ในขณะที่แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ โรยตัวลงหลังแนวไม้ไผ่ห่างออกไปไม่ไกลท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมม่วงไล่เฉดจนเข้มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมลมเย็นที่พัดผ่านใบไม้ให้สั่นไหวแผ่วเบา เป็นความสบายที่แตกต่างจากอากาศร้อนอบอ้าวของช่วงกลางวันโดยสิ้นเชิง
ม่าเคี้ยงเดินนำหลินลงมายังท่าน้ำหลังบ้านริมคลองสายเล็กที่ไหลเอื่อย มีเพียงแผ่นไม้ไม่กี่แผ่นปูต่อกันยื่นออกไปพอให้ยืนเหยียบได้พอดี บันไดไม้เล็ก ๆ นำทางลงสู่ผืนน้ำขุ่นข้นที่มีกลิ่นดินเฉพาะตัว
ในมืออาม่ามีขันอะลูมิเนียมใบเล็กกับสบู่สมุนไพรสีเขียวเข้ม กลิ่นหอมจาง ๆ แบบไทยแท้โชยออกมา หลินอยู่ในผ้าถุงลายดอกสีซีดกระโจมอกตามแบบฉบับของหญิงสาวยุคก่อนที่อาม่าเป็นคนช่วยนุ่งให้เรียบร้อย
มันทั้งแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น ความรู้สึกโล่ง ๆ วูบวาบที่เธอไม่เคยชินในชีวิตประจำวันที่ต้องมาอาบน้ำในที่โล่งแจ้งพลันเกิดขึ้น
“ลงมาสิอาหมวย น้ำกำลังเย็นสบายเลย” เสียงอาม่าที่ลงไปยืนอยู่ในน้ำระดับเอวแล้วเอ่ยเรียกพร้อมกับกวักมือส่งยิ้มมาอย่างอ่อนโยน
หลินสูดลมหายใจลึกก่อนจะค่อย ๆ ย่ำบันไดไม้ลงไปทีละขั้น เมื่อฝ่าเท้าแตะกับผิวน้ำความเย็นวาบแล่นไล่จากเท้าขึ้นมาถึงแผ่นหลังทำเอาสะดุ้งเล็กน้อย แต่แล้วความสดชื่นก็เข้ามาแทนที่จนเธอหลุดยิ้มออกมา
“มานี่ มาใกล้ ๆ ม่า” อาม่าดึงมือหลานสาวให้มายืนเคียงข้าง ให้น้ำในคลองตรงขั้นบันไดลึกถึงอกของเด็กหญิงพอดี “ค่อย ๆ ตักน้ำราดตัวนะ ทำแบบนี้” เสียงนุ่ม ๆ ของอาม่าพร้อมการสาธิตตักน้ำราดลงไหล่อย่างแช่มช้า
หลินรับขันมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วลองตักน้ำราดบ่าตัวเองดูบ้าง แม้จะรู้ว่าน้ำคลองไม่สะอาดเท่าน้ำประปาแต่มันกลับให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูก มีกลิ่นดินกลิ่นไม้ผสมผสานกับความเย็นยามลมพัด
ในขณะที่เธอกำลังตั้งใจอาบน้ำอยู่นั้น เสียงน้ำกระจายตูมใหญ่จากฝั่งตรงข้ามทำให้หลินเงยหน้าขึ้นทันที ภาพเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันกับเธอบ้างตัวเปล่าเปลือย บ้างสวมกางเกงขาสั้นตัวเก่าวิ่งกระโดดจากท่าน้ำไม้สูง ๆ ลงคลอง แข่งกันดำผุดดำว่ายในน้ำที่เริ่มมืดลงด้วยแสงตะวันสุดท้ายก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักดังไปทั่ว
สายตาหลินติดอยู่ที่ภาพนั้นอย่างลืมตัว สำหรับเธอการอาบน้ำในคลองร่วมกับคนทั้งชุมชนอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นและได้ทำมาก่อน แต่ที่นี่... มันคือเรื่องธรรมดาในวิถีชีวิตของผู้คน
ไม่นานความเขินอายที่เคยมีเริ่มละลายไปกับสายน้ำ อาม่ายังคงช่วยเธออาบน้ำอย่างใจเย็นไม่ใส่ใจเสียงโหวกเหวกจากอีกฝั่งคลอง หลินจึงได้แต่ยืนให้ม่าช่วยถูสบู่และราดน้ำให้ เธอรู้สึกทั้งอบอุ่นและปลอดภัยในคราวเดียว
เสียงจ๋อมแจ๋มของน้ำที่เธอตักเล่นผสมกับเสียงจิ้งหรีดเรไรยามค่ำที่เริ่มร้องรับแสงดาวเป็นบรรยากาศที่ทั้งเรียบง่ายและงดงามในแบบที่หลินไม่เคยสัมผัส
หลังจากอาบน้ำจนสะอาดสะอ้านอาม่าก็จูงหลานสาวขึ้นจากน้ำมายังท่าน้ำด้านบน ลมเย็นปะทะตัวเปียก ๆ ของหลินจนขนลุกชัน
“เอาละ รีบเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน เดี๋ยวจะไม่สบาย” อาม่าพูดพลางส่งผ้าขนหนูเก่าแต่หอมแดดให้หลิน เธอรับมาพันรอบตัวอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไม่ชินกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงที่โล่งแจ้งแบบนี้
อาม่าเปลี่ยนชุดอย่างคล่องแคล่ว หลินมองแล้วก็พยายามเลียนแบบแต่ก็ไม่วายเก้ ๆ กัง ๆ จนอาม่าต้องเข้ามาช่วยจัดการให้ เสื้อคอกลมผ้าป่านตัวบางกับกางเกงขาสั้นซึ่งหลินคิดว่าน่าจะเป็นกางเกงตัวเก่าของป๊าตัวเองให้ความรู้สึกสบายตัวอย่างประหลาด
เมื่อแต่งตัวเสร็จลมเย็นที่เคยหนาวก็กลายเป็นสายลมอุ่น ที่พัดเอาความเหนื่อยล้าออกไป หลินเดินตามอาม่ากลับขึ้นบ้านที่มีแสงไฟสีส้มสลัวส่องลอดบานหน้าต่างออกมาดูอบอุ่นราวตักของใครบางคน
ภายในบ้าน เฮียชัยกับใช้อาบน้ำเสร็จแล้ว ทั้งสองนั่งเป่าลมไล่ยุงอยู่ข้างอากงที่กำลังสูบยาเส้นกลิ่นฉุนจางอยู่เงียบ ๆ ในเวลานั้นเองเสียงท้องของหลินร้องดังขึ้นท่ามกลางความสงบ เธอสะดุ้งรีบยกมือกุมท้องใบหน้าเห่อร้อนด้วยความอายอย่างช่วยไม่ได้ อาม่าหันขวับมามองก่อนจะหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู
“อ้าว ท้องร้องเสียงดังเชียว หิวแล้วล่ะสิเรา”
แต่เจ้าตัวแสบอย่างใช้กลับหัวเราะลั่น “โห เปี๊ยก! ท้องลื้อร้องอย่างกับกบแน่ะ กินหวานเย็นไปตั้งเยอะยังไม่อิ่มอีกเหรอ!”
“อาตี๋!” อาม่าปรามลูกชายเสียงเรียบแต่อ่อนโยน ก่อนจะลูบหัวหลานสาวเบา ๆ อย่างปลอบใจ
“หิวก็ไม่เป็นไรลูก ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มากินข้าวกันเถอะ ว่าแต่เฮียจะไม่ไปอาบน้ำก่อนเหรอ?” อาม่าหันไปถามอากงที่เพิ่งโยนมวนยาเส้นลงข้างบ้านโดยมีหลินมองตามพลางคิดว่ามันจะไม่ไปไหม้อะไรใช่ไหม
“กินก่อนก็ได้ เดี๋ยวอั๊วค่อยไปอาบ อาบดึกหน่อยจะได้นอนสบาย” อากงตอบเนิบช้าพร้อมลมหายใจที่พ่นออกมาโดยยังมีกลิ่นควันของยาเส้นติดอยู่
พออากงว่าอย่างนั้นใช้ก็รีบยกถาดกับข้าวมาวางกลางบ้าน ชัยลุกไปยกหม้อข้าวต้ม ส่วนหลินก็มองซ้ายขวา มือไม้พันกันเพราะไม่รู้ควรช่วยอะไร
“อาหมวยลื้อมาช่วยยกถ้วยกับม่าเถอะลูก” เสียงอาม่าเรียกทำให้หลินรีบพยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปหาอย่างเต็มใจ
ทุกคนนั่งล้อมวงรอบถาดกับข้าวที่วางอยู่บนเสื่อกลางพื้นบ้าน มีข้าวต้มร้อน ๆ ในชามของแต่ละคน กับข้าวมีเพียงไข่เจียวที่เพิ่งทอดเมื่อตอนเย็นกับผัดผักกวางตุ้งง่าย ๆ แม้จะเป็นมื้ออาหารที่แสนธรรมดาแต่การได้นั่งกินพร้อมหน้ากันก็ทำให้หลินรู้สึกอบอุ่น เสียงช้อนสังกะสีกระทบกับชามกระเบื้องกอปรกับเสียงเคี้ยวข้าวแผ่วเบาทำให้หลินรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ก็ไม่เลว
หลินตักข้าวต้มคำเล็ก ๆ เข้าปากมองดูทุกคนสลับกันไปมา อากงกินข้าวต้มโดยใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปาก ส่วนอาม่าคอยตักกับข้าวให้ทุกคน
ทางด้านใช้ก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างรวดเร็ว อาจจะเพราะความหิวหรืออาจจะเพราะไม่อยากอยู่ในความเงียบ เฮียชัยเองก็กินน้อยลงดูเหมือนมีเรื่องให้ครุ่นคิดตลอดเวลา
และแล้วในจังหวะที่หลายคนกำลังตักข้าวต้มคำต่อไปนั่นเอง ชัยก็วางช้อนลงข้างชาม เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อและแม่สลับกันก่อนจะเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
"ป๊า ม๊า... เรื่องที่อั๊วบอกเมื่อสองวันก่อน ป๊าม๊าจะว่ายังไงทางนั้นกำลังรอคำตอบอยู่" คำพูดนี้ทำให้ทุกคนในวงข้าวมองเขาเป็นทางเดียว
เสียงช้อนกระทบชามเงียบกริบลงทันทีเช่นกัน ทุกการเคลื่อนไหวหยุดชะงัก อากงเงยหน้าขึ้นจากชามข้าวต้มดวงตาที่เคยเรียบเฉยเมื่อครู่ฉายแววขุ่นมัวขึ้น
ด้านอาม่าเคี้ยงมือที่กำลังจะตักกับข้าวให้หลินก็ชะงักค้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ส่วนใช้ทำตาโตมองพี่ชายสลับกับพ่อเหมือนรอว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป
หลินเองก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ความอบอุ่นเมื่อครู่หายวับไปกลายเป็นความเงียบที่หนักอึ้งและน่าอึดอัด เด็กหญิงกลืนข้าวต้มในปากลงคออย่างยากลำบากไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน เจ้าตัวเล็กคิดพลางมองทุกคนสลับกันไปมา
"ป๊าก็รู้ว่าเพราะอะไร" ชัยพูดต่อเสียงเบาลงเล็กน้อย แต่ยังคงหนักแน่นถึงการตัดสินใจของตน
"พ่อของจำปี... เขาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เขาอยากให้อั๊วไปช่วยงานที่บ้าน... หลังแต่งงาน อั๊วเองก็ไม่มีทางเลือกป๊าก็รู้อั๊วกับจำปีรักกัน อีกอย่างนี่ก็เป็นโชคดีของอั๊วแล้วที่อียอมแต่งด้วย"
คำพูดต่อมาของชัยจึงทำให้หลินรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าแปะกำลังจะขอแยกออกไปอยู่ที่อื่น ซึ่งแปะคงยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพ่อของอึ้มนั้นไม่ได้เป็นผู้รับเหมาแต่ว่าเป็นแค่คนงานก่อสร้างธรรมดา และที่ต้องการเอาแปะไปอยู่ด้วยก็เพื่อต้องการแรงงานฟรี เราจะบอกเรื่องนี้ออกไปดีไหมนะ ท่าทางครุ่นคิดของเด็กหญิงหาได้รอดพ้นสายตาของป๊าในร่างของเด็กอายุสิบสี่
"เปี๊ยกลื้อกำลังคิดอะไร" ใช้กระซิบถามเสียงเบาอย่างระมัดระวัง
ทว่าหลินยังไม่ทันได้ตอบชานบันไดหน้าเรือนก็มีเสียงหวานใสของคนผู้หนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
"พี่ชัย อยู่ไหมจ๊ะ"
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย... จากทารกน้อยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนยิ้มแต้ในเปล บัดนี้ "อาหมวยน้อยหลิน" เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ฉลาดและน่ารักเกินวัย เธอกำลังจะเตรียมตัวเข้าโรงเรียนอนุบาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กหญิงได้เห็นกิจการของครอบครัวเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ร้าน "อาม่า หมูกระทะริมบึง" ได้ขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นระบบระเบียบของใช้และผู้จัดการอาทิตย์ และด้วยความมั่นคงนี้เอง หลินก็ได้เริ่ม "ภารกิจ" ใหม่ของเธอ เธอมักจะแนะนำแบบอ้อม ๆ ให้ป๊านำเงินกำไรไปลงทุนซื้อที่ดินแปลงสวย ๆ ในทำเลที่มีแนวโน้มว่าจะเจริญในอนาคตเก็บไว้ โดยเด็กหญิงมักอ้างว่า "หนูฝันเห็น" หรือ "หนูรู้สึกว่าตรงนี้มันสวยดี" ซึ่งใช้ที่เชื่อใน "ความโชคดี" และสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของลูกสาวคนนี้อย่
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี...ชีวิตของทุกคนในครอบครัวตงและครอบครัวสาขาต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามที่อาทิตย์จัดการ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของทุกคนยิ่งมั่นคง และแล้วข่าวดีที่ทุกคนรอคอยก็มาเยือนครอบครัวตงอีกครั้ง เมื่อสวยภรรยาของใช้ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง! และด้วยความเจริญทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น ทำให้การไปฝากครรภ์ในครั้งนี้พวกเขาสามารถรู้เพศของทารกในครรภ์ได้ล่วงหน้า... และผลก็คือ พวกเขากำลังจะได้สมาชิกใหม่เป็น "เด็กผู้ชาย"! สร้างความยินดีให้กับอากงตงและอาม่าเคี้ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีหลานชายมาสืบสกุลเพิ่มอีกคน สำหรับหลินน้อยที่ตอนนี้อายุได้หนึ่งขวบกว่าแล้ว แม้ร่างกายจะเป็นเพียงทารกที่เพิ่งจะเริ่มหัดเดินเตาะแตะและ หัดพูดเ
เวลาผ่านไปอีกหกเดือน... หลินน้อยเติบโตขึ้นเป็นทารกที่จ้ำม่ำน่ารักน่าชัง ผิวขาวผ่องและมีดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส เป็นที่รักและเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัวใหญ่ ทั้งอากงตงและอาม่าเคี้ยงที่ตอนนี้มีความสุขกับการได้เลี้ยงหลานคนแรกของลูกชายคนเล็กอย่างเต็มที่ รวมถึงลุงชัยและป้าจำปีที่มักจะพาลูก ๆ ทั้งสองคนมาเยี่ยมเยียนและเล่นกับน้องหลินอยู่เสมอ ชีวิตของทุกคนดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะทั้งสาขาใหญ่และสาขาย่อยต่างก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง และในช่วงเวลานี้เองกระแสแห่งความเจริญจากเมืองหลวงก็ได้เริ่มคืบคลานเข้ามายังตัวอำเภอที่เคยดูจะเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด และสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือการมาถึงของ "ห้างสรรพสินค้า" ขนาดใหญ่และทันสมัยแห่งแรกของจังหวัด!
ในสายตาของใครหลายคน ชัยอาจจะดูเป็นลูกชายคนโตที่ทอดทิ้งครอบครัวไปในยามที่ลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวของเขาก็เต็มไปด้วยความรัก ความผิดพลาด และการเรียนรู้ที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ย้อนกลับไปในวันที่ชัยอายุเพียงสิบแปดปี เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ร้อนรนด้วยความรักที่มีต่อ "จำปี" หญิงสาวที่เขาหมายปอง ในสายตาของเด็กหนุ่มตอนนั้น ครอบครัวของจำปีดูจะมีฐานะมั่นคงจากการเป็น "ผู้รับเหมาก่อสร้าง" (ตามที่เขาเข้าใจผิดไปเอง) การแต่งงานกับหล่อนดูเหมือนจะเป็นการสร้างอนาคตที่สดใส ความรักทำให้เขาหน้ามืดตามัวทำจำปีท้องด้วยความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ การชิงสุกก่อนห่ามทำให้เกิดผลที่คาดไม่ถึงตามมา เขารบเร้าขอให้พ่อแม่ช่วยจัดงานแต่งงานให้โดยไม่ได้รับรู้ถึงความลำบากใจและความฝืดเคืองของครอบครัวในขณะนั้นอย่างแท้จริง&nb
หลังจากที่แขกเหรื่อทยอยกันกลับ และผู้ใหญ่ได้ทำพิธีส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอตามประเพณีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในเรือนไม้สักริมบึงบัวก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ เหลือเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่ด้วยความสุขใจ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จและความสุขอยู่นั้น ในใจของหลินกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าใจหาย... มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับตอนที่เธอถูกดึงให้ย้อนเวลากลับมาในอดีตไม่มีผิด ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวขึ้น และความผูกพันที่เธอมีต่อโลกใบนี้... มันดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนรางลง... (หรือว่า... จะถึงเวลาแล้วสินะ...) หลินคิดในใจ หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกัน ทั้งดีใจที่ภารกิจสำเร็จลุล่วง และใจหายที่จะต้องจากทุกคนที่เธอรักไป น้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงต
หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ไปหาฤกษ์งามยามดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันมงคลสมรสที่ทุกคนรอคอยของใช้และสวยก็มาถึง เช้าตรู่ของวันนั้น บรรยากาศที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งก็คือร้านขายผ้าของเถ้าแก่มิ่งคึกคักเป็นพิเศษ มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าและพิธีรดน้ำสังข์ไว้อย่างสวยงามตามฐานะ ญาติสนิทมิตรสหายของฝ่ายหญิงต่างก็มาช่วยงานกันอย่างแข็งขัน ส่วนทางด้านบ้านตึกแถวในตลาดของฝ่ายเจ้าบ่าวก็คึกคักไม่แพ้กัน เคี้ยงและตงอยู่ในชุดผ้าไหมสีทองอร่ามสมฐานะเจ้าภาพ กำลังดูแลความเรียบร้อยของขบวนขันหมากเป็นครั้งสุดท้าย และที่โดดเด่นสะดุดตาในวันนี้ คือภาพของใช้ เจ้าบ่าวที่อยู่ในชุดสูทกางเกงสีครีมทั้งชุดซึ่งเป็นสไตล์ที่ดูทันสมัยแบบสากล เนื้อผ้าเนี้ยบกริบตัดเย็บอย่างประณีต ทำให้ร่างสูงโปร่งของเขาดูสง่างามและภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง