LOGINชั่วโมงต่อมา
ใบข้าวในชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำแบบรัดรูป ความยาวของชุดปิดถึงแค่ต้นขา กำลังนั่งตัวลีบตัวหดอยู่บนโซฟาขนาดใหญ่ ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่คนในนี้เรียกกันว่าห้องวีไอพี ด้านซ้ายมือของเธอคือผู้ชายรูปร่างอ้วนท้วม ด้านขวาคือผู้ชายสูงใหญ่สักลายเต็มตัว บนโซฟาอีกตัวมีชายหญิงสองคู่นั่งนัวเนียกันอยู่ โซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเธอก็ไม่ต่างกัน และงานที่เธอต้องทำ ก็คืองานที่ผู้หญิงพวกนั้นกำลังทำให้ดูเป็นตัวอย่าง งานดูแลลูกค้าแบบถึงเนื้อถึงตัว “นี่เธอนั่งนิ่งอยู่ทำไม ไม่เห็นหรือไงว่าเหล้าเสี่ยหมดแล้ว รีบๆเติมเหล้าให้เสี่ยสิ” พนักงานมากประสบการณ์บอกพร้อมกับส่งสายตาไปให้ “อ่า ค่ะ ค่ะ” ใบข้าวไม่ค่อยมีสมาธินัก เพราะมัวแต่หนีมือปลาหมึกของคนที่ถูกเรียกว่าเสี่ย “เพิ่งเคยทำเหรอ?” เสี่ยที่สักลายทั้งตัวโน้มใบหน้าลงไปถาม ใบข้าวเบี่ยงใบหน้าหลบให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ด้วยยังไม่อยากสร้างความขุ่นเคืองให้กับลูกค้ากระเป๋าหนักแต่ดูกลัดมัน คีบน้ำแข็งใส่ลงไปในแก้วจากนั้นก็เทเหล้าราคาแพงตามลงไป ตามด้วยเทโซดาผสมในอัตราส่วนหนึ่งต่อสาม ใช้ที่คีบน้ำแข็งคนเหล้าให้เข้ากัน ยกมันมายื่นให้เสี่ยที่มือยังอยู่ไม่สุข เสี่ยใหญ่ไม่ยอมรับมันง่ายๆ ทำท่าทางเหมือนอยากจะให้ใบข้าวป้อน “อะ อ้าปากสิคะเสี่ย ขา” ใบข้าวเกลียดนิสัยปรับตัวเก่งของตัวเองก็ตอนนี้ แต่เพื่อเงินต้องทนเอาไว้ ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยไปหางานใหม่แล้วกัน ตราบใดที่ยังไม่ถูกลากไปปู้ยี้ปู้ยำก็ทนทำไปก่อน “เหล้าที่หนูข้าวชงอร่อยมาก ลองชิมดูสิ” เสี่ยใหญ่เหลือเหล้าในแก้วไว้เกินครึ่ง เพื่อให้เด็กสาวที่นั่งแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับลูกน้องดื่ม “แหะๆ เสี่ยดื่มเถอะค่ะ พอดีหนูไม่ค่อยถูกกับเหล้า” “เสี่ยดื่มคนเดียวจะไปสนุกอะไร เด็กๆ หาเกมส์มาเล่นเอาใจหนูข้าวกูหน่อย” เสี่ยออกคำสั่งกับลูกน้องของตัวเอง ที่กำลังนั่งคลอเคลียเด็กของร้านอยู่อีกฟากของโซฟา ไม่นานกิจกรรมที่ใบข้าวเห็นจนชินตาก็ถูกจัดขึ้นบนโต๊ะ ธนบัตรสีเทาถูกแก้วบรรจุเหล้าวางทับ ดวงตาของใบข้าวลุกวาว รีบเล็งแก้วที่มีจำนวนธนบัตรมากที่สุดไว้ “ว้าว! วันนี้เสี่ยใจป้ำจังเลยค่ะ” เด็กสาวรายหนึ่งเอ่ยชมความใจป้ำของเสี่ย เขาคงถูกใจเด็กใหม่มากถึงได้เปย์หนักขนาดนี้ แม้จะไม่ชอบใจแต่ยัยคนสวยนั่นก็ทำให้พวกเธอพลอยได้อาณิสงไปด้วย “หนูข้าวของเสี่ยสวยซะขนาดนี้ ก็ต้องหาอะไรสนุกๆให้หนูข้าวของเสี่ยทำหน่อย หนูข้าวของเสี่ยจะได้ไม่เบื่อ” เสี่ยใหญ่อายุย่างเข้าเลขหกยกยิ้มมุมปาก หนูข้าวของเสี่ยแทบจะเก็บอาการขนลุกขนพองไม่ไหว เธอไปเป็นหนูของเสี่ยตอนไหน ขี้ตู่ไม่พอยังทำหน้าหื่นห่ามยิ่งกว่าเดิม เธอวางใจมากเกินไปหรือเปล่านะ ต้องระวังตัวมากกว่าเดิมแล้ว อย่าเห็นแก่เงินนักเลย “หนูดื่มไม่ไหวจริงๆค่ะเสี่ยขา เราร้องเพลงกันดีไหมคะ หนูร้องเพลงเพราะนะคะเสี่ย” ใบข้าวพยายามโน้มน้าวให้เปลี่ยนกิจกรรม แต่ก็โดนขัดขึ้นทันที โดยสาวสวยอีกคนที่เล็งเงินใต้แก้วเหมือนกัน “แหม๋! ถ้าดื่มไม่ไหวจะมาทำงานนี้ให้เสียโอกาสคนอื่นทำไมย่ะ” “อ่า” ใบข้าวไม่อยากทำตัวเป็นอริกับเพื่อนร่วมงาน ได้แต่นั่งเงียบคอยหลบมือปลาหมึกของเสี่ย “นิดหน่อยก็ไม่ได้เลยเหรอ เสี่ยเพิ่มให้อีกเอาไหม เอาเงินเพิ่มไปหน่อย น้องๆจะได้มีกำลังใจเล่นเกมส์กับเสี่ย” คนของเสี่ยขยับเอาเงินไปเพิ่มไว้ใต้แก้ว ใบข้าวกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอเมื่อจำนวนเงินเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ตบตีกับความคิดของตัวเองสุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับความโลภ เอาวะ! แก้วละตั้งสี่พัน แถมแก้วพวกนั้นก็ไม่ได้ใหญ่มาก คงไม่เมาเร็วขนาดนั้นหรอก ใบข้าวตัดสินใจหยิบแก้วใบที่วางทับธนบัตรสีเทาจำนวนสี่พันขึ้นมาดื่มจนหมด วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะจากนั้นก็หยิบเงินขึ้นมา ยังไม่ทันได้หาที่เก็บเงิน เสี่ยมือปลาหมึกก็เลื่อนแก้วอีกใบพร้อมกับเงินมาไว้ตรงหน้า “ไหวไหม? ไม่ไหวเสี่ยให้น้องคนอื่นดื่มแทนหนูข้าวนะ” “แหะๆ หนูไหวคะเสี่ย” ใบข้าวหัวเราะแห้งๆ เมื่อเหล้าที่เพิ่งดื่มไปไม่ได้แรงอย่างที่เธอคิด จะบอกว่าไม่รู้สึกถึงแอลกอฮอล์เลยก็ว่าได้ ให้ดื่มแบบนี้อีกสิบแก้วเธอก็ไหว ไม่ต้องกลัวเรื่องที่จะถูกคนพวกนี้มอมให้เมาแล้ว อีกด้านหนึ่งของเมืองใหญ่ ชั้นบนสุดของอาคารขนาดใหญ่หลายสิบชั้น เป็นห้องทำงานของผู้บริหารอย่างเขตขันธ์ ทว่าวันนี้เจ้าของอาคารกลับไม่อยู่ในห้อง มีเพียงชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปี ที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันนั่งทำงานแทน เขตครามเริ่มมาช่วยงานของพ่อได้ราวๆสองสัปดาห์แล้ว ชีวิตก่อนหน้าเขาไม่เคยสนใจงานของพ่อเลย ตอนได้นั่งตำแหน่งประธานแทนท่านจึงทำแบบขอไปที แต่ชีวิตครั้งนี้เขาจะทำแบบเดิมไม่ได้ ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองย้อนกลับมายังอดีตเมื่อประมาณสองเดือนก่อน เขาก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของตัวเอง ครืด ครืด! เครื่องมือสื่อสารส่วนตัวที่ตั้งระบบสั่นไว้ เพราะไม่อยากให้ใครติดต่อมารบกวนการทำงานโดยเฉพาะคนจุ้นจ้านอย่างพราวฟ้า สั่นครืดๆพร้อมกับโชว์ชื่อคนที่โทรเข้ามา เป็นสายของอนุชาผู้จัดการผับ เขตครามวางปากกาในมือลงแล้วกดรับ เลือกเปิดเป็นโหมดสปีกเกอร์โฟนในการสนธนา จากนั้นก็เอนแผ่นหลังพิงกับพนักเก้าอี้ [สวัสดีครับคุณคราม] แม้อายุจะน้อยกว่ามาก แต่เขตครามก็ได้รับความเคารพจากอนุชาในฐานะเจ้านาย “มีอะไร?” ดวงตาสีเทาเข้มทอดมองออกไปนอกห้อง หลังจากใช้ขาดันเก้าอี้ทำงานไปอีกด้าน ด้านหน้าคือผนังแบบกระจกใส มองเห็นท้องฟ้ายามราตรีได้ดี แต่ภาพตรงหน้าของเขาตอนนี้กลับเป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่ความงดงามของแสงไฟหลากสีอย่างที่ควรเป็น ภาพใบหน้าสดใสของใบข้าว [ คือ คุณครามครับ…วันนี้น้องข้าวมาที่ผับ แต่ผมบอกเธอไปแล้วนะครับ ว่าไม่ต้องมาทำงานที่นี่แล้ว ] “แล้ว ยัยนั่นฟังที่คุณพูดไหม?” เขตครามยกมือขึ้นคลึงขมับเบาๆ เมื่อนึกถึงความดื้อรั้นของใบข้าวในชีวิตที่ผ่านมา [ ฟังครับ แต่คนของเราที่ผมให้ตามไปดูเธอ รายงานมาว่า เธอได้เข้าไปสมัครงานร้านอื่นด้วยครับ แต่คุณครามไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมให้คนของเราเข้าไปแจ้งร้านต่างๆในละแวกนี้ไว้แล้ว ไม่มีร้านไหนรับเธอเข้าทำงานแน่นอนครับ ] “อืม ทำดีแล้ว” มุมปากหยักสวยยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดูชั่วร้ายและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน อารมณ์ขุ่นมัวที่ใบข้าวทำไว้ ตั้งแต่กลับมาเจอกันในสภาพที่ยังเป็นเพียงนักศึกษา เบาบางลงไปเล็กน้อย [ เอ่อ … คุณครามครับ ] “มีอะไรอีก?” คนที่นึกว่าผู้จัดการวางสายไปแล้วถามเสียงขุ่น [ คือผมไม่ได้บอกร้าน Demon ไว้นะครับ แต่ผมคิดว่ายังไง คนฉลาดๆ อย่างน้องข้าว คงไม่ไปทำงานในสถานที่ที่มันอันตรายแบบนั้นหรอกครับคุณคราม ] “แม่งเอ้ย! ทำไมไม่บอกพวกมันด้วยวะ!” เขตครามสบทเสร็จก็กดวางสาย ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อช็อปสีกรมของมหาวิทยาลัย เร่งรีบออกไปจากห้องทำงานของผู้เป็นบิดา เลขาสาวสวยที่ยังนั่งทำงานอยู่หน้าห้อง ตกอกตกใจแต่ไม่มีโอกาสได้ถามไถ่ลูกชายสุดหล่อของเจ้านายว่าเกิดอะไรขึ้น เขตครามวิ่งสุดกำลังด้วยรู้นิสัยของใบข้าวดียิ่งกว่าใคร เมื่อมาจนถึงรถหรูที่จอดทิ้งไว้ ก็รีบบึ่งมันออกไปตามเส้นทางที่ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำวันสุดท้ายของทริปฮันนีมูน มินตราทอดสายตามองไปยังร่างของสามี ที่กำลังเดินย้ำพื้นทรายเข้ามาใกล้บริเวณบ้านพัก เธอเก็บงำความลับไปมาตลอด จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของทริปฮันนีมูน ถึงเวลาที่ต้องบอกให้เขารู้สักที ว่ากลับไปจากตรงนี้ ชีวิตของเขากับเธอมันจะไม่เหมือนเดิม “ยิ้มอะไรหืม? พี่หล่อละสิ” หมอหนุ่มเอ่ยถามภรรยาที่นั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้ “ก็หล่อค่ะ แต่ที่มินยิ้ม ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น” มินตราตอบยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมอีก “แล้วยิ้มเพราะอะไร ดีใจที่จะได้กลับบ้าน” หมอหนุ่มคาดเดาอาการ จากนั้นก็เข้าไปสวมกอดภรรยาไว้ รู้สึกได้ว่าเธอมีน้ำมีนวลขึ้น สงสัยจะเป็นเพราะว่า เขาให้เธอกินเยอะไปหน่อย ก็นะ เอาเปรียบเธอซะขนาดนั้น ก็ต้องบำรุงหน่อยสิ “พี่คริสจะย้ายบ้านไหมคะ?” มินตรายังคงพูดอ้อมค้อม เพราะอยากทำให้สามีประทับใจ เธอรู้ว่าเขาชอบเด็ก แต่ยังไม่มั่นใจว่าเขาพร้อมจะเลี้ยงเด็กหรือยัง “เราอยากย้ายหรือเปล่า พี่มีบ้านนะแต่มันอยู่ไกล” หมอหนุ่มนึกตาม บ้านเขามีพร้อมและมีหลายหลัง แต่คอนโดมันสะดวกกว่า ใกล้ที่ทำงานด้วย “ไกลมากไหมคะ?”มินตราเริ่มกังวลเพราะถ้าไกลมาก มันอาจจะกระทบกับงานของเธอด้วย “ไม่นะ ท
สองชั่วโมงต่อมา เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่หมอหนุ่มจึงกลับไปชวนภรรยาออกมาทานข้าวข้างนอก ทานเสร็จก็เดินเล่นกันอยู่สักพัก เมื่อความรู้สึกบางอย่างพวยพุ่งขึ้นมา คนหื่นห่ามก็รีบชวนภรรยากลับไปที่บ้านพัก ตั้งใจว่ามาฮันนีมูนครั้งนี้ต้องได้เบบี้กลับไปด้วย ปึ่ง! เพียงแค่ประตูบ้านพักปิดสนิทลง บทรักหอมหวานก็เริ่มขึ้นทันที เสื้อผ้าที่ร่างบางสวมใส่ ถูกมือหนาถอดออกอย่างเร่งรีบ ริมฝีปากกดลงจนแนบชิด ลากไล้ลิ้นจนริมฝีปากสีสดแยกออกจากกัน กวาดต้อนลิ้นเล็กหวังให้เธอตอบสนองด้วยจังหวะที่เร่าร้อนขึ้นกว่านั้ร“อืม พี่คริส จะทำตรงนี้เลยเหรอคะ?”ดวงตาคู่หวานเต็มไปด้วยแรงสิเน่หา มองใบหน้าสามีด้วยแววหยาดเยิ้ม จนคนตัวโตทนไม่ไหว ละมือออกไปปลดตะขอกางเกงลง ปลดปล่อยตัวตนแข็งขืนออกมาเผชิญกับโลกภายนอก ชักรูดขึ้นลงช้าๆ ในขณะที่ริมฝีปากดูดดึงกับปากจิ้มลิ้มไม่ห่าง “อื้อ อ๊ะ อีกนิดสิคะ มินยังไม่พร้อมเลย”ผลักอกสามีออกห่างเพื่อบอกว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะมีอะไรกันตอนนี้ สามีที่ได้ยินอย่างนั้นรีบทรุดตัวลงนั่งคลุกเข่า มองจุดซ่อนเร้นแสนสวยพลางกลืนน้ำลายลงคอ เขาติดใจตรงนี้มาก ชอบเหลือเกินที่ลิ้นและมือของตัวเอง สามารถท
วันต่อมา 10:00 น. มินตรากับสามีเดินทางมาถึงชลบุรีตั้งแต่เช้า เพราะสามีเป็นบุคคลกรสำคัญทางการแพทย์ จึงไปไหนไกลกว่านี้ไม่ได้ ทั้งที่ลาหยุดกว่าห้าวันเพื่อพาภรรยาไปเที่ยวเก็บเกี่ยวน้ำผึ้งพระจันทร์แสนหวานหลังแต่งงาน แต่เพราะศัลยแพทย์เฉพาะทางมีน้อย เลยมาได้ไกลสุดแค่นี้ “ขอโทษนะครับที่พี่พามาได้ไกลสุดแค่นี้” “ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้เรามีเวลามากกว่านี้ เราค่อยไปที่ๆไกลกว่านี้ก็ได้” พูดจบก็เตะทรายแรงๆเป็นการระบายความโกรธ หมอหนุ่มมองภรรยาก่อนจะอมยิ้ม รู้แหละว่าเมียไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรที่แสดงออกว่าไม่พอใจออกมา คงกลัวว่าเขาจะคิดมาก มุมนี้ของเธอเขาก็ชอบสุดๆเลย “ตอนนั้นพี่คิดว่าจะเลิกเป็นหมอแล้วนะ” นั่นคือสิ่งที่เขาเคยคิดแต่ไม่กล้าทำ วันนั้นเขาบอกมันกับพ่อ อยากไปทำหน้าที่อาจารย์มากกว่า ผลสรุปคือเขาทะเลาะกับพ่ออย่างหนัก แต่วันนี้ที่เลือกบอกกับภรรยาว่าตัวเองไม่อินกับอาชีพหมอแล้ว นั่นก็เพราะอยากจะเลิกทำอาชีพนี้จริงๆ “ไม่เป็นหมอแล้วจะหาเลี้ยงหนูกับลูกยังไงล่ะ” คนตัวเล็กโดดขึ้นกอดรอบลำคอของสามี ดึงใบหน้าหล่อเหลาลงมาใกล้ อะไรทำให้เขาตัดสินใจแบบนี้ คิดว่าบอกเธอแล้
สองเดือนต่อมา วันแต่งงานของมินตรากับหมอคริส พิธีแต่งงานในช่วงเช้าจัดขึ้นที่บ้านของเจ้าสาว หลังจากแห่ขบวนขันหมากเสร็จ แขกเหรื่อก็มานั่งในห้องรับรองกันพร้อมหน้า โดยมีเพียงแค่ญาติของทั้งสองฝ่าย เพื่อนสนิท และนักข่าวที่ขอมาทำข่าวเพียงไม่กี่คน เป็นงานแต่งเรียบง่ายตามความต้องการของเจ้าสาว พิธีตักบาตรเช้าและแห่ขันหมากเสร็จลง ตอนนี้จึงเหลือเพียงพิธีสู่ขอและพิธีสวมแหวนแต่งงาน จากนั้นก็จะมีพิธีรับไหว้ผู้ใหญ่ พิธีรดน้ำสังข์ และจบด้วยพิธีส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอ เป็นพิธีแต่งงานตามขนบธรรมเนียม ที่ถูกรวบรัดให้กระชับขึ้นกว่าสมัยก่อน เจ้าสาวของงานสวมชุดไทยสีขาวปักดิ้นสีทองทั้งชุด ฝีมือสุดประณีตโดยช่างตัดเย็บชื่อดัง แม้จะมีเวลาเพียงแค่ไม่นาน แต่ชุดที่ได้จากห้องเสื้อก็สวยงามมาก จนได้รับความสนใจจากคนที่กำลังจะมีแพลนจัดงานวิวาห์พิธีสู่ขอดำเนินไปจนถึงพิธีสวมแหวน มินตรายื่นมือข้างซ้ายไปให้คนตัวโตจับ แหวนเพชรขนาดหลายกะรัตมีเพชรเล็กๆล้อมรอบตัวเรือน ถูกสวมเข้าไปในนิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าสาว หลังจากสวมเสร็จเธอก็ยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าบ่าว ด้วยกิริยานอบน้อม จากนั้นก็หยิบแหวนมาสวมให้เจ้าบ่าวบ้าง ซึ
“จะบ้าเหรอค่ะ เตรียมงานไม่ทันหรอก”“งั้นเธอก็ยอมพี่หน่อยสิ นะๆ เดี๋ยวจะรีบๆเสร็จให้” “ทำไมวนกลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว” “ก็กลิ่นเรามันหอมน่ากิน” กลิ่นตัวของเธอหอมจริงๆ ทั้งกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่เธอเลือกใช้ กลิ่นแชมพูจากเส้นผม กลิ่นสบู่ รวมทั้งกลิ่นกายเนื้อของเธอที่มันผสมกับครีมบำรุงผิว กลิ่นอ่อนๆพวกนั้น มันหอมติดจมูกทุกครั้งที่เอาตัวเข้าไปคลอเคลีย “ละ เลิกดมได้แล้วค่ะ ไม่ใช่หมาสักหน่อย แล้วมืออะ จะไต่ลงไปถึงไหนเนี่ย” มินตรารีบหยุดมือที่ไต่หายเข้าไปในกางเกงของตัวเองไว้เขามือไวมาก เผลอแป๊บเดียวเกือบจะสอดเข้าไปในกลีบเนื้อของเธอ อยากจะตีมือให้หัก ถ้าไม่ติดว่ามือนี้ใช้ช่วยชีวิตคนนะ เธอจะตีมันให้หักจริงๆ “นิดเดียวนะ” “ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวไม่ทัน” มินตราห่วงงานของเขา เวลาครึ่งชั่วโมงน้อยลงเรื่อยๆ ตอนนี้เหลือเวลาเพียงไม่กี่นาทีเอง ถ้าเขาได้ใส่มันเข้ามา บอกได้เลยว่าเวลาแค่นี้มันไม่พอ “เรานี่นะ ฝากไว้ก่อนเถอะ!” หมอคริสพูดจบก็ฝากฝังรอยฟันไว้ที่ลาดไหล่ขาวเนียน ไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่ตั้งใจให้มันมีร่องรอยฟันชัดเจน กดคนที่พยายามดิ้นหนีคมเขี้ยวไว้แน่น เพื่อให้เธอซึมซับความรู้สึกเ
สามเดือนต่อมา มินตราใช้ชีวิตในฐานะคนรักของศัลยแพทย์ชื่อดังมาร่วมหนึ่งเดือนแล้ว สถานะคนรักที่ถูกเปลี่ยนถ่ายมายังเธอตอนคาบเกี่ยว ไม่ได้ส่งผลเสียอย่างที่เคยคิดไว้ มันส่งผลในทางตรงข้ามกัน ทั้งยังช่วยหนุนบริษัทก่อสร้างที่กำลังซบเซาของครอบครัวเธอให้รุ่งเรืองขึ้น “วันนี้น้องมินไม่ไปหาคุณหมอเหรอคะ”มะนาวถามเจ้านายที่กำลังจะขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บริหารแทนพ่อ ด้วยการทำผลกำไรมากกว่าที่เคยทำมาให้แก่บริษัท คนถูกถามยุ่งมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเสียสละเวลาเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามของเลขาคู่ใจ “คุณหมอมีเคสผ่าตัดค่ะ เห็นว่ามีเคสยาวถึงวันพรุ่งนี้เลย”“อื้อหือ ขยันจนไม่อยากเชื่อว่านั่นคือเพื่อนของตัวเอง”“ฮ่าๆ นั่นนะสิคะ มินเองก็คิดแบบนั้น”“ถ้าคิดถึงจะแอบไปหาก็ได้นะคะ เดี๋ยวพี่เคลียร์ที่เหลือเอง”“อ่า ถ้าอย่างนั้นเคลียร์ตรงนี้เสร็จมินไปนะคะ”ไม่ได้เจอกันครบหนึ่งสัปดาห์พอดี มินตราคิดว่าแว๊บเข้าไปให้กำลังใจคนทำงานหนักบ้าง เขาจะได้ไม่งอแงตอนที่ว่างกับร่างกายเธอ คนที่เชียร์คู่นี้มาตลอดยิ้มอ่อน ดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นใบหน้าแบบนี้ของคนที่เธอรักเหมือนน้องสาว สี่ชั่วโมงต่อมา หลังจากตรวจอาการคนไข้ และส่







