." หล่อนอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาปี๋แล้วโพล่งออกมา "ฉันท้อง!"
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจของชัย เขายืนนิ่งตัวแข็งทื่อดวงตาเบิกกว้างจ้องหน้าจำปีอย่างไม่อยากจะเชื่อ "ล... ลื้อว่าอะไรนะ จำปี"
"ฉันท้อง!" จำปีทวนคำเสียงดังขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังคงกดเสียงให้ต่ำอยู่ "ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง" น้ำตาเริ่มคลอหน่วยดวงตาคู่งามของหล่อน
"พ่อกับแม่ฉันยังไม่รู้นะเฮีย ถ้าพวกเขารู้ก่อนที่เราจะแต่งกัน เรื่องใหญ่แน่"
ชัยรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหมุนคว้าง ข่าวนี้มันหนักหน่วงเกินกว่าที่เขาจะตั้งรับได้ทัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่บ้านก็กำลังตึงเครียดอยู่แล้ว
"เฮียต้องรับผิดชอบนะ" จำปีพูดต่ออย่างร้อนรน น้ำเสียงเกือบจะเป็นขอร้อง มือของหล่อนคว้าแขนชัยไว้แน่น "เราต้องรีบแต่งงานกันให้เร็วที่สุด แล้วเรื่องที่พ่อฉันบอก... เรื่องให้เฮียไปอยู่บ้านเรา ไปช่วยงานพ่อ... เฮียต้องรีบตัดสินใจนะ ที่สำคัญ..."
จำปีสูดหายใจลึกกลั้นใจพูดสิ่งที่ยากเย็นที่สุดออกมา "พ่อบอกว่า... สินสอดต้องมีเงินสดห้าร้อยบาทกับทองอีกหนึ่งบาทด้วย... เฮียต้องรีบหามานะ ก่อนที่พ่อแม่ฉันจะรู้เรื่อง"
ห้าร้อยบาทกับทองคำอีกหนึ่งบาท! ตัวเลขนั้นตอกย้ำลงบนความรู้สึกของชัยที่กำลังมึนงงอยู่แล้วให้หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม เขารู้สึกเหมือนกำลังจะล้มทั้งยืน
แรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทาง ทั้งเรื่องที่ต้องรับผิดชอบจำปี เรื่องที่ต้องขัดใจพ่อแม่ตัวเอง และตอนนี้คือเรื่องเงินสินสอดจำนวนมากที่เขาไม่รู้จะไปหามาจากไหนในเวลาอันสั้น
ชัยได้แต่ยืนนิ่งหน้าซีดเผือดพูดอะไรไม่ออกมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของคนรักด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออกนี้เขาควรจะทำเช่นไร
ในขณะที่ชัยยังคงยืนนิ่งตัวแข็งทื่อรับมือกับข่าวร้ายและแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวอยู่นั้น ห่างออกไปไม่ไกลนัก ตรงมุมมืดของชานเรือนก่อนถึงบันไดขั้นสุดท้าย ร่างผอมบางของใช้ที่แอบย่องตามลงมาดูเหตุการณ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ปรากฏขึ้น
เด็กชายซ่อนตัวอยู่หลังเสาไม้ต้นใหญ่เงี่ยหูฟังบทสนทนาเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียดของพี่ชายกับคนรัก แม้จะได้ยินไม่ครบทุกคำแต่คำสำคัญอย่างท้องและพ่อแม่ยังไม่รู้ รวมถึงคำว่าต้องรับผิดชอบและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินสอดห้าร้อย... ทองหนึ่งบาทนั้นดังชัดเจนเข้าหูของใช้เต็ม ๆ ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนตื่นเต้น เรื่องใหญ่ขนาดนี้!
เมื่อเห็นว่าจำปีเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นและชัยยังคงยืนนิ่งเหมือนคนสติหลุด ใช้ก็รีบหมุนตัวย่องกลับขึ้นเรือนไปอย่างเงียบเชียบที่สุด เขารีบตรงไปยังจุดที่พ่อกับแม่นั่งอยู่ทันที ลืมเรื่องที่ตัวเองโดนพ่อดุไปเสียสนิท
"ป๊า! ม๊า!" ใช้ พยายามกระซิบเสียงเบาเรียกพ่อกับแม่ก่อนจะแสดงสีหน้าตื่นตระหนก "แย่แล้ว! เฮียชัย..."
ตงกับเคี้ยงหันมามองลูกชายคนเล็กพร้อมกันด้วยความสงสัย "อะไรของลื้ออาตี๋" ป๊าทำสีหน้าคล้ายรำคาญ
"อั๊วแอบได้ยินเฮียคุยกับพี่จำปี!" ใช้รายงานเสียงสั่น "หล่อน... บอกว่าตัวเองท้อง! แล้วพ่อของหล่อน... พ่อของหล่อนต้องการเรียกสินสอดตั้งห้าร้อยบาทกับทองอีกบาทนึงแน่ะ!"
สิ้นเสียงของใช้ป๊าของเขาก็ตบเข่าตัวเองดังฉาด! ลุกพรวดขึ้นยืนทันที ใบหน้าคมเข้มแดงก่ำด้วยความโกรธจัด เส้นเลือดปูดโปนขึ้นที่ขมับ
"อั๊วว่าแล้ว! ไม่ผิดจริง ๆ! ไอ้ลูกเวรตะไลคนนี้!" เสียงของชายวัยกลางคนดังลั่นไปทั่วบ้านจนหลินสะดุ้งสุดตัว "อั๊วเตือนมันกี่ครั้งกี่หนแล้ว! เรื่องผู้หญิงคนนี้! บอกให้มันยับยั้งชั่งใจรู้จักป้องกันตัวเอง! ไม่เคยจะฟังกันเลย!"
ป๊าของสองพี่น้องกำหมัดแน่นเดินวนไปมาเหมือนเสือ ติดจั่น "หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ครอบครัวจนได้! ทำผู้หญิงท้องก่อนแต่ง! แล้วดูสินสอดที่มันเรียกมา! ห้าร้อย! ทองอีกบาท! นี่มันไม่เรียกว่าปล้นกันหรอกเหรอ"
ทางด้านเคี้ยงพอได้ยินข่าวร้ายนี้หล่อนก็หน้าซีดเผือด ยกมือขึ้นทาบอกอย่างคนหัวใจจะวาย น้ำตาไหลพรากออกมาทันที "ตายแล้ว... ตายแล้วจริงๆ อาชัย... ทำไมทำเรื่องแบบนี้... แล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน... อีกทั้งสินสอดตั้งมากมายขนาดนั้น เราจะไปหามาจากไหนกัน" นางเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ กลัดกลุ้ม และอับอาย
หลินนั่งตัวลีบมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว ถึงกระนั้นด้วยความที่เธอคือผู้ใหญ่ที่อยู่ในร่างของเด็กน้อยเจ้าตัวก็พยายามตั้งสติและคิดหาทางออกให้กับครอบครัวของตนในตอนนี้
"อาม่า! อากง! หนูคิดว่าทุกคนควรจะใจเย็นก่อนนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ก็จริง ทว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมีทางเดียวคือเราต้องรีบหาทางแก้ไข" เสียงเล็กใสแต่แฝงความหนักแน่นของหลินดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด
ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์โกรธและเสียใจชะงักไปเล็กน้อยหันมามองเด็กหญิงเป็นตาเดียว หลินสูดหายใจเข้าปอดลึกพยายามรวบรวมความกล้า
"หนูว่า อาม่าลองไปเรียกเฮียชัยกับพี่จำปีขึ้นมาคุยกันดี ๆ ก่อนดีไหมคะ บางทีเรื่องสินสอดอาจจะพอคุยกันได้"
เคี้ยงมองหน้าหลานสาวด้วยแววตาประหลาดใจระคนทึ่งก่อนจะหันไปสบตากับสามี อากงตงยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงแต่ก็พยักหน้าอนุญาตเพราะอย่างไรเสียก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอยู่ดี เคี้ยงจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปยังบันไดบ้านแล้วส่งเสียงเรียกคนทั้งคู่
"อาชัย อาจำปี ขึ้นมาคุยกันบนบ้านก่อนลูก"
ครู่ต่อมาชัยกับจำปีก็เดินขึ้นมาบนเรือน ทั้งคู่หน้าซีดเผือด จำปียังมีคราบน้ำตาเปรอะแก้ม เธอหลบสายตาเกรี้ยวกราดของอากงก้มหน้างุดยืนอยู่ข้างชัยพยายามทำตัวลีบเล็ก
"นั่งก่อนสิ" อาม่าเอ่ยขึ้นเสียงเบาพยายามทำให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุด
เมื่อทั้งคู่นั่งลงแล้ว อาม่าก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
"อาจำปี... เรื่องสินสอดที่พ่อหนูเรียกมา... ห้าร้อยกับทองบาทนึงน่ะลูก..." นางเว้นช่วง กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก "มัน... มันก็หนักหนาเอาการอยู่สำหรับบ้านเรา หนูพอจะมีทางพูดคุยกับพ่อแม่หนูขอลดหย่อนลงบ้างได้ไหมจ๊ะ" เคี้ยงพยายามนึกคำที่ตัวเองนึกออกพูดออกมาอย่างช้าชัดเท่าที่จะทำได้
จำปีส่ายหน้าด้วยน้ำตาคลอหน่วย "หนู... หนูไม่กล้าพูดหรอกค่ะม๊า พ่อหนูเขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ถ้าเขารู้ว่าหนูท้องก่อนแต่งแบบนี้แล้วเรายังไปต่อรองอีก เขา..เขาต้องโกรธมากแน่ ๆ ค่ะ" เสียงของหล่อนสั่นเครือ
คำตอบนั้นทำให้อาม่าหน้าเสียลงไปอีก อากงถอนหายใจอย่างแรงด้วยความขัดใจเมื่อเห็นว่าการเจรจาเรื่องสินสอดไม่เป็นผล และบรรยากาศก็กดดันจนน่าอึดอัด จำปีจึงรีบยกมือไหว้ลา
"เอ่อ... งั้น... หนูขอกลับก่อนนะคะม๊า ป๊า" หล่อนแทบจะไม่ได้รอคำตอบรีบหันหลังเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ชัยมองตามด้วยแววตาที่สับสนก่อนจะเดินตามลงไปส่งคนรักแค่ที่เชิงบันไดแล้วกลับขึ้นมาบนเรือนอย่างเงียบงัน
หลินมองใบหน้าของทุกคนด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูกเพราะก่อนหน้านี้เธอกำลังจะบอกความจริงเรื่องของพ่อจำปีอยู่ทว่าเหตุการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องปล่อยให้ชะตาของแปะเป็นไปตามเดิม
(บางครั้งโชคชะตาของใครก็คงเป็นของคนนั้นเราคงไม่สามารถเปลี่ยนได้ทั้งหมด ทว่ามีทางเดียวคือต้องคอยดูและรับมือตามสถานการณ์) เธอคิด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย... จากทารกน้อยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนยิ้มแต้ในเปล บัดนี้ "อาหมวยน้อยหลิน" เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ฉลาดและน่ารักเกินวัย เธอกำลังจะเตรียมตัวเข้าโรงเรียนอนุบาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กหญิงได้เห็นกิจการของครอบครัวเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ร้าน "อาม่า หมูกระทะริมบึง" ได้ขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นระบบระเบียบของใช้และผู้จัดการอาทิตย์ และด้วยความมั่นคงนี้เอง หลินก็ได้เริ่ม "ภารกิจ" ใหม่ของเธอ เธอมักจะแนะนำแบบอ้อม ๆ ให้ป๊านำเงินกำไรไปลงทุนซื้อที่ดินแปลงสวย ๆ ในทำเลที่มีแนวโน้มว่าจะเจริญในอนาคตเก็บไว้ โดยเด็กหญิงมักอ้างว่า "หนูฝันเห็น" หรือ "หนูรู้สึกว่าตรงนี้มันสวยดี" ซึ่งใช้ที่เชื่อใน "ความโชคดี" และสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของลูกสาวคนนี้อย่
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี...ชีวิตของทุกคนในครอบครัวตงและครอบครัวสาขาต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามที่อาทิตย์จัดการ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของทุกคนยิ่งมั่นคง และแล้วข่าวดีที่ทุกคนรอคอยก็มาเยือนครอบครัวตงอีกครั้ง เมื่อสวยภรรยาของใช้ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง! และด้วยความเจริญทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น ทำให้การไปฝากครรภ์ในครั้งนี้พวกเขาสามารถรู้เพศของทารกในครรภ์ได้ล่วงหน้า... และผลก็คือ พวกเขากำลังจะได้สมาชิกใหม่เป็น "เด็กผู้ชาย"! สร้างความยินดีให้กับอากงตงและอาม่าเคี้ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีหลานชายมาสืบสกุลเพิ่มอีกคน สำหรับหลินน้อยที่ตอนนี้อายุได้หนึ่งขวบกว่าแล้ว แม้ร่างกายจะเป็นเพียงทารกที่เพิ่งจะเริ่มหัดเดินเตาะแตะและ หัดพูดเ
เวลาผ่านไปอีกหกเดือน... หลินน้อยเติบโตขึ้นเป็นทารกที่จ้ำม่ำน่ารักน่าชัง ผิวขาวผ่องและมีดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส เป็นที่รักและเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัวใหญ่ ทั้งอากงตงและอาม่าเคี้ยงที่ตอนนี้มีความสุขกับการได้เลี้ยงหลานคนแรกของลูกชายคนเล็กอย่างเต็มที่ รวมถึงลุงชัยและป้าจำปีที่มักจะพาลูก ๆ ทั้งสองคนมาเยี่ยมเยียนและเล่นกับน้องหลินอยู่เสมอ ชีวิตของทุกคนดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะทั้งสาขาใหญ่และสาขาย่อยต่างก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง และในช่วงเวลานี้เองกระแสแห่งความเจริญจากเมืองหลวงก็ได้เริ่มคืบคลานเข้ามายังตัวอำเภอที่เคยดูจะเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด และสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือการมาถึงของ "ห้างสรรพสินค้า" ขนาดใหญ่และทันสมัยแห่งแรกของจังหวัด!
ในสายตาของใครหลายคน ชัยอาจจะดูเป็นลูกชายคนโตที่ทอดทิ้งครอบครัวไปในยามที่ลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวของเขาก็เต็มไปด้วยความรัก ความผิดพลาด และการเรียนรู้ที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ย้อนกลับไปในวันที่ชัยอายุเพียงสิบแปดปี เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ร้อนรนด้วยความรักที่มีต่อ "จำปี" หญิงสาวที่เขาหมายปอง ในสายตาของเด็กหนุ่มตอนนั้น ครอบครัวของจำปีดูจะมีฐานะมั่นคงจากการเป็น "ผู้รับเหมาก่อสร้าง" (ตามที่เขาเข้าใจผิดไปเอง) การแต่งงานกับหล่อนดูเหมือนจะเป็นการสร้างอนาคตที่สดใส ความรักทำให้เขาหน้ามืดตามัวทำจำปีท้องด้วยความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ การชิงสุกก่อนห่ามทำให้เกิดผลที่คาดไม่ถึงตามมา เขารบเร้าขอให้พ่อแม่ช่วยจัดงานแต่งงานให้โดยไม่ได้รับรู้ถึงความลำบากใจและความฝืดเคืองของครอบครัวในขณะนั้นอย่างแท้จริง&nb
หลังจากที่แขกเหรื่อทยอยกันกลับ และผู้ใหญ่ได้ทำพิธีส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอตามประเพณีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในเรือนไม้สักริมบึงบัวก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ เหลือเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่ด้วยความสุขใจ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จและความสุขอยู่นั้น ในใจของหลินกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าใจหาย... มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับตอนที่เธอถูกดึงให้ย้อนเวลากลับมาในอดีตไม่มีผิด ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวขึ้น และความผูกพันที่เธอมีต่อโลกใบนี้... มันดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนรางลง... (หรือว่า... จะถึงเวลาแล้วสินะ...) หลินคิดในใจ หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกัน ทั้งดีใจที่ภารกิจสำเร็จลุล่วง และใจหายที่จะต้องจากทุกคนที่เธอรักไป น้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงต
หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ไปหาฤกษ์งามยามดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันมงคลสมรสที่ทุกคนรอคอยของใช้และสวยก็มาถึง เช้าตรู่ของวันนั้น บรรยากาศที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งก็คือร้านขายผ้าของเถ้าแก่มิ่งคึกคักเป็นพิเศษ มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าและพิธีรดน้ำสังข์ไว้อย่างสวยงามตามฐานะ ญาติสนิทมิตรสหายของฝ่ายหญิงต่างก็มาช่วยงานกันอย่างแข็งขัน ส่วนทางด้านบ้านตึกแถวในตลาดของฝ่ายเจ้าบ่าวก็คึกคักไม่แพ้กัน เคี้ยงและตงอยู่ในชุดผ้าไหมสีทองอร่ามสมฐานะเจ้าภาพ กำลังดูแลความเรียบร้อยของขบวนขันหมากเป็นครั้งสุดท้าย และที่โดดเด่นสะดุดตาในวันนี้ คือภาพของใช้ เจ้าบ่าวที่อยู่ในชุดสูทกางเกงสีครีมทั้งชุดซึ่งเป็นสไตล์ที่ดูทันสมัยแบบสากล เนื้อผ้าเนี้ยบกริบตัดเย็บอย่างประณีต ทำให้ร่างสูงโปร่งของเขาดูสง่างามและภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง