ก็ไม่มีอะไรพิเศษ 1/2
- 8 -
พี่ภูตอบนิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ แต่ฉันนี่สิถึงกับเบิกตาโพลง อะไรนะ จะพาไปเกาะเชจูเหรอ ซึ่งมันห่างจากที่นี่มากเลยนะ แล้วจะกลับมาทันได้ยังไง หรือทุกคนก็อยู่ที่เกาะเชจู
“เกาะเชจู”
ฉันทวนคำพูดของพี่ภูอีกครั้ง แต่พี่ภูก็ยังพยักหน้าให้ฉันเป็นการยืนยัน ฉันยิ้มแกล้มปริอย่างดีใจ นึกว่าจะไม่ได้ไปซะแล้ว
“ขอบคุณมากนะคะพี่ภูที่พาหยีไป ทุกคนอยู่ที่เกาะเชจูกันเหรอคะ?”
“เปล่า ทริปนี้ไม่ได้ไปเกาะเชจู”
ฉันแสดงอาการงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าทุกคนไม่ไปแล้วทำไมพี่ภูอยากพาฉันไปเกาะเชจูหรือพี่ภูเองก็อยากไปอยู่แล้วกันนะ แต่จะเหตุผลอะไรก็ตามฉันดีใจมากเลยจริง ๆ
“แต่ก่อนไปเกาะเชจู พี่อยากขึ้นไปแขวนกุญแจก่อนเรายังอยากไปอีกรอบไหม?”
พี่ภูหันมาถามฉันอย่างจริงจัง ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับช้า ๆ พี่ภูชวนฉันไปแขวนกุญแจเหรอ ถึงแม้จะเป็นการไปแขวนแบบต่างคนต่างแขวน แต่ว่านะ แต่ว่า แต่ว่า ฉันจะได้ไปแขวนกับพี่ภูจริงเหรอ ทำไมพระเจ้าเห็นใจยาหยีแล้วเหรอ ไม่เคยรู้สึกดีใจอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ หลังจากที่เรานัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เก็บสัมภาระอันน้อยนิดออกมาจากโรงพยาบาลทันที พี่ภูพาฉันขึ้นรถบัสเพื่อจะเดินทางไปโซลทาวเวอร์ซึ่งไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก
ติ๊ง! ฉันได้ยินเสียงไลน์ดังมาจากมือถือของพี่ภู เหลือบเห็นที่หน้าจอว่าเป็นพี่วินที่ทักมาหา
‘หยีเป็นไงบ้างวะ ออกโรงพยาบาลทันไหม’
‘ไม่ทัน ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลเลย หมอให้นอนดูอาการก่อน’
‘พวกกูว่าจะเข้าไปเยี่ยมน้องว่ะ อยู่โรงพยาบาลไหนวะ’
‘ไม่ต้องมาหรอก หมอให้พักผ่อน’
เอ๊ะ? ฉันนอนอยู่โรงพยาบาลเหรอ พี่ภูเล่นอะไรเนี่ยหรือจะไปเซอร์ไพรส์พี่ ๆ?
‘เอางั้นเหรอวะ ฝากบอกน้องด้วยว่าพวกกูเป็นห่วง ส่วนเรื่องตั๋วเดี๋ยวกูให้ปันหยาไปเลื่อนให้’
‘เค’
พี่ภูพิมพ์ตอบพี่วินแล้วหันมามองฉันที่นั่งข้าง ๆ ซึ่งพี่ภูก็เห็นว่าฉันมองอยู่ แต่พี่ภูก็ยิ้มมุมปากให้ฉันเล็กน้อย
“พี่แค่อยากพาเราไปเที่ยว”
พี่ภูบอกฉันเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวหันพิงที่นั่งแล้วหลับตาลง ฉันได้แต่ยิ้มอย่างคนบ้า พอหัวใจรู้สึกว่าพี่ภูทำให้อะไรให้ฉันบ้าง ฉันก็รู้สึกหลงรักผู้ชายคนนี้ขึ้นมาอีกระดับ ผู้ชายอะไรใส่ใจดูแลดีขนาดนี้ ถึงแม้เราจะเป็นแค่เด็กในร้านแต่พี่ภูก็ดูแลเราดีมากจริง ๆ
แม้บางครั้งจะดุไปหน่อยก็เถอะ พวกเราเดินทางมาถึงโซลทาวเวอร์หลังจากเราซื้อแม่กุญแจมาคนละชุด ฉันเลือกสีชมพูและเลือกให้พี่ภูสีฟ้า เราเดินขึ้นมาด้านบนวันนี้ผู้คนค่อนข้างเยอะ เพราะอากาศปลอดโปร่ง เราเดินวนหาที่เพื่อจะแขวนเจ้ากุญแจน้อยคอยรักนี้ ซึ่งมันค่อนข้างหายากเพราะทุกจุด อัดแน่นไปด้วยแม่กุญแจ ที่คู่รักมากมายหลายแสนคู่มาจับจองและแขวนจนไม่มีพื้นที่ว่าง
เราหยุดยืนและสายตามองไปที่เดียวกัน ซึ่งเป็นที่ว่างที่มากพอจะให้เราแขวนทั้งสองชุดไว้ด้วยกันแต่มันอยู่ค่อนข้างสูง ฉันได้แต่ยืนดูตาละห้อย หันซ้ายขวาหาเก้าอี้หรืออะไรที่ใช้ปืนขึ้นไปก็ไม่มีเลย คนอื่นเขาปืนไปแขวนได้ยังไงกันเนี่ย แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีมือหนาของพี่ภูก็มารวบที่เอวของฉันแล้วยกฉันขึ้นซึ่งมันก็ยังขาดอีกนิดหน่อย ฉันทั้งตกใจและประหม่ากับการกระทำนี้แต่พอได้สติก็ค่อย ๆ ยืดตัวเพิ่มเพื่อที่จะได้แขวนกุญแจไว้ที่ตรงนั้น
“พี่ภูจะแขวนด้วยมั้ยคะ”
“กุญแจอยู่ที่มือพี่ช่วยหยิบไปแขวนให้พี่หน่อยสิ”
ฉันเอื้อมลงมาหยิบแม่กุญแจที่มือพี่ภูเพื่อไปแขวนไว้ข้าง ๆ กันทันที พอเห็นฉันแขวนเสร็จพี่ภูจึงค่อย ๆ วางฉันลง
“พี่ภูไม่อธิษฐานเหรอคะ”
ฉันถามพี่ภูทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น พี่ภูยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบลูกกุญแจที่มือของฉันไปเพื่อ ฟิ้ว! ทั้งของฉันและพี่ภูถูกโยนลงไปจากยอดโซลทาวเวอร์ หายวับทันที
“พี่อธิษฐานไปแล้ว เรารีบไปกันเถอะเดี๋ยวกว่าจะถึงเชจูจะค่ำ จะหาที่พักลำบาก พี่จองตั๋วไว้แล้ว”
ฉันและพี่ภูเดินจาก Gimpo International Airport ไปยัง Jeju International Airport ซึ่งก็ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษ พวกเราก็มาถึงสนามบินเชจู พี่ภูถามคนแถวสนามบินนิดหน่อยก่อนจะเดินมาจูงมือฉันเพื่อไปขึ้นรถบัสที่มีไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่หน้าสนามบิน พวกเรานั่งรถบัสมาลงที่สถานี Yongdum Sageori และเดินเท้ากันอีกประมาณสิบห้านาทีก็มาถึงเกาะเชจู
“ว้าว! สวยมากเลยค่ะพี่ภู พี่ภูดูสิ ๆ”
ฉันตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นตรงหน้ามาก ๆ เกาะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ ทะเลสาบที่กว้างสุดสายตา ยิ่งเวลาเย็น ๆ แบบนี้แล้วยิ่งสลัว ๆ ดูแล้วชื่นใจสบายตา
“เราไปหาที่พักกันก่อนดีกว่า”
พี่ภูพาฉันเดินเท้าหาที่พัก ซึ่งเดือนนี้เป็นเดือนแห่งการท่องเที่ยวทำให้ที่พักแต่ละที่เต็มทั้งหมด เราเดินเข้าออกโรงแรมกันอยู่พักใหญ่ ๆ แต่ไม่มีที่ไหนมีห้องว่างเลย จนมาถึงโรงแรมสุดท้ายที่อยู่ก่อนขึ้นอุทยานแห่งชาติภูเขาฮัลลาซาน
“เหลือแค่ห้องเดียวนะคะคุณลูกค้า เป็นเตียงคู่รับไหมคะ”
พวกเรายืนมองหน้ากันอยู่ที่ล็อบบี้ แต่ที่นี่คือที่สุดท้ายและเป็นที่เดียวที่มีห้องว่างในช่วงต้นปีแบบนี้ด้วย ถ้าไม่พักก็คงต้องกลับไปในเมืองซึ่งดูจะเสียเวลามาก ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ภู หยีโอเค”
ฉันหันไปยิ้มให้พี่ภูแล้วพยักหน้าให้ ถึงแม้ในใจจะคิดก็เถอะ ว่าพี่ภูจะมองฉันเป็นคนยังไง แต่ก็ดีกว่าที่จะต้องเดินกลับไปเพื่อจะนั่งรถเข้าเมืองแหละนะ
“โอเคครับ ผมพักห้องนี้”
สุดท้าย..ก็เป็นเธอ- 21 -“พี่ภูคะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันหยุดเท้าที่กำลังเดินตามพี่ภูลง ทำให้ผู้ชายด้านหน้าเองก็หยุดชะงักพร้อมกันนั้นพี่ภูเองก็หันหน้ามามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากคนขี้เล่น เป็นสายตาที่ดูจริงจังละกังวล“ทำไมยาหยีถึงถามเรื่องนี้กับพี่อีกแล้วคะ หรือไปรู้อะไรมาเหรอ” พี่ภูยืนนิ่งอยู่ที่เดิมถามฉันด้วยน้ำเสียงกังวล“ทุกครั้งที่ยาหยีถาม พี่ภูจะกังวลเรื่องนี้ทุกครั้ง พี่ภูดูมีพิรุธนะคะ มีอะไรอยากเล่าให้หยีฟังไหม” ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้ความฝันที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ หรือภาพที่เห็นมันคือเรื่องจริงหรือสิ่งที่ฉันมโนขึ้น จะบอกว่าเป็นเพราะความฝัน มันก็ดูจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากไม่มีเค้าโครงความจริงอะไร ทำไมพี่ภูไม่เคยปฏิเสธ“ยาหยีจะเป็นเจ้าสาวของพี่ภูคนเดียวเท่านั้น..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...” ฉันเงียบฟังคำที่พี่ภูเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่งงเหมือนไก่ตาแตก และฉันมั่นใจว่านั่นมันคือความฝันที่ฉันฝันเห็นและได้ยินบ่อย ๆ แล้วทำไมพี่ภูเองถึงรู้ความฝันนั้นฉันได้ละ“ถ้ายาหยีโตขึ้น ยาหยีก็จะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดของพี่คนเดียว ยาหยีสัญญาเลยค่ะ..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...”“หนูตอบพี่สิ
ตัดสินใจยุติข้อห้าม- 20 -“พี่ภูคะ..พี่ภูกับหยี เคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันสังเกตเห็นแววตาของพี่ภูที่สั่นไหวแบบแปลกไป แต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น พี่ภูก็ปรับอารมณ์กลับมาได้ปกติ“หนูเป็นอะไรคะ เมื่อกี้พี่ตกใจมากรู้ไหม นั่งตัวแข็งทื่อ พี่เรียกก็ไม่หือไม่อือ จนพวกพี่จะโทรเรียกรถพยาบาลแล้วนะคะ” พี่ภูยังคงเอ่ยถามฉันด้วยท่าทางกังวล“น้องตกใจมากนะภู พาไปโรงพยาบาลก่อนไหม” พี่ปันหยาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเรียบเฉย แต่น้ำเสียงแสดงออกถึงอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียง“ทำไมพี่ ๆ มาอยู่ที่นี่กันได้คะ” ฉันที่พอจะรู้สึกตัวเองดีแล้ว หันมองพี่ ๆ ทุกคนหลังจากเอ่ยถามไปด้วยความไม่เข้าใจ เพราะจำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือฉันไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดประตู และพี่ภูเองก็นอนหลับอยู่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย“เรื่องนี้พี่ก็อยากรู้ค่ะ ว่าทำไมภูผากับยาหยีถึงมาอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง..หวังว่าแกจะจำสิ่งที่แกรับปากพวกฉันได้นะภูผา” พี่ปันหยาเอ่ยย้ำในสิ่งที่ทุกคนในห้องนี้รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ด้วยสายตาที่จริงจัง จนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานอยู
ความทรงจำที่หายไป- 19 -กว่าที่ฉันจะแกะมือปลาหมึกของพี่ภูออกมาได้ ก็เล่นเอาหอบเหนื่อยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพี่ภูนั้นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา แต่พอฉันรวบรวมความกล้าที่มีตวาดลั่นดุพี่ภูอย่างจริงจัง ผู้ชายคนนี้ก็หน้าหงิกเป็นเด็กน้อยแล้วหันหลังใส่ฉันพร้อมกับนอนหลับไปเสียอย่างนั้นครืด!ฉันลุกขึ้นไปหยิบมือถือของตัวเองที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นพี่มาวินที่โทรเข้ามาหลายสายแล้ว แต่เวลานั้นฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย“ค่ะพี่มาวิน” ฉันกรอกเสียงลงไปอย่างรีบร้อน เพราะไม่รู้เลยว่าพี่มาวินมีธุระอะไรหรือไม่“น้องหยี ไอ้ภูอยู่ห้องน้องไหม มันเมาแล้วบอกจะกลับห้อง แล้วออกไปเลย พี่หามันไม่เจอ” ฉันฟังเสียงที่ตื่นตกใจของพี่มาวิน พร้อมกับมองบุคคลที่ถามถึงก่อนจะกดเปิดวิดีโอคอล แล้วชูหน้าจอไปที่คนที่หลับไม่ได้สติ“ไอ้ภู! พี่ก็วิ่งหามันทั่วคอนโด ไม่คิดว่ามันจะเมาแล้วเรื้อนขนาดนี้ งั้นพี่ฝากน้องหยีดูมันด้วยนะ พี่ลงมาข้างล่างแล้วคงไม่กลับขึ้นไปแล้ว” พี่มาวินร่ายยาว ใบหน้าแสดงอาการทั้งดมโห ทั้งขำ ปนเปกันไปหมด ฉันพยักหน้าให้เป็นการรับปากแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้กดวางมือถือ เสียงของผู้หญิงที่แทร
สิบห้าปี..ยังหนีไม่พ้น- 18 -“ไอ้ภู! มึงกับน้อง..” พี่มาวินตาโต นิ้วชี้ค้างกลางอากาศ แต่มีหรือพี่ภูจะสนใจ ฉันเองได้แต่นั่งนิ่ง หยิบขนมมาเคี้ยว “ไอ้ภูเอ๊ย”“เลิกเรียกกูได้แล้ว จะกินมั้ยเหล้าอะ” พี่ภูเดินมาทิ้งตัวลงข้างฉัน ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นไปหยิบแก้วใสมาวางให้สองใบ พร้อมกันนั้นก็หยิบหอบข้าวของไปแกะใส่จานมาวางไว้ให้ทั้งคู่“งั้นหนูกลับห้องก่อนนะคะ” ฉันเอื้อมมือไปหยิบขนมอีกชิ้นในซองมาเคี้ยวก่อนจะทำท่าจะเดินออกจากห้อง “อ่อ..พี่ภูพรุ่งนี้ไปดูทำเลร้านพร้อมหนูไหมคะ ถ้าไปก็อย่าดื่มมากนะคะ”“ครับ” ผมยิ้มหวานให้เด็กสาว เธอเองก็ยิ้มตอบก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป“เล่า!” ทันทีที่ในห้องเหลือเพียงผมกับไอ้วิน วิญญาณนักข่าวก็เข้าสิงมันทันที“ก็อย่างที่มึงเห็น กูคบกับน้อง” ผมพูดจบพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอย่างสบายอารมณ์“แล้วเรื่องกฎของร้านมึงจะทำไง” ไอ้วินเองก็ถามคำ กินเหล้าคำพอ ๆ กับผม แต่จากสายตาของผม มันเองก็ดูเหมือนจะมีอะไรในใจเหมือนกัน“ก็ไม่ทำไง เดิมทีกูก็จะปรึกษาพวกมึงเรื่องนี้”“แล้วทำไมไม่ปรึกษา”“ยาหยีอยากออกจากที่ร้าน”“ทำไมวะ เพราะกฎนี้นะเหรอ เฮ้ย! มันต้องมีทางออกอื่น”“น้องอยากทำธุรกิจ
คนนี้ของยาหยี 2/2- 17 -เธอใช้สองมือลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ แก้เขิน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากแกล้งเธอมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก“ไม่ชอบจริงเหรอ” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนผู้หญิงด้านหน้า จนเธอหันมามองหน้าผมชัด ๆในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะเปิดออก เธอเลือกที่จะหอมแก้มหนัก ๆ ของผมฟอดใหญ่ด้วยความเร็วและรีบวิ่งออกจากลิฟต์กลับไปทางห้องของตัวเองแบบไม่หันกลับมามองผมเลยสักนิด ผมยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินออกมายืนมองเธอที่รีบกดรหัสผ่านเข้าห้องไปด้วยความเอ็นดูติ๊ง!‘พี่ภูเป็นแฟนกับยาหยีนะคะ’ ผมเปิดอ่านข้อความที่มาจากคนตัวเล็กส่งมาหลังจากที่ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มในห้องนอนของตัวเอง‘พี่ต้องเป็นคนขอไม่ใช่เหรอ’‘รอพี่ภูขอ หยีแก่ตายพอดี’'ยาหยี..เป็นแฟนพี่นะครับ’‘ตกลงค่ะ!’ผมได้แต่นอนยิ้มให้กับหน้าจอมือถือราวกับคนบ้า เราเริ่มสนทนากันมากขึ้น เริ่มศึกษานิสัยและความชอบของกันและกันมากขึ้น เวลาผ่านไปหลายเดือนที่เราใช้ชีวิตด้วยกันแบบไม่ได้บอกผู้ใหญ่หรือครอบครัว โดยเฉพาะกับคนที่ร้าน“พี่ว่าจะบอกไอ้วินกับปันหยา เรื่องของเรา” พี่ภูวางหนังสือที่กำลังอ่านลงบนหน้าอกพูดขึ้นในขณะที่ยังนอนหนุนตักของฉันที
คนนี้ของยาหยี 1/2- 17 -“คืออะไรกันคะ ทำไม..” ฉันได้แต่ยืนมองหน้าป้านภาสลับกับมองหน้าพี่ภู โดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันจะต้องพูดหรือรู้สึกอย่างไร ป้านภาเป็นคนแนะนำให้ฉันมาสมัครที่ร้านนี้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นร้านของใคร และพี่ภูคือลูกชายของป้านภาแต่ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้จักมาก่อนทั้งที่บ้านเราทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ฉันจำความได้“ป้าก็อยากรู้ว่าทำไมเจ้าของรองเท้าเบอร์สามสิบแปดที่จอดหน้าห้องเจ้าภูถึงเป็นของหนูยาหยี” ป้านภามองหน้าฉันสลับกับพี่ภูอย่างต้องการหาคำตอบ แต่ยังเป็นแววตาที่เอ็นดูฉันเหมือนเดิม“มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดแน่นอนครับ พอดีผมขอให้น้องมาทายาให้เฉย ๆ”“ยา..ทายาอะไรลูกเป็นอะไร” ป้านภาตรงดิ่งเข้ามาหาพี่ภู จับลูกชายของเขาหมุนซ้ายหมุนขวา โดยที่ใบหน้าของพี่ภูยังคงดุตกใจเหลอหลาอย่างเห็นได้ชัด “ไหน”“แม่ครับ แม่ใจเย็น ๆ ก่อน ภูไม่ได้เป็นอะไรมาก” พี่ภูจับไหล่ของป้านภาก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่“คุณ พาหนูหยีกลับเข้าไปในห้องก่อนเลยค่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีที่ยืนเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร “หนูยาหยีเข้าห้องไปก่อนนะจ๊ะ ป้ามีเรื่องอยากคุยกับเราสองคน”ฉันนึกขึ้นได้จึงยกมือไหว้ป