ทำไมบอกไม่ฟัง
- 5 -
ฉันไม่ได้ตอบไปตรงๆ แต่เลือกที่จะถามน้ำขิงกลับไป เพื่อดูว่าน้ำขิงจะพูดอะไรต่อ ดีกว่าปล่อยไก่ตัวโตตอบไปว่ามี อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรด้วยแหละถ้าน้ำขิงถามว่าเป็นใคร ก็ไม่กล้าพอที่จะบอกหรอกว่า คนคนนั้นคือพี่ภูผาน่ะนะ
“เปล่าหรอก ขิงแค่อยากรู้ว่าถ้าเราหลงรักคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนจบจะเป็นยังไง จะสมหวังไหมหรือสุดท้าย..เราก็ต้องเจ็บอยู่ดี”
น้ำขิงพูดไปพลางอมยิ้มไป แต่ช่างปล่อยรอยยิ้มที่ดูเศร้ามาก ดูก็รู้ว่าน้ำขิงคงจะแอบชอบใครเข้าแล้วสักคน แล้วการชอบใครสักคนทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้คงจะเศร้าน่าดูจริง ๆ เพราะฉันก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นเข้าแล้ว
“ฮั่นแน่ น้ำขิงของเรามีคนที่ชอบซะแล้ว…ขิงฟังหยีนะ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้ลอง เรายังไม่แม้แต่ที่จะบอกเขา หรือทำให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำ หยีเชื่อเสมอว่าคำตอบนั้นมีแค่สองทาง มันจะมีก็แค่ได้รักกัน หรือ เรารักเขาข้างเดียวก็เท่านั้น”
“เห้อ…ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่า นี่เพราะขิงเห็นว่าหยีเป็นเพื่อนนะถึงได้ถาม หยีคงไม่รำคาญขิงใช่มั้ย”
“ไม่เลย ๆ หยีดีใจนะที่ขิงไว้ใจหยี แล้วมาปรึกษาหยีอะ โอ๋ ๆ มากอดกัน ๆ”
ฉันโอบกอดเพื่อนคนนี้เอาไว้อย่างแน่นเพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ และส่วนลึกของจิตใจก็มีบ้างที่ฉันปล่อยให้เธอกอดฉันเพื่อปลอบประโลมจิตใจของฉันด้วย เราทั้งคู่ยืนกอดกันไม่นานนักก็มีหิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมาช้า ๆ แต่ก็พอให้สัมผัสได้ถึงความเย็น เราทั้งคู่หันออกไปด้านนอกพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ก่อนหันมามองหน้ากัน แล้วก็ได้แต่หัวเราะกันอย่างไม่มีเหตุผล
มันรู้สึกทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ ราวกับพวกเราก็ถูกโอบกอดไปด้วยละอองหิมะที่บางเบา ฉันกับน้ำขิงกางมือออกไปสัมผัส รู้สึกเย็นและละลายไปกับมือ ทำให้รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะเป็นการโปรยของหิมะที่บางเบาไม่หนักมาก แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขแบบบอกไม่ถูก ฉันกับน้ำขิงยืนตื่นเต้นตากละอองหิมะกันพักใหญ่ ๆ ก็ถูกดึงความสนใจด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ถูกวางทิ้งไว้บนที่นอนทันที
“ได้เวลานัดที่พี่ปันหยาบอกแล้ว เราไปเตรียมตัวกันเถอะ ไม่รู้พี่ๆ จะพาพวกเราไปไหน ตื่นเต้น ๆ”
ฉันได้แต่พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วแยกย้ายกันไปแต่งตัว ดีนะพกเสื้อมาหนาพอสมควร แต่ก็ยังไม่พอที่ทำให้หายหนาวได้มากนัก ไว้ถ้าผ่านร้านเสื้อผ้าค่อยแวะไปซื้อเพิ่มละกัน ฉันว่าฉันดูพยากรณ์อากาศดีแล้วนะแต่ก็ไม่คิดว่าสถานที่จริงจะหนาวขนาดนี้ ผิดคาดไปนิดหน่อย
ทุกคนลงมารวมตัวกันที่ล็อบบี้ตามเวลาที่นัดไว้ ฉันเห็นพี่ปันหยายืนเปิดแผนที่ซึ่งมีพี่ภูกับพี่มาวินก็ยืนดูแผนที่กันอยู่ที่ล็อบบี้ด้วย
“มากันแล้วเหรอ...หิวกันหรือยัง ช่วยเลือกหน่อยสิ ไปร้านไหนกันดี”
พี่ปันหยาหันมาถามพวกเราทันทีที่เดินมารวมกลุ่มกัน
“ยาหยี มีร้านแนะนำไหม”
จู่ ๆ พี่ภูก็หันมาถามฉัน ถ้าฉันเสนอไปพี่ ๆ จะไปไหมนะ
“หยีเคยอ่านตามเว็บแนะนำร้านอาหารเราลองไปร้านแถว ๆ โซลทาวเวอร์ไหมคะ มีอาหารหลากหลาย เห็นว่าเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวชอบไปมากด้วยนะคะ”
“น่าสนนะ ไหน ๆ ก็เลือกไม่ถูกแล้วว่าจะไปที่ไหน ก็ไปร้านที่ยาหยีแนะนำแล้วกัน เราก็หาที่ตั้งเลยว่าอยู่ตรงไหน จากนี่ไปโซลทาวเวอร์ไกลไหมปันหยา”
ฉันรู้สึกดีใจมากเลย ฉันเคยวางแผนไว้ว่าถ้ามาที่เกาหลี ฉันจะไปตามสถานที่ ที่ผู้คนรีวิวให้ครบเลย ถึงจะไม่ได้มาแบบส่วนตัวแต่อย่างน้อยฉันก็ได้ไปร้านอาหารที่อยากไปแล้วหนึ่งที่ละนะ
“พี่ ๆ จะไปโซลทาวเวอร์ด้วยไหมคะ”
สถานที่ที่สองที่ฉันอยากไป ‘โซลทาวเวอร์’ ถึงจะไม่ได้มาแขวนกุญแจกับคู่รักเหมือนคนอื่นก็เถอะ แต่ฉันก็อยากขึ้นไปแขวนสักครั้งกับน้ำขิงก็ไม่เลว แต่คิดเล่น ๆ แล้วถ้าได้แขวนกับพี่ภูก็คงจะดีมากนะ งื้อ! นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย
พอพูดถึงพี่ภูฉันก็อดหันไปมองพี่เขาไม่ได้ ก็เห็นพี่ภูกำลังมองฉันอยู่เช่นกัน อยู่ ๆ ก็รู้สึกเลือดลมสูบฉีดแบบบอกไม่ถูก ฉันคงไม่ได้หน้าแดงให้พี่เขาเห็นหรอกใช่ไหม อยู่ ๆ พี่ภูก็เดินมาหาฉันซึ่งมีสายตาของทุกคนหันมามองฉันด้วย มันยิ่งทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก
แล้วนี่พี่ภูจะเดินมาหาฉันทำไม ฉันแค่ถามเองนะว่าจะไปโซลทาวเวอร์ด้วยไหม เพราะมันคือสถานที่ที่ควรไปมากจริง ๆ พี่ภูเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน ยืนนิ่ง ๆ มองหน้าฉัน ซึ่งฉันเองก็ได้แต่ยืนตาค้างมองหน้าพี่ภู ฝ่ามือหนาของพี่ภูก็เอื้อมมาอังที่หน้าผากของฉัน วินาทีที่มือพี่ภูแตะโดนที่หน้าผาก ฉันรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต มันร้อนวูบวาบราวกับจะเป็นลม แต่ก็รู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่ ทำไมเราหน้าแดงขนาดนี้ละยาหยี รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เอะ! หน้าแดง? แอ๊!! ไม่ใช่ว่าฉันเขินพี่ภูจนหน้าแดงขนาดให้คนอื่นจับได้หรอกนะ
"ไม่นะ ๆ หยีไม่ได้เป็นไรเลยค่ะ”
ฉันได้แต่รีบปฏิเสธทันควัน รู้สึกเขินก็ด้วย รู้สึกอายก็ด้วย และขณะนั้นก็ได้ยินเสียงคนอื่นหัวเราเบา ๆ นี่ฉันคงไม่ได้ทำอะไรให้ทุกคนตลกหรอกใช่ไหม แง่!
“ต้องไปอยู่แล้ว หยีอยากขึ้นไปห้อยกุญแจเหรอ อิอิ”
พี่ปันหยาพูดกับฉัน พลางหัวเราะเบา ๆ ยิ่งดู พี่ปันหยายิ่งน่ารักมาก ๆ ดูเหมาะสมกับพี่ภูมากจริง ๆ นั่นแหละ พอคิดถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจแบบบอกไม่ถูก
“งั้นเดี๋ยวตอนนี้เราไปทานอาหารก่อน ทานเสร็จค่อยขึ้นไปโซลทาวเวอร์กัน แต่ตอนนี้หิมะกำลังตกด้วยอาจจะต้องรีบขึ้นรีบลงกันหน่อยนะ หยากลัวเรื่องสุขภาพของทุกคน”
“เดี๋ยวนะคะทุกคน ตาลขอเสนอพวกเราถ่ายรูปหมู่ที่นี่กันหน่อยไหม ตาลอยากเก็บไว้เป็นที่ระทึกตึกตักในหัวกะใจสักหน่อย”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ฉันก็รู้สึกดีมาก ๆ เลยที่เป็นแบบนี้ ฉันจะมีรูปที่ถ่ายกับพี่ภูเป็นรูปแรกด้วยต้องดีใจใช่ไหมล่ะ พี่น้ำตาลเดินไปขอให้พนักงานที่ล็อบบี้มาทำการถ่ายรูปให้ พวกเราเดินไปที่สถานที่ที่โรงแรมจัดไว้เพื่อบริการให้ลูกค้าได้ถ่ายรูปสวย ๆ ไว้เป็นที่ระลึก
พี่ที่ล็อบบี้จัดการจัดแต่งตำแหน่งการยืนของพวกเราเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม พี่ปันหยากับพี่น้ำตาลนั่งที่โซฟาสีแดง ฉันกับน้ำขิงยืนอยู่ข้างโซฟาคนละฝั่ง ด้านซ้ายคือฉันและข้าง ๆ ฉันคือพี่ภู!! ใช่แล้วได้ยินไม่ผิด พี่ภูยืนอยู่ข้าง ๆ ฉัน ส่วนน้ำขิงกับพี่วินยืนฝั่งด้านขวา ฉันรู้สึกว่าทริปนี้คงเป็นทริปที่ฉันมีความสุขมากแน่ ๆ เพราะทุกอย่างดูช่างเป็นใจกับฉันมาก ๆ ทุกคนยิ้มพร้อมกันทันทีเมื่อเห็นว่าพี่พนักงานที่ล็อบบี้เตรียมพร้อมถ่ายรูปหลังจากจัดตำแหน่งที่ทางให้พวกเราเรียบร้อย
“อิล...อี…ซัม..!!” แชะ!!
ฉันมีความสุขมากที่ได้ถ่ายรูปกับพี่ภูเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะไม่ใช่รูปคู่แต่ฉันจะเก็บรักษาอย่างดีเลยเชียว กลับไปต้องเอาไปอัดกรอบซะแล้วแหละ
หลังจากที่พวกเราถ่ายรูปกันเรียบร้อยแล้ว พนักงานที่ล็อบบี้ได้แจ้งว่าจะนำรูปไปล้างมาให้ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งนี่ก็อยู่ในหนึ่งโปรแกรมของทางโรงแรมที่จัดไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน เราเดินทางมายังร้านอาหารที่เลือกไว้ก่อนหน้า ซึ่งเป็นร้านชาบูหม้อไฟเล็ก ๆ แต่แน่นไปด้วยลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก รอเพียงไม่นาน พนักงานก็เดินมาเชิญให้ไปนั่งโต๊ะที่เพิ่งว่างจากลูกค้าเมื่อสักครู่
“หิมะตกหนักมากเรื่อย ๆ จนแทบมองไม่เห็นแล้ว พี่ว่าเราค่อยมาวันหลังกันไหม?”
พี่ปันหยาถามขึ้นหลังจากที่พวกเราทานอาหารกันอิ่มหมีพีมัน และออกมายืนมองสภาพอากาศด้านนอก ซึ่งก็เห็นว่าหิมะตกหนักขึ้นมากจริง ๆ และฉันก็รู้สึกว่าถ้าหากพวกเรายังดื้อดึงที่จะเดินฝ่าขึ้นไปอาจจะเป็นหวัดได้จริง ๆ นั่นแหละ
“เห็นด้วยนะ ไว้เรามาวันพรุ่งนี้ละกัน”
พี่ภูก็เห็นด้วยสินะ วันนี้คงต้องกลับก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาแล้วกัน..แต่ว่า แล้วถ้าพรุ่งนี้ หิมะยังตกไม่หยุดล่ะ?
แต่เนื่องจากวันนี้ทุกคนก็เหนื่อยกันมามากพอแล้ว จึงลงมติเป็นกันว่าวันนี้จะกลับที่พักก่อนเนื่องจากสภาพอากาศค่อนข้างไม่เป็นใจ เมื่อพวกเรากลับมาถึงโรงแรมในไม่ช้าทุกคนต่างก็แยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง
“เสียใจจังเลย วันนี้อดไปแขวนกุญแจเลยอะขิง”
“งั้นพวกเราไปกันเองไหม?”
สุดท้าย..ก็เป็นเธอ- 21 -“พี่ภูคะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันหยุดเท้าที่กำลังเดินตามพี่ภูลง ทำให้ผู้ชายด้านหน้าเองก็หยุดชะงักพร้อมกันนั้นพี่ภูเองก็หันหน้ามามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากคนขี้เล่น เป็นสายตาที่ดูจริงจังละกังวล“ทำไมยาหยีถึงถามเรื่องนี้กับพี่อีกแล้วคะ หรือไปรู้อะไรมาเหรอ” พี่ภูยืนนิ่งอยู่ที่เดิมถามฉันด้วยน้ำเสียงกังวล“ทุกครั้งที่ยาหยีถาม พี่ภูจะกังวลเรื่องนี้ทุกครั้ง พี่ภูดูมีพิรุธนะคะ มีอะไรอยากเล่าให้หยีฟังไหม” ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้ความฝันที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ หรือภาพที่เห็นมันคือเรื่องจริงหรือสิ่งที่ฉันมโนขึ้น จะบอกว่าเป็นเพราะความฝัน มันก็ดูจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากไม่มีเค้าโครงความจริงอะไร ทำไมพี่ภูไม่เคยปฏิเสธ“ยาหยีจะเป็นเจ้าสาวของพี่ภูคนเดียวเท่านั้น..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...” ฉันเงียบฟังคำที่พี่ภูเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่งงเหมือนไก่ตาแตก และฉันมั่นใจว่านั่นมันคือความฝันที่ฉันฝันเห็นและได้ยินบ่อย ๆ แล้วทำไมพี่ภูเองถึงรู้ความฝันนั้นฉันได้ละ“ถ้ายาหยีโตขึ้น ยาหยีก็จะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดของพี่คนเดียว ยาหยีสัญญาเลยค่ะ..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...”“หนูตอบพี่สิ
ตัดสินใจยุติข้อห้าม- 20 -“พี่ภูคะ..พี่ภูกับหยี เคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันสังเกตเห็นแววตาของพี่ภูที่สั่นไหวแบบแปลกไป แต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น พี่ภูก็ปรับอารมณ์กลับมาได้ปกติ“หนูเป็นอะไรคะ เมื่อกี้พี่ตกใจมากรู้ไหม นั่งตัวแข็งทื่อ พี่เรียกก็ไม่หือไม่อือ จนพวกพี่จะโทรเรียกรถพยาบาลแล้วนะคะ” พี่ภูยังคงเอ่ยถามฉันด้วยท่าทางกังวล“น้องตกใจมากนะภู พาไปโรงพยาบาลก่อนไหม” พี่ปันหยาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเรียบเฉย แต่น้ำเสียงแสดงออกถึงอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียง“ทำไมพี่ ๆ มาอยู่ที่นี่กันได้คะ” ฉันที่พอจะรู้สึกตัวเองดีแล้ว หันมองพี่ ๆ ทุกคนหลังจากเอ่ยถามไปด้วยความไม่เข้าใจ เพราะจำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือฉันไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดประตู และพี่ภูเองก็นอนหลับอยู่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย“เรื่องนี้พี่ก็อยากรู้ค่ะ ว่าทำไมภูผากับยาหยีถึงมาอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง..หวังว่าแกจะจำสิ่งที่แกรับปากพวกฉันได้นะภูผา” พี่ปันหยาเอ่ยย้ำในสิ่งที่ทุกคนในห้องนี้รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ด้วยสายตาที่จริงจัง จนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานอยู
ความทรงจำที่หายไป- 19 -กว่าที่ฉันจะแกะมือปลาหมึกของพี่ภูออกมาได้ ก็เล่นเอาหอบเหนื่อยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพี่ภูนั้นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา แต่พอฉันรวบรวมความกล้าที่มีตวาดลั่นดุพี่ภูอย่างจริงจัง ผู้ชายคนนี้ก็หน้าหงิกเป็นเด็กน้อยแล้วหันหลังใส่ฉันพร้อมกับนอนหลับไปเสียอย่างนั้นครืด!ฉันลุกขึ้นไปหยิบมือถือของตัวเองที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นพี่มาวินที่โทรเข้ามาหลายสายแล้ว แต่เวลานั้นฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย“ค่ะพี่มาวิน” ฉันกรอกเสียงลงไปอย่างรีบร้อน เพราะไม่รู้เลยว่าพี่มาวินมีธุระอะไรหรือไม่“น้องหยี ไอ้ภูอยู่ห้องน้องไหม มันเมาแล้วบอกจะกลับห้อง แล้วออกไปเลย พี่หามันไม่เจอ” ฉันฟังเสียงที่ตื่นตกใจของพี่มาวิน พร้อมกับมองบุคคลที่ถามถึงก่อนจะกดเปิดวิดีโอคอล แล้วชูหน้าจอไปที่คนที่หลับไม่ได้สติ“ไอ้ภู! พี่ก็วิ่งหามันทั่วคอนโด ไม่คิดว่ามันจะเมาแล้วเรื้อนขนาดนี้ งั้นพี่ฝากน้องหยีดูมันด้วยนะ พี่ลงมาข้างล่างแล้วคงไม่กลับขึ้นไปแล้ว” พี่มาวินร่ายยาว ใบหน้าแสดงอาการทั้งดมโห ทั้งขำ ปนเปกันไปหมด ฉันพยักหน้าให้เป็นการรับปากแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้กดวางมือถือ เสียงของผู้หญิงที่แทร
สิบห้าปี..ยังหนีไม่พ้น- 18 -“ไอ้ภู! มึงกับน้อง..” พี่มาวินตาโต นิ้วชี้ค้างกลางอากาศ แต่มีหรือพี่ภูจะสนใจ ฉันเองได้แต่นั่งนิ่ง หยิบขนมมาเคี้ยว “ไอ้ภูเอ๊ย”“เลิกเรียกกูได้แล้ว จะกินมั้ยเหล้าอะ” พี่ภูเดินมาทิ้งตัวลงข้างฉัน ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นไปหยิบแก้วใสมาวางให้สองใบ พร้อมกันนั้นก็หยิบหอบข้าวของไปแกะใส่จานมาวางไว้ให้ทั้งคู่“งั้นหนูกลับห้องก่อนนะคะ” ฉันเอื้อมมือไปหยิบขนมอีกชิ้นในซองมาเคี้ยวก่อนจะทำท่าจะเดินออกจากห้อง “อ่อ..พี่ภูพรุ่งนี้ไปดูทำเลร้านพร้อมหนูไหมคะ ถ้าไปก็อย่าดื่มมากนะคะ”“ครับ” ผมยิ้มหวานให้เด็กสาว เธอเองก็ยิ้มตอบก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป“เล่า!” ทันทีที่ในห้องเหลือเพียงผมกับไอ้วิน วิญญาณนักข่าวก็เข้าสิงมันทันที“ก็อย่างที่มึงเห็น กูคบกับน้อง” ผมพูดจบพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอย่างสบายอารมณ์“แล้วเรื่องกฎของร้านมึงจะทำไง” ไอ้วินเองก็ถามคำ กินเหล้าคำพอ ๆ กับผม แต่จากสายตาของผม มันเองก็ดูเหมือนจะมีอะไรในใจเหมือนกัน“ก็ไม่ทำไง เดิมทีกูก็จะปรึกษาพวกมึงเรื่องนี้”“แล้วทำไมไม่ปรึกษา”“ยาหยีอยากออกจากที่ร้าน”“ทำไมวะ เพราะกฎนี้นะเหรอ เฮ้ย! มันต้องมีทางออกอื่น”“น้องอยากทำธุรกิจ
คนนี้ของยาหยี 2/2- 17 -เธอใช้สองมือลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ แก้เขิน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากแกล้งเธอมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก“ไม่ชอบจริงเหรอ” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนผู้หญิงด้านหน้า จนเธอหันมามองหน้าผมชัด ๆในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะเปิดออก เธอเลือกที่จะหอมแก้มหนัก ๆ ของผมฟอดใหญ่ด้วยความเร็วและรีบวิ่งออกจากลิฟต์กลับไปทางห้องของตัวเองแบบไม่หันกลับมามองผมเลยสักนิด ผมยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินออกมายืนมองเธอที่รีบกดรหัสผ่านเข้าห้องไปด้วยความเอ็นดูติ๊ง!‘พี่ภูเป็นแฟนกับยาหยีนะคะ’ ผมเปิดอ่านข้อความที่มาจากคนตัวเล็กส่งมาหลังจากที่ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มในห้องนอนของตัวเอง‘พี่ต้องเป็นคนขอไม่ใช่เหรอ’‘รอพี่ภูขอ หยีแก่ตายพอดี’'ยาหยี..เป็นแฟนพี่นะครับ’‘ตกลงค่ะ!’ผมได้แต่นอนยิ้มให้กับหน้าจอมือถือราวกับคนบ้า เราเริ่มสนทนากันมากขึ้น เริ่มศึกษานิสัยและความชอบของกันและกันมากขึ้น เวลาผ่านไปหลายเดือนที่เราใช้ชีวิตด้วยกันแบบไม่ได้บอกผู้ใหญ่หรือครอบครัว โดยเฉพาะกับคนที่ร้าน“พี่ว่าจะบอกไอ้วินกับปันหยา เรื่องของเรา” พี่ภูวางหนังสือที่กำลังอ่านลงบนหน้าอกพูดขึ้นในขณะที่ยังนอนหนุนตักของฉันที
คนนี้ของยาหยี 1/2- 17 -“คืออะไรกันคะ ทำไม..” ฉันได้แต่ยืนมองหน้าป้านภาสลับกับมองหน้าพี่ภู โดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันจะต้องพูดหรือรู้สึกอย่างไร ป้านภาเป็นคนแนะนำให้ฉันมาสมัครที่ร้านนี้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นร้านของใคร และพี่ภูคือลูกชายของป้านภาแต่ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้จักมาก่อนทั้งที่บ้านเราทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ฉันจำความได้“ป้าก็อยากรู้ว่าทำไมเจ้าของรองเท้าเบอร์สามสิบแปดที่จอดหน้าห้องเจ้าภูถึงเป็นของหนูยาหยี” ป้านภามองหน้าฉันสลับกับพี่ภูอย่างต้องการหาคำตอบ แต่ยังเป็นแววตาที่เอ็นดูฉันเหมือนเดิม“มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดแน่นอนครับ พอดีผมขอให้น้องมาทายาให้เฉย ๆ”“ยา..ทายาอะไรลูกเป็นอะไร” ป้านภาตรงดิ่งเข้ามาหาพี่ภู จับลูกชายของเขาหมุนซ้ายหมุนขวา โดยที่ใบหน้าของพี่ภูยังคงดุตกใจเหลอหลาอย่างเห็นได้ชัด “ไหน”“แม่ครับ แม่ใจเย็น ๆ ก่อน ภูไม่ได้เป็นอะไรมาก” พี่ภูจับไหล่ของป้านภาก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่“คุณ พาหนูหยีกลับเข้าไปในห้องก่อนเลยค่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีที่ยืนเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร “หนูยาหยีเข้าห้องไปก่อนนะจ๊ะ ป้ามีเรื่องอยากคุยกับเราสองคน”ฉันนึกขึ้นได้จึงยกมือไหว้ป