บทที่ 7
กระสุนปริศนา
SAIPAN’S PART ;
เวร!
เวรแล้วไงไอ้ป่าน!
คำคำนี้เป็นคำเดียวที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้
เวร เวร แล้วก็เวร!
ฉันกดใบหน้าให้หันตรงไปยังกล้องนับสิบที่กำลังจับภาพ แต่สติและจิตวิญญาณกลับว้าวุ่นจนแทบไม่รับอะไรเข้าสู่สมองได้อีกแล้ว
การปรากฏตัวของเขาคุณไตรทำให้ฉันตกใจจนแทบสลบ ทั้งการยืนประชิดจนต้นแขนชิดกับแผ่นหลังของฉัน ทั้งสายตาที่จดจ้องราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไหนจะคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนจะหันไปส่งยิ้มกรีดกรายให้กับกล้องนั้นอีก
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ฉันช็อกสติแตกจนไม่สามารถเรียกคืนได้อีกแล้ว
“ยิ้มสิ ไม่เห็นเหรอว่ากล้องจับอยู่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลันทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับจังหวะการหันใบหน้าไปมอง
ไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ในสถานะอะไร แต่ถ้าจะให้เดินหนีหรือผลักไสก็คงต้องบอกตามตรงว่าใจไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น
แม้จะไม่รับรู้ตัวตน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใด
จากเหตุการณ์ที่พบเจอ รวมถึงถูกลูกน้องของเขาจับตัวฉันเข้าไปเค้นถาม มันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขาคงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว
“ขอบคุณมากเลยครับคุณไตร แหมเจ้าของงานเดินเข้ามาถ่ายรูปเองเลย เป็นเกียรติมาก ๆ เลยนะครับ”
“ใช่ครับ เมื่อกี้ตอนที่คุณไตรกล่าวเปิดงานผมเองก็ถ่ายไปได้นิดเดียว แต่ตอนนี้ได้ทั้งภาพคู่รถพร้อมกับน้องคนสวยด้วย โชคดีมาก ๆ เลยครับ”
จังหวะตัวกล้องลดระดับลงก็ทำให้ฉันตัดสินใจที่จะก้าวขาเดินนำหน้าขึ้นมาสองก้าว เพื่อให้พ้นจากรัศมีของเขา
ฉันเดินเข้ามาหาเหล่าพี่ ๆ นักข่าว พยายามหาหนทางเพื่อหลบหลีก แต่เป็นต้องตกใจกับคำเอ่ยเรียกและสรรพนามที่ได้ยิน
“เจ้าของงาน...” ราวกับล่วงรู้ความสงสัยที่อยู่ในใจ เพราะมันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ฉันกำลังตั้งคำถาม สถานะของคุณไตรถูกเปิดเผยจากการบอกกล่าวของคนอื่นโดยที่ฉันไม่ต้องไถ่ถามเลยสักนิด
เจ้าของงานอย่างนั้นเหรอ!
“ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่มาร่วมงานเปิดตัวในวันนี้ ตามสบายนะครับ”
ฉันรีบตั้งสติและพยายามมองหาหนทางหนี เห็นไกล ๆ ว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ กำลังยืนที่จุดพักรับรอง รวมไปถึงเจ๊สวยเองก็ยังยืนถ่ายรูปเก็บภาพโปรโมตภายในงานบริเวณนั้นเช่นกัน
ฉันกรีดยิ้มให้กับเหล่าผู้สื่อข่าวเล็กน้อย ก่อนจะค้อมศีรษะลงและค่อย ๆ ถอยตัวเดินออกมา
แต่ทว่า...
“เชิญทางนี้ครับ” ชายชุดดำแปลกหน้าสองคนเดินเข้ามาประจันหน้าทำให้ฉันจำต้องรีบชะงักฝีเท้าโดยเร็ว
อารามตกใจทำให้เบิกตากว้างก่อนจะหันขวับไปมองเจ้าของงานที่ตอนนี้กำลังให้สัมภาษณ์กับเหล่านักข่าว หากแต่ฉันกลับมั่นใจว่าพวกคนเหล่านี้จะต้องเป็นคนของคุณไตรเป็นแน่
“ปะ...ไปไหน” ฉันถามเสียงสั่น แต่ขาสองข้างยังคงก้าวถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว
“เดินตามผมมา แล้วก็อย่าส่งเสียงด้วย” อีกหนึ่งเสียงที่แทรกขึ้นทำให้ความสั่นผวาเกิดมากกว่าเก่า เขาคือลูกน้องคนสนิทของคุณไตร แถมยังเป็นคนที่เค้นถามฉันในวันนั้นอีกด้วย
ฉันกวาดสายตามองเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง แต่ด้วยร่างกายสูงใหญ่ของชายชุดดำกำยำที่มันบังร่างกายของฉันจนแทบเลือนหาย แถมสายตาและความโหดเหี้ยมที่ส่งผ่านมาทำให้ฉันจำต้องเดินตามคำสั่งของคนเหล่านั้นไปยังพื้นที่นอกการจัดงาน
ระหว่างทางตกอยู่ในความเงียบและความอึดอัด ฉันเดินมาตามทางที่เขาบอกก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อมาถึงพื้นที่ด้านนอกซึ่งเป็นที่ลับตาไร้ผู้คน
ความหวาดหวั่นตีตื้นจนหยาดน้ำตาเอ่อคลอ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ฉันกลับวางใจไม่ได้เลยว่าการเจอกับคนพวกนี้จะทำให้ชีวิตของตัวเองเสี่ยงอันตรายอีกครั้ง
“เดี๋ยวเจ้านายผมก็มาแล้ว ช่วยรอตรงนี้สักครู่นะครับ” คนตัวโตเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไปในนั้น
“คุณรุต คุณชื่อรุตใช่ไหมคะ นี่คุณฉันขอยืนยันนะคะว่าฉันไม่ใช่สายสืบ และการที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะมาทำงาน ฉันเป็นพริตตี้สังกัดเจ๊สวย ฉันได้รับการจ้างงานมาอย่างถูกต้อง คุณจะค้นดูหลักฐานหรือสลิปการโอนเงินก็ได้ว่าฉันถูกจ้างมาเป็นพริตตี้จริง ๆ”
คำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมาแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะความลนลานตียุ่งจนลิ้นแทบพันกัน แต่เพื่อความอยู่รอดก็ควรแสดงความบริสุทธิ์ใจออกไป อีกทั้งฉันเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคุณไตรเป็นเจ้าของงานนี้
ถ้ารู้สักนิดฉันมั่นใจเลยว่าจะไม่ย่างกรายเข้ามาเฉียดในพื้นที่แห่งนี้แม้แต่ปลายเล็บ!
“...”
“หรือไม่คุณก็ให้คนมาจับตาดูฉันตอนทำงานก็ได้ แต่ฉันขอกลับเข้างานก่อนได้ไหม นี่ก็หายออกมาโดยไม่ได้บอกใครเลย ป่านนี้เจ๊สวยคงตามหาฉันจนวุ่นแน่” ในใจกลัวจนแทบเตลิด แต่ความรับผิดชอบที่ค้ำคอล้วนทำให้ไม่สามารถหลบหนีไปจากที่นี่ได้
อาจเป็นเพราะจำนวนเงินที่ว่าจ้างรวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจของต้นสังกัดงาน มันเลยทำให้ฉันละทิ้งความรับผิดชอบที่พึงมีไปไม่ได้ แล้วอีกอย่างมันก็เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถพิสูจน์กับคนพวกนี้ได้ว่าฉันมาทำงานจริง ๆ
“...”
“คุณอย่าเงียบสิ ฉันต้องเข้าไปในงานจริง ๆ คุณก็น่าจะเห็นว่าฉันเป็นคนโฟน เอ่อ...เป็นคนพูดรายละเอียดตัวรถ ถ้าฉันหายไปทั้งคนมีหวังงานที่เจ้านายคุณสร้างมาคงพังแน่”
“ห่วงงานหรือตั้งใจจะหนีกันแน่!”
ทว่าเสียงทรงพลังเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเดินเข้ามาประชิดจนถึงร่างกาย
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งให้ฉันถอยหลังหนี หากแต่พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้กว้างขวางมากพอจึงทำให้แผ่นหลังของฉันชิดติดกับกำแพง ตามมาด้วยร่างกายของเขาที่เดินตรงปรี่เข้ามาจนมีระยะห่างระหว่างกันและกันไม่กี่ก้าวเท่านั้น
“เธอบอกว่าเธออยู่ในสังกัดเจ๊สวยครับนาย”
ลูกน้องข้างกายกล่าวรายงานตามสิ่งที่ฉันบอก นั่นจึงทำให้ฉันรีบพยักหน้าเสริมว่าฉันมาที่นี่เพื่อทำงานจริง ๆ
“ฉันไม่ใช่สายสืบจริง ๆ นะคะ ฉันเป็นพริตตี้ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วตอนนี้ฉันก็ต้องเข้าไปในงานแล้วด้วย เดี๋ยวจะต้อง…”
“ยัยป่านหายไปไหนของมันเนี่ย! โอ๊ย...ใกล้จะโฟนรอบสองแล้วด้วย โทรไปก็ไม่รับสาย!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นแทรกในระยะไกล หากแต่ประโยคเหล่านั้นกลับทำให้ทั้งฉันและคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้ยินกันอย่างชัดเจน
“เจ๊! ป่านอยู่นี่ ช่วยป่านด้วย!”
“นายระวังครับ!”
เหมือนเห็นความหวังอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ฉันรีบขยับตัวหวังจะวิ่งหนีพร้อมกับการร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากเจ๊สวย แต่แล้วคำพูดก็ถูกกลืนกลับไปชั่วขณะ เมื่อเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
ปัง!
“กรี๊ด!!!”
เสียงดังกระหน่ำตามมาด้วยเสียงกรีดร้องจากภายนอกเข้าสู่โสตประสาทมาเป็นอันดับแรก แต่ทว่าหลังจากนั้นความเจ็บปวดกลับแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายของฉันทรุดลงสู่พื้นเป็นลำดับถัดมา
“เธอ!”
วงแขนแกร่งโอบประคองตัวของฉันเอาไว้เมื่อไร้เรี่ยวแรงจะหยัดยืนได้อีกต่อไป
หยาดเลือดสีแดงสดไหลหลั่งบริเวณต้นแขน บ่งบอกว่าเสียงดังสนั่นเมื่อครู่นี้เป็นเสียงปืน ซึ่งกระสุนนัดนั้นเฉียดผ่านแขนฉันไปได้อย่างหวุดหวิด แต่มันกลับสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดกับเนื้อกายได้เช่นกัน
“พวกมึงไปตามจับมันมา เร็ว!”
คำสั่งตวาดกร้าวก่อนที่เสียงฝีเท้าหนักจะวิ่งทิ้งห่างออกไปจากระยะที่ได้ยิน
“มันตั้งใจยิงกู แต่โดนยัยนี่แทน” คุณไตรพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกดสายตามองมาที่ฉันที่ตอนนี้กำลังสั่นกลัวไปกับทุกสิ่ง
“ฉันไม่ได้ทำนะคะคุณไตร อึก...ไม่ใช่ฉันนะ ไม่ใช่...” แม้ว่าตอนนี้จะเจ็บแต่ก็ยังอยากยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ว่าฉันไม่ได้อยู่เบื้องหลังของกระสุนนัดนี้อย่างแน่นอน
“แม่ง! ไอ้รุตมึงเข้าไปดูในงานก่อน ป่านนี้แตกตื่นกันหมดแล้ว!”
“แล้วนายล่ะครับ!”
เสียงสบถหนัก ๆ ของคนตรงหน้าทำให้หยาดน้ำตาไหลหลั่งออกมา ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ชีวิตของฉันจะเป็นยังไง อยู่ ๆ ก็มีกระสุนปืนปริศนายิงมา แถมมันยังเป็นจังหวะเดียวกับที่พวกเขากำลังเค้นถามความจริงจากฉันอีก
“กูจะให้หมอรินมาดูแล!”
“แต่...”
“ทำตามที่กูสั่ง!”
บทที่ 8หน้าด้านสติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง“ที่นี่ที่ไหนคะ”“บ้านฉัน”“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”“ก็ฉัน...”ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่
บทที่ 9อย่าได้เจอกันอีก“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่“ถามก็ตอบ”“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น“รู้จักมันได้ยังไง”“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 11วางยา (2)“ผมเซ็นครบหมดแล้วใช่ไหมครับคุณไตร ขาดตกตรงไหนไปหรือเปล่า” เสี่ยยศเอ่ยถามหลังจากส่งหนังสือสัญญาการสั่งซื้อให้กับไตรพัฒน์ได้ตรวจสอบ“เรียบร้อยครับเสี่ย ขอบคุณมากครับที่ไว้วางใจ หลังจากนี้ก็รอรับของสบาย ๆ ได้เลย” ไตรพัฒน์กวาดสายตามองเร็ว ๆ ก่อนจะเก็บพับเอกสารแล้ววางลงที่โซฟาข้างตัวเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา วิธีส่งท้ายคู่ค้าก็คือการจับมือแล้วจึงแยกย้าย ซึ่งจังหวะนั้นมารุตลูกน้องคนสนิทก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี สายตาคมเข้มมองไปยังลูกน้อง เห็นการโค้งศีรษะรับน้อย ๆ ที่แม้แต่ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนคำใดก็เป็นอันเข้าใจ“อ้าวไอ้รุต ไปไหนมาวะเนี่ย ไม่อยู่กินเหล้าด้วยกัน”“ผมไปจัดการงานให้นายมาน่ะครับ แล้วนี่เสี่ยจะกลับแล้วเหรอครับ” มารุตค้อมศีรษะลงเมื่อถูกมือใหญ่ตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง“จะกลับแล้วล่ะ กูจะไปขึ้นสวรรค์ ไว้เจอกันนะ ผมไปนะครับคุณไตร” ทิ้งท้ายคำพูดเป็นเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งร้านเสี่ยยศเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องสองคนที่ตามติด สีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงเหมือนว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ดั่งคำพูดจริง ๆ และการกระทำนั้นกลับทำให้มารุตถึงกับอดที่จะขำออกมาไม่ได้ เพราะล่วงรู้การณ์ข้างหน้าว
บทที่ 12ไม่ใช่ฝันความเมื่อยขบตามร่างกายและอาการวิงเวียนของศีรษะ ทำให้คนบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นขยับตัวเหยียดแขนขาเล็กน้อยเป็นต้องชะงักและรีบเปิดเปลือกตาโพลง เนื่องจากสัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมผ่อนคลายที่เข้าสู่โสตประสาทนั้นมันไม่ใช่สัมผัสจากห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง“ทะ...ที่นี่ที่ไหน!” สายป่านดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างไม่สนใจกับอาการวิงเวียนศีรษะ เหตุเพราะสภาพห้องที่ไม่คุ้นตากลับทำให้เธอหวาดหวั่นจนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ พลางขบคิดนึกย้อนไปยังค่ำคืนที่หัวสมองน่าจะยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง“มึงมาช่วยกูประคองอีนี่ไปที่ห้อง เบา ๆ นะเว้ย เสี่ยสั่งมาว่าห้ามช้ำห้ามมีแผล!” เสียงเข้มดังกังวานก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกตวัดช้อนและตรงปรี่ไปยังรถตู้สีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกล ชายร่างยักษ์ตัวใหญ่ช่วยประคองหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถตู้ หากแต่เสียงดุดันของใครคนหนึ่งกลับดังแทรกขึ้น ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ่อกระบอกปืน โดยมีจุดหมายก็คือกลางกบาลของคนตัวโต“ปล่อยผู้หญิงซะ” “มึงเป็นใครวะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไ
บทที่ 13ผู้หญิงของฉันSAIPAN’S PART ;ข้อมือของฉันถูกฉุดรั้งให้เข้ามาในห้องห้องหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าเป็นห้องที่คุณไตรใช้มันเป็นที่ทำงาน เนื่องจากฉันเห็นว่าภายในห้องนี้มีทั้งโต๊ะและชั้นวางเอกสารมากมาย ไม่ต่างจากสำนักงานขนาดย่อมเลยสักนิดทันทีที่เข้ามาในห้องคนตัวใหญ่ก็ผลักให้ฉันนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะ ส่วนเจ้าตัวก็เดินอ้อมแล้วนั่งประจำที่เก้าอี้หนังสีดำฝั่งตรงข้าม ราวกับเป็นการสัมภาษณ์งานระหว่างเจ้านายและลูกน้องไม่มีผิดถ้าจะผิดก็คือฉันไม่ใช่ลูกน้อง และคุณไตรเองก็ไม่ใช่เจ้านายของฉันเช่นกัน!“ป่านนี้คุณหมอคงโกรธแย่เลยนะคะ” ฉันเปิดประโยคออกมาเป็นคนแรก เนื่องจากเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเริ่มเกิดความอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก“แล้วไง”“ก็คุณกับคุณหมอ...”“หมอรินเป็นแค่หมอ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากกว่านั้น”“อ้อ...” ฉันยิ้มรับบาง ๆ พลางพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดหนักแน่นจนต้องรีบหลบสายตาหนี“จำได้ใช่ไหม เรื่องเมื่อคืน”“อึก...” ฉันถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เมื่อได้ยินหัวข้อสนทนาใหม่นั่นก็คือเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ทั้งที่ในตอนแรกตั้งใจจะถามเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอเห็นสายตาดุ ๆ บวกกับภาพแนบชิ
บทที่ 14ลาออกวันถัดไปสายป่านเดินเข้ามาด้านในร้านและจัดการเปลี่ยนชุดแต่งหน้าเพื่อให้พร้อมเริ่มงาน ตอนนี้เป็นเวลาเพียงหกโมงเย็นเท่านั้น หากแต่ในฐานะพนักงานย่อมต้องเข้างานตั้งแต่ช่วงเริ่มเปิดร้านเพราะมีความรับผิดชอบอีกมากมายที่ต้องจัดการหญิงสาวเดินมาทำหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการเช็ดโต๊ะและจัดเก้าอี้ให้เข้าทาง ระหว่างที่กำลังทำงานในหัวสมองกลับนึกถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้ใบหน้าหวานเรียบตึง คลับคล้ายกับความกังวลที่ปรากฏจนเผลอแสดงมันอย่างออกนอกหน้า“เป็นอะไรป่าน ทำหน้าบึ้งเชียว เออนี่ช่วงดึก ๆ คุณเวย์จะเข้าร้านนะ คุณไตรก็มาด้วย พี่ฝากป่านช่วยดูแลด้วยล่ะ” เอ็มผู้จัดการร้านเดินเข้ามาทักทาย ขณะที่สายตาก็พลางกวาดมองความเรียบร้อยก่อนจะถึงเวลาเปิดร้านรับลูกค้า“คะ...คุณไตรเหรอคะ”ทว่าชื่อที่ได้ยินกลับทำให้ความกังวลได้คำตอบที่ชัดเจน จากความวุ่นวายสับสน เพียงแค่ได้ยินชื่อของเขาคนนั้นก็ทำให้เธอเลือกตัดสินใจกับเรื่องที่กำลังขบคิดอย่างว้าวุ่นได้ในทันที“พี่เอ็ม...”ความคิดที่อยู่ในหัวกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าล้วนสัมพันธ์กันอย่างเหมาะเจาะสายป่านเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ความตั้งใจที่เอ่อล้นเต็ม
บทที่ 15ธุรกิจสีเทาหลายวันผ่านไปการที่ไตรพัฒน์มาเยือนโกดังเก็บอาวุธผิดกฎหมาย นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เหล่าลูกน้องถึงกับขวัญผวาขั้นสุดชายชุดดำนับสิบยืนเรียงเป็นหน้ากระดานเมื่อตัวรถยนต์คันหรูจอดเทียบด้านหน้า พลันเมื่อประตูถูกเปิดออก ร่างสูงตระหง่านของผู้ทรงอิทธิพลก็ปรากฏตัว ตามมาด้วยมือขวาคนสนิทอย่างมารุตที่เดินประชิดตัวของผู้เป็นนาย“หน้าซีดแบบนี้แปลว่าพวกมึงทำงานไม่เสร็จตามกำหนดสินะ” มาเฟียหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความเรียบนิ่ง ในขณะนั้นสายตาคมดุดันก็กวาดมองลูกน้องของตัวเองทุกคน ที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตาหลบหลีกกันยกใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้คำตอบแต่ก็มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่คาดคิดไว้นั้นเป็นเรื่องจริงไตรพัฒน์เดินทางมาที่โกดังเก็บสินค้าที่ตั้งอยู่แถบปริมณฑลพร้อมกันกับมารุต น้อยครั้งนักที่เขาจะมาตรวจสอบงานด้วยตัวเอง หากแต่ครั้งนี้เขากลับได้รับรายงานว่าสินค้าที่มีกำหนดส่งตามวันเวลานั้นถูกเลื่อนออกไป เหตุเพราะความล่าช้าของตัวลูกน้องเองทั้งนั้น นั่นจึงทำให้เขาใจเย็นที่จะอยู่เฉยแล้วปล่อยให้เครดิตตัวเองเสียชื่อไม่ได้“เอ่อ...ใกล้เสร็จแล้วครับนาย อีกนิดเดียวจริง ๆ ครับ” หนึ่งในชายชุดดำใจกล้าที่จะตอบกลับ แม้
บทที่ 45พลาด“กล่อมเด็กเข้านอนเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”เมื่อไตรพัฒน์เดินเข้ามาในห้องทำงาน เสียงของมือขวาคนสนิทก็ไม่วายเอ่ยแซวอย่างขบขัน นัยน์ตาพราวเป็นประกาย จนคนที่ถูกถามเป็นต้องรีบปั้นหน้านิ่งขรึมพร้อมกับกดสายตาดุส่งไปให้“ไอ้ตุลย์ไปถึงหรือยัง”“อ้าว นายยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะครับ” มารุตเลือกที่จะถามต่อ น้ำเสียงหยอกเย้าไม่เกรงกลัวในอำนาจของผู้เป็นนาย เพราะทำงานด้วยกันมานานหลายปี การได้เห็นนายตัวเองกล่อมเด็กสาวคนโปรดเข้านอนก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าเก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้มากที่สุด“ไอ้รุต!” ไตรพัฒน์ตวัดสายตาดุดันให้กับมือขวา ทั้งที่เปลี่ยนเรื่องเข้าสู่งานในค่ำคืนนี้แล้วก็ยังไม่วายไล่ต้อนเขาถึงสิ่งที่ไม่เคยทำอย่างการง้องอนเด็กในปกครองแต่เขาก็ทำมันไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ...“โอเคครับ ไม่พูดแล้วครับ ตอนนี้คุณตุลย์ไปรอยังจุดนัดหมายแล้วครับนาย คนของเรารายงานว่าอีกสิบนาทีลูกค้าก็จะเดินทางมาถึง” มารุตยกมือปิดปากตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้ม ๆ ของนายที่แสดงออกว่าไม่มีทีท่าจะเล่นด้วย จากนั้นถึงได้วกกลับเข้าเรื่องการส่งสินค้าที่เขาได้มอบหมายให้ตุลธรผู้เป็นน้องชายจัดการ“แล้วเรื่องหนอนมึงคิดว่าใคร”
บทที่ 44เลี้ยงส่งวันสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาฝึกงานไม่มีภาระความรับผิดชอบใด ๆ นอกเหนือจากการเลือกร้านอาหารให้กับหัวหน้าสาวเลี้ยงอำลาก่อนจะแยกจากกันเมื่อถึงเวลาเลิกงานเหล่าพนักงานออฟฟิศก็รวมตัวกัน โดยมีการนัดหมายและจุดหมายปลายทางเป็นสถานที่เดียวกันก็คือร้านอาหารไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริษัท จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งน้องเล็กสุดอย่างสายป่านที่จะไม่ได้มาทำงานที่บริษัทอีกต่อไปแล้ว“โห พี่นุ้ย...สั่งอาหารไว้รอแล้วเหรอคะเนี่ย”ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องอาหารที่ถูกจองไว้ล่วงหน้าก็เป็นต้องตกตะลึงเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าหัวหน้าสาวที่สนิทสนมกันจะเลือกจองห้องรับรองพิเศษเพื่อความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าที่ตอนนี้กำลังวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะจนเธอตาลายไปหมด“ระดับพี่นุ้ยไม่ธรรมดาอยู่แล้วแหละป่าน” เสียงจากทางด้านหลังซึ่งเป็นของหนึ่งในพี่ที่ทำงานที่เธอเองก็สนิทสนมด้วยเช่นกัน“ใช่จ้ะ เลี้ยงส่งป่านทั้งทีนี่นา ป่านน่ะเป็นเด็กฝึกงานคนแรกของบริษัทเราเลยนะ แถมพี่เองก็ทั้งรักทั้งเอ็นดู นี่ยังเสียดายเลยที่ครบกำหนดฝึกงานแล้ว ไม่งั้นพี่จะขอให้บอสทำสัญญาว่าจ้างต่อนะเนี่ย”“โอ๊ย อย่าเพิ่งพูดกันเลย
บทที่ 43ระบายอารมณ์ฉันเดินไปเดินมาภายในตัวบ้านเนื่องจากเป็นห่วงและไม่รู้ว่าคุณไตรจะเป็นยังไงบ้าง หลังจากที่เขาเก็บตัวอยู่ในห้องทำงานหลายชั่วโมง ก็มีเพียงพี่มารุตคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ลองสอบถามจากพี่มารุตตอนที่เขาเดินออกมาก็ได้รับเพียงการส่ายหน้า นั่นเลยทำให้ฉันเลือกที่จะรอคอยเขาอยู่ด้านล่าง และหวังให้เขากลับมาเป็นตัวของตัวเองได้ในไม่ช้าเหตุการณ์ในวันนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบริษัทไทรอัมพ์มาก นอกจากจะพลาดการร่วมหุ้นกับนักธุรกิจคนสำคัญแล้ว เขายังถูกหยามหน้ากับบริษัทคู่แข่งที่หวังแย่งชิงพื้นที่ทางธุรกิจอีกด้วยแล้วสิ่งที่เจ็บช้ำที่สุดที่ทำให้คุณไตรเดือดดาลมากขนาดนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกไป พอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร หากแต่มันหลุดรอดถึงอีกฝ่ายจนถูกตัดหน้าแก่งแย่งแบบนี้ มันเลยทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยว่าเขากำลังถูกหักหลังจากคนที่เป็นหนอนแฝงตัวและสิ่งที่ทำให้ฉันสะท้อนใจก็คือเรื่องนี้...หากฉันคิดร่วมมือเป็นนางนกต่อหวังพรากชีวิตของเขา ฉันก็ไม่ต่างจากหนอนบ่อนไส้ดี ๆ นี่เอง!“ผมว่าคุณไปหาอะไรรองท้องสักหน่อยน่าจะดีนะครับ นั่งรอแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรดีข
บทที่ 42ปาดหน้าเค้กSAIPAN’S PART ;บรรยากาศตอนเช้าของบ้านหลังใหญ่ตกอยู่ในความวุ่นวายที่มีกำลังชายชุดดำมากกว่าเดิมสองเท่า เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่คุณไตรจะต้องออกไปดีลกับหุ้นส่วนคนใหม่ที่จะร่วมหุ้นกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า“หล่อแล้วค่ะ” ฉันเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหลังจากที่จัดแจงสวมใส่ชุดสูทราคาแพงให้กับคุณไตร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับนัดหมายในไม่ช้า“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถามกันอย่างอ่อนโยน ขณะที่มือใหญ่ก็ค่อย ๆ ประคองสัมผัสที่ผ้าพันแผลจากการถูกยิงบริเวณต้นแขนของฉันอย่างเบามือหลังจากที่คุณไตรพาฉันกลับมาที่บ้านหลังใหญ่ของเขา เขาก็เรียกหาหมอรินให้มารักษาเป็นการด่วน แต่โชคดีมากที่กระสุนไม่ได้ฝังเข้าสู่เนื้อกาย บาดแผลแค่ฉีกเล็ก ๆ เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นความตั้งใจของคนอีกฝ่ายทุกอย่าง“นิดหน่อยค่ะ” ฉันตอบและหลบสายตาลงเพราะไม่อาจหาญพอที่จะมองหน้าเขาได้ตอนนี้รู้สึกอับอายไม่กล้าสู้หน้า ทั้งยังสับสนวุ่นวายจนไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตัวเองความจริงที่ถูกเปิดเผยว่าพี่สาวที่หลงเหลืออยู่ในชีวิตนั้นเป็นมือปืนหวังพรากชีวิตคนที่ฉันเผลอมอบควา
บทที่ 41เหยื่อล่อ (2)พลั่ก!“อ๊ะ!” สายป่านร้องขึ้นเมื่อร่างสูงใหญ่ของชายชุดดำผลักให้เข้ามาด้านในโกดังมืดทึบ จนร่างกายล้มลงกระแทกกับพื้น“เฮ้ย เบาหน่อยสิวะ เดี๋ยวน้องเขาก็ระบมหมด” ผู้เป็นนายที่เดินตามมาเอ่ยปราม หากแต่แท้จริงกลับยิ้มหยันพอใจ และไม่ได้มีท่าทีตำหนิคนของตัวเองเลยสักนิด“อย่ามายุ่งกับน้องสาวฉัน!” เส้นด้ายรีบวิ่งเข้ามาผลักคนตัวใหญ่ออกห่าง ก่อนจะตรงปรี่เข้ามาประคองรั้งร่างกายน้องสาวของตัวเองเอาไว้ เพราะไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องทั้งนั้น“อ้อ...พี่สาวของหวงซะด้วย มึงก็ระวังหน่อยสิวะ ผลักเขาล้มแบบนั้นเกิดผัวน้องเขามาเล่นงานกูจะทำยังไง” เรย์ยียวน รอยยิ้มเหยียดหยันเมื่อเห็นสองพี่น้องมองเขาด้วยความจงเกลียดจงชัง และคนที่พูดถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไตรพัฒน์ที่หวงแหนผู้หญิงคนนี้ยิ่งกว่าอะไร“ต้องการอะไรคุณเรย์ ทำไมต้องเอาน้องสาวของฉันเข้ามาเกี่ยวด้วย!” เส้นด้ายหันไปประจันหน้า น้ำเสียงตวาดกร้าวดังแผดลั่นทั้งหยาดน้ำตาที่ไหลหลั่งหมับ!“ก็เพราะน้องของเธอมันเป็นเหยื่อล่ออย่างดีน่ะสิ!” ร่างสูงให้คำตอบและเดินเข้ามาดึงรั้งเส้นด้ายให้แนบชิด มือใหญ่คว้าหมับที่ใบหน้าสะสวยของเธอ ออกแรง
บทที่ 40เหยื่อล่อ (1)“เจ็บหรือเปล่า ถ้าเจ็บบอกฉันนะป่าน” เสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน ขณะที่มือใหญ่ก็บรรจงกดสำลีชุบยาแนบไปกับแผลถลอกตามขาเรียว“ไม่เจ็บเลยค่ะ” สายป่านส่ายหน้าพลางยิ้มออกมาบาง ๆเธอไม่ได้เจ็บกับบาดแผลเลยสักนิด กลับกันเธอเจ็บปวดในหัวใจเสียมากกว่า…หลังจากที่ไตรพัฒน์พาเธอกลับมาที่บ้าน เขาก็จัดการทำแผลให้เธอเองกับมือ ทั้งยังบอกกับนุ้ยหัวหน้างานให้แล้วด้วยว่าสายป่านเกิดอุบัติเหตุจนต้องขอตัวกลับก่อนด้วยเหตุนั้นสายป่านถึงต้องรีบส่งข้อความไปขอโทษขอโพย ทั้งยังถ่ายรูปบาดแผลเล็ก ๆ ไปยืนยันอีกแรง เนื่องจากกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจที่ไม่ยอมบอกโดยตรง แต่สิ่งที่นุ้ยตอบกลับมาล้วนแต่มีความเป็นห่วงเป็นใย ทั้งยังอนุญาตให้ลางานได้ในวันพรุ่งนี้ สายป่านเลยคลายกังวลไปได้อีกหนึ่งเรื่อง“ทำไมเธอถึงไปเจอกับมันได้ล่ะ คนของฉันบอกว่าเธอเดินเข้าไปหามันเอง” มาเฟียหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ นัยน์ตาคมเข้มแต่ไม่มีการตำหนิใด ๆ เลยสักนิด ทว่ามันกลับทำให้สายป่านร้อนรุ่มจนแสดงท่าทีกังวลออกมา“อึก! ปะ...ป่าน ป่าน...”“ตอนแรกคนของฉันมันรายงานว่าเธอน่าจะรู้จักกับมัน เพราะเห็นจับมือพูดคุยกันด้วย
บทที่ 39ผิดแผน“พี่นุ้ยจะเอาอะไรคะ เดี๋ยวป่านไปสั่งให้ค่ะ” สายป่านถามหลังจากที่เดินเข้ามาด้านในร้านกาแฟพร้อมกับหัวหน้าที่ดูแลการฝึกงาน“อืม...เอาอะไรดีนะ เอาเลมอนโซดาดีกว่า เบื่อพวกกาแฟแล้ว อะนี่จ้ะ เอาเงินนี่จ่ายนะ ป่านเองก็สั่งมาด้วยเลย” ครุ่นคิดรายการที่จะสั่งไม่นานก็ตัดสินใจได้ เธอหยิบธนบัตรส่งให้กับเด็กสาว พร้อมกับกำชับให้สั่งเครื่องดื่มมาด้วยกัน เนื่องจากรู้ดีว่าจะต้องได้รับการปฏิเสธกลับมาเช่นทุกครั้ง“เลี้ยงป่านอีกแล้วง่า พี่นุ้ยอย่าใจดีนักสิคะ ถ้าป่านฝึกงานเสร็จแล้วป่านคงใจหายแย่ที่จะไม่ได้เจอหัวหน้าใจดีแบบพี่นุ้ยอีก” สายป่านส่งสายตาอ้อน หากแต่คำพูดที่เอื้อนเอ่ยล้วนออกมาจากหัวใจทั้งสิ้น“พี่ต่างหากที่ใจหาย นี่ก็เหลืออีกไม่ถึงเดือนแล้วด้วย เฮ้อ...ฝึกงานเสร็จแล้วก็มาสมัครที่นี่ได้นะป่าน บริษัทเรายินดีต้อนรับเสมอ”“โหย ป่านนี่เด็กเส้นดี ๆ นี่เอง”“แน่นอนสิ บอกไปเลยนะว่าเป็นเด็กพี่นุ้ย ไม่มีใครกล้าแหย็มแน่!”“คิก ๆ ป่านไปสั่งเครื่องดื่มดีกว่า พี่นุ้ยไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนนะคะ เดี๋ยวป่านเอาไปเสิร์ฟให้ถึงที่เลย” หญิงสาวส่งยิ้มร่าก่อนจะเดินแยกไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม และเลือกสั่งตามร
บทที่ 38หุ้นส่วนหลายวันผ่านไปหลังจากที่รักษาตัวจนร่างกายหายเป็นปกติ ไตรพัฒน์ก็ให้ความสนใจกับเนื้อหางานต่อทันที ซึ่งในวันนี้เขาได้นัดหมายให้น้องชายเข้ามาหาที่บริษัท เนื่องจากมีธุระสำคัญที่จะต้องพูดคุยกันโดยด่วน รวมถึงมารุตเองก็เป็นหนึ่งในคนสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวันนี้ด้วยเช่นกันไตรพัฒน์เข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับมือขวา กระทั่งเห็นว่าตุลธรได้มานั่งรอที่ห้องแห่งนี้ก่อนแล้วเรียบร้อย แม้ว่าเนื้อหางานในวันนี้จะเป็นงานสำคัญ อีกทั้งตุลธรเองก็ไม่มีหน้าที่ใด ๆ กับส่วนนี้ แต่ไตรพัฒน์เองก็ยังคงหวังในภายภาคหน้าว่าเขาจะดันตุลธรขึ้นนั่งในตำแหน่งสำคัญแทนตัวเอง“มึงทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง” ไตรพัฒน์นั่งลงบนโซฟาพลางกดสายตามองไปยังน้องชาย ที่ตอนนี้ทำหน้าเหนื่อยหน่ายราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบก็ไม่ปานคนเป็นพี่ชายย่อมรู้ดีว่ามันเกิดจากสิ่งใด แต่ที่เขาต้องถามออกไปนั้นก็เหมือนเป็นการติเตียนและย้ำชัดในสถานะว่าต่อให้แสดงอารมณ์ในรูปแบบไหน เขาก็ไม่มีวันตามใจได้เหมือนเรื่องอื่นตุลธรไม่มีหน้าที่กับงานของบริษัท เหตุเพราะเกลียดขยาดจนแทบไม่อยากเข้าใกล้ คงจะมีก็แต่เรื่องเดียวที่ทำงานได้ดีจนออกปากชมอยู่หลายครั้งนั
บทที่ 37ไม่เคยพอ“คุณไตร...” ฉันพยายามเปล่งเสียงเรียกรั้งให้เขาหยุด หากแต่มันบางเบาและถูกกลืนกลับลงสู่ลำคอดังเดิมเมื่อริมฝีปากฉกฉวยทาบทับซ้ำแล้วซ้ำเล่าสติของฉันถูกพรากให้ดำดิ่งอยู่ในห้วงปรารถนา ลอยล่องไปกับสัมผัสรสจูบไหวหวามของเขาจนไม่อาจกู่กลับได้อีกต่อไปฉันหลับตาพริ้มตอบรับและตอบสนอง ปล่อยตัวปล่อยใจและส่งมอบให้เขาทั้งหมด มือสองข้างยกขึ้นคล้องที่ต้นคอหนา บดเบียดร่างกายให้แนบชิดคลอคลึงหวังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันริมฝีปากของเราบดคลึงกันเนิ่นนานจนไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าไร กระทั่งรู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าบนร่างกายของตัวเองและเขาได้หลุดหายไปจนหมดแล้วความเปลือยเปล่าถูกกระทบด้วยลมแอร์เย็นฉ่ำ ครั้นสติดวงน้อย ๆ อันเลือนรางถึงได้ย้อนคืนกลับมา จนมันประมวลได้ว่าตอนนี้คุณไตรกำลังเริ่มต้นบทบรรเลงขึ้นแล้ว“คุณไตรไม่ใส่ถุงเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามเสียงบางเบา ตอนที่ผงกหัวมองถึงได้เห็นว่าเขากำลังชักรูดลำกายอวบก่อนจะกดจ่อพร้อมสอบกระทั้นที่ปากทาง“อยากสด ได้ไหม?”“ดะ...ได้ค่ะ ป่านกินยาคุมอยู่”“ก็ดี” สิ้นคำตอบเอวหนาก็สอบเข้าหาจนฉันสะดุ้งโหยงแม้ว่าช่องทางจะฉ่ำเยิ้มพร้อมพรักเป็นอย่างดี แต่ด้วยขนาดที่แตกต