"วันนี้อย่าโผล่ไปคอยรับแขกให้ฉันอายคนล่ะ" เข้ามาถึงศาลาคนหน้าบึ้งก็เดินมาขวางหน้าแล้วพูดอะไรก็ไม่รู้น่ารำคาญเป็นบ้า
"เมื่อวานเห็นไหมล่ะคะ เมื่อวันก่อนล่ะ วันก่อนหน้านั้นอีก ก็ไม่เห็นนี่คะ แล้ววันนี้จะเตือนทำไม" ยิ้ม~ คนประเภทนี้ต้องยิ้มใส่ค่ะ โดยเฉพาะคนที่ชอบพูดจาแย่ ๆ กับคนอื่น แค่ยิ้มกลับไปให้แบบไม่สะท้านเดี๋ยวก็อกแตกตายไปเอง
"อย่ายอกย้อน"
"ถามค่ะ แค่ถามเท่านั้น ขอตัวนะคะจะไปเตรียมปัจจัยไว้ถวายพระ" ฉันยิ้มสวยตบท้ายอีกสักครั้งแล้วก็เดินผ่านอเมริกันบอยคนนี้มาเลย ไม่อยากคุยด้วยหรอกงานศพคุณแม่ของเขาแท้ ๆ ท่านเป็นถึงเจ้าของสายการบินยักษ์ใหญ่มีแขกมาร่วมงานเยอะมากแต่ลูกชายท่านหัวทองปนขาวมางานเชียว
"อ้อ! ที่เมืองไทยมีครีมย้อมผมดำแบบสระขายนะคะ แค่แนะนำค่ะเผื่อไม่มีเวลาไปร้านทำผม"
"ข้าวแกง!"
หึ ๆๆ หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเถอะค่ะคุณแม็ค ส่วนข้าวแกงคนนี้สบายใจแล้ว ถึงช่วงเวลานี้จะเศร้าเพราะผู้มีพระคุณท่านจากไป แล้วคนที่ร้ายกาจที่สุดในชีวิตกลับมารังควาน แต่ฉันก็แค่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการพยายามเอาคำพูดกับการกระทำร้าย ๆ ของเขามาทำให้มันเป็นเรื่องตลก สร้างสีสันในชีวิตไปเพราะยังไงก็อยู่ให้เขาหาเรื่องอีกไม่นานหรอก
#KAOGANG END
#MAX TALK
"กูเสียใจด้วยนะไอ้แม็ค"
"อืมขอบใจมึงมาก"
"เดี๋ยวไอ้คริช ไอ้กราฟ ไอ้ฟรังซ์ตามมา ไอ้กันต์ด้วย" ไอ้พอร์ชเพื่อนสนิทของผมมันมาร่วมงานศพของคุณแม่ คืนนี้สวดคืนสุดท้ายแล้ว
"ไอ้กันต์?"
"เออ"
"มาทำไมวะ ไอ้กราฟจะไม่ต่อยไอ้กันต์ในงานแม่กูนะ" ไอ้สองคนนี้ไม่ถูกกัน แล้วผมเองก็เคยช่วยไอ้กราฟกระทืบไอ้กันต์จนกระดูกซี่โครงแทบหัก มันจะมางานศพแม่ผมทำไม
"เรื่องมันยาวเดี๋ยวค่อยเล่า แล้วนี่เมียมึงไปไหนทำไมมึงยืนรับแขกคนเดียว" หึ! เรื่องนี้มันก็นานมาแล้วเหมือนกันยังอุตส่าห์จำได้แล้วก็กล้าถามถึงอีก
"กูไม่มีเมีย มีแค่ผู้หญิงที่ซวยไปจดทะเบียนสมรสด้วย"
"เออ ๆ ข้าวแกงไปไหนล่ะ"
"คนก้นครัวก็ต้องอยู่ในครัวสิวะเอาออกมาข้างหน้าให้อายคนทำไม"
"ไอ้แม็ค มึงจะอะไรกับน้องเขานักหนา"
"แล้วพวกมึงเป็นเหี้ยอะไรต้องคอยปกป้องผู้หญิงคนนั้น มาฟังสวดก็เข้าไปนั่งรอพระไม่ต้องถามถึงคนอื่น"
"เฮ้อ! มึงแม่ง" ไอ้พอร์ชถอนหายใจเซ็ง ๆ ก่อนที่มันจะยืนอยู่ข้างผมไม่ยอมเข้าไป
"ไม่เข้าไป?"
"เออ ยืนเป็นเพื่อนมึงก่อน มึงรู้จักทุกคนรึไง หายหัวไปเกือบแปดปี หน้าญาติตัวเองมึงจำได้รึเปล่าเหอะ" ก็ดีเหมือนกันที่มันยืนเป็นเพื่อนเพราะผมก็จำใครแทบไม่ได้ ทั้งญาติทั้งแขกที่มาร่วมงาน
-21.30 น.-
"เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกกูรีบมา มึงโอเคนะ" หลังจากที่สวดพระอภิธรรมคืนสุดท้ายของแม่เสร็จเรียบร้อยไอ้พวกเพื่อนในกลุ่มของผมมันก็ยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนต่อ พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันหลายอย่าง มีอะไรหลายเรื่องที่ผมเพิ่งรู้ แต่ละเรื่องทำผมอึ้งไม่เป็นท่า แต่ก็อย่างว่าล่ะเกือบแปดปีที่ผมไปอยู่อเมริกามันก็คงมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมากมาย
"เออขอบใจพวกมึงมาก"
"แล้วข้าวแกงไปไหนวะ กูยังไม่ได้ทักเลยไม่เจอกันตั้งนาน " ไอ้คริชถามแล้วก็มองซ้ายมองขวา ไม่เข้าใจเลยว่าพวกมันจะอยากทักทายผู้หญิงคนนั้นกันทำไม
"กลับไปตั้งแต่พระสวดเสร็จแล้วมั้ง" ผมตอบแบบไม่ใส่ใจ แต่ในใจกำลังเริ่มมีอารมณ์ สำหรับผู้หญิงคนนั้นแค่ได้ยินชื่อก็ทำผมหงุดหงิดได้แล้ว
"เหรอ เออ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทัก มึงก็อย่าร้ายใส่น้องเขามากนัก เมียนะมึงไม่ใช่คนใช้"
"หึ! คนใช้ที่ทะเยอทะยานมาเป็นเมียกูต่างหาก"
"ทำหน้าโกรธอย่างกับน้องเขาข่มขืนจนมึงเสียความบริสุทธิ์ไปได้ไอ้แม็ค หรือใช่?"
"อย่ากวนตีนกูไอ้กราฟ พวกมึงกลับกันได้แล้ว ขอบใจมากที่มางาน" ผมตัดบทเพราะพวกมันชอบทำตัวเหมือนเป็นพี่ชายบังเกิดเกล้าของผู้หญิงคนนั้น คอยพูดจาปกป้องตลอด ผมรำคาญขี้เกียจพูดถึง
"เออ ๆ พรุ่งนี้เจอกัน อย่าโมโหร้ายให้มากล่ะ ทำใจให้สบายด้วยแม่ท่านไปสบายแล้ว" ไอ้ฟรังซ์ตบไหล่ให้กำลังใจผม คนอื่นก็เหมือนกันหลังจากนั้นพวกมันก็แยกย้ายกันกลับ
หลังจากที่เพื่อนกลับกันหมดแล้วผมก็เดินกลับเข้าไปในศาลาอีกครั้ง ตอนนี้ข้างในศาลาเปิดแค่ไฟสลัว ไม่มีใครอยู่ข้างในแล้วล่ะ มีแค่ใครคนหนึ่งที่...นอนหลับตามลำพังข้างในนั้น
ผมมาหยุดอยู่หน้าโลงศพที่ถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวสะอาดตาอย่างที่แม่ชอบ ดอกไม้เป็นพันเป็นหมื่นดอกถูกประดับตกแต่งจนสวยงาม แต่ต่อให้มันสวยเท่าไหร่หรือสวยกว่านี้สักล้านเท่าก็ไม่ได้ทำให้ผมมองแล้วรู้สึกดีเลยสักนิด ถ้าความสวยพวกนี้มันถูกจัดไว้พร้อมกับการที่ต้องมีใครสักคนจากไป
"เรา...ยังไม่ได้ลากันเลยนะครับแม่" ผมมองรูปผู้หญิงวัยกลางคนที่ยังดูสวยสง่าสลับกับมองโลงสี่เหลี่ยมตรงหน้า สิ่งที่ผมเจ็บที่สุดนอกจากการที่แม่จากผมไปก็คือการที่ผมไม่เคยรับรู้เลยว่าท่านป่วยหนัก ไม่เคยรู้มาก่อนไม่เคยมีใครบอกให้เตรียมใจ ผมใช้ชีวิตปกติมีความสุขเที่ยวเสเพลอยู่ทุกวัน คิดว่าแม่ก็คงทำงานแล้วก็สนุกกับการออกงานสมาคมของท่าน แต่แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีคนโทรมาบอกว่าคุณแม่เสียแล้ว
"ทำไมไม่บอกผมครับแม่ แม่ไม่คิดว่าผมจะอยากอยู่กับแม่ในวันสุดท้ายบ้างเหรอ" น้ำตาที่ไม่เคยให้ใครเห็นเลยสักหยดตั้งแต่รู้ข่าวว่าท่านเสียไหลออกมาช้า ๆ เจ็บว่ะ เจ็บที่เป็นลูกชายคนเดียวแต่รู้ว่าแม่ตัวเองเสียช้ากว่าคนอื่น วันที่มาถึงก็คือวันที่สวดศพคืนที่สามแล้วด้วยซ้ำ
"ผมคิดถึงแม่ ผมไม่ได้แม้แต่กอดแม่ครั้งสุดท้ายเลยนะครับ ทำไมถึงได้ใจร้ายกับผมขนาดนี้" ผมทรุดลงข้างหน้าโลงศพของท่าน ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร แค่จับมือท่านสักครั้งก่อนจากกันหรือรดน้ำศพท่านผมยังไม่มีโอกาสได้ทำเลย วันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีร่างของท่านอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไม่มีแม่ของผมอีกต่อไป คงมีแค่เถ้ากระดูกของท่านที่ให้มองเป็นภาพสุดท้าย
...พรุ่งนี้ผมจะทำใจได้ไหมถ้าต้องมีไฟมาเผาร่างของแม่ ผมจะทำใจได้ไหมถ้าร่างกายที่ผมเคยกอดเคยนอนหนุนตักมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายที่คอยปกป้องผมจากทุก ๆ อย่างต้องแหลกสลายไป ผมจะต้องทำใจด้วยวิธีไหนถึงจะทนให้เขาเอาไฟมาเผาแม่ผมได้
ตึก ตึก ตึก...
"ยังไม่กลับอีกเหรอคะ" ผมได้ยินเสียงคนเดินเข้าแล้วแล้วล่ะก็เลยรีบเช็ดน้ำตา นึกว่าสัปเหร่อหรือเด็กวัดซะอีก แต่ที่ไหนได้ หึ!
"ไม่เห็นเหรอวะว่ายังอยู่" ผมถามแต่ก็ไม่ได้หันไปมองหน้าเธอ ไม่อยากให้ใครเห็นสายตาที่มีแต่ความเจ็บปวดของผม โดยเฉพาะผู้หญิงคนนี้
"...เห็นค่ะ เพราะเห็นนี่ล่ะก็เลยถาม"
"ออกไปฉันจะอยู่กับแม่ฉัน" ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเข้ามาทำไมแล้วทำไมถึงยังไม่กลับ แต่เวลานี้ต่อให้ใครเข้ามาผมก็อยากไล่ออกไปทั้งนั้น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของท่านผมอยากอยู่กับท่านให้นานที่สุด
"ค่ะ ฉันแค่เข้ามาเอาของ ตามสบายนะคะ" เธอบอกผมแล้วก็เดินเลี่ยงไปหยิบของ ผมไม่ได้สนใจเธอแล้วเวลานี้ เพราะแม่คือคนที่ผมควรสนใจมากที่สุด
"คือ..."
"อะไร?" ผมหันไปถามเธอที่เดินมายืนอยู่ไม่ไกลด้วยความรำคาญ ยืนทำท่าทางอ้ำอึ้งอยู่ได้
"คุณ..."
"มีอะไรก็พูดมาอย่าให้ฉันรำคาญไปมากกว่านี้ได้ไหม!"
"...คุณแม็คโอเครึเปล่าคะ ให้ข้าวนั่งเป็นเพื่อนไหม"
-วันต่อมา-“พี่แม็คคะตื่นได้แล้วค่ะ”“พี่แม็คมันจะเย็นแล้วนะคะ” ฉันพยายามเขย่าตัวคนขี้เซาที่นอนหลับสนิทชนิดที่ว่าไม่แม้แต่จะขยับตัว เมื่อช่วงสายฉันตื่นขึ้นมาเห็นพี่แม็คนอนท่าไหนผ่านมาเกือบสี่ชั่วโมงเขาก็ยังคงนอนอยู่ท่าเดิม บอกตรง ๆ ว่าตอนแรกตอนฉันเดินเข้ามาเมื่อห้านาทีที่แล้วฉันขาสั่นมากเพราะคิดว่าพี่แม็คไหลตายไปแล้วสะอีกดีนะที่ยังหายใจ“พี่แม็ค~” ฉันลองเรียกอีกรอบเพราเวลานี้เกือบจะ 4 โมงเย็นแล้ว คงปล่อยให้นอนต่อไปไม่ได้แล้วล่ะเพราะเขานอนนานเกินไปแล้ว“อือ~ พี่ขอนอนก่อนครับ” เขางัวเงียขยับตัวดึงผ้าห่มปิดหน้าตัวเองแล้วตอบฉันเสียงอู้อี้ ทั้งที่ปกติพี่แม็คไม่เคยทำท่าทางแบบนี้ใส่ฉัน ไม่เคยเลยที่จะดึงผ้าห่มปิดหน้าหนี มีแต่เห็นฉันมาปลุกทีไรเขาจะต้องคว้าฉันเข้าไปซุกอกทุกครั้ง“พี่แม็คนอนนานเกินไปแล้วค่ะ ตื่นได้แล้ว” ฉันลองเขย่าตัวเขาอีกครั้งแต่เขากลับนิ่ง อย่าว่าข้าวแกงเซ้าซี้กวนสามีที่กำลังหลับสบายเลยนะคะแต่เหมือนลูกจะคิดถึงคุณพ่อ ไม่ได้ยินเสียงคุณพ่อแล้วรู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้“ฮ้าว~ พี่ได้นอนไปนิดเดียวเองที่รัก” พี่แม็คยอมดึงผ้าห่มออกแล้วบอกฉันทั้งที่ยังไม่ลืมตาฉันเลยเอามือไปลูบแก้มคนข
“อื้อ~ พี่แม็คข้าวไม่ไหวแล้วนะคะ” นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะคะฉันไม่ไหวแล้วพี่แม็คจับฉันทรมานนานเกินไป“พี่ไหวนี่คะ อีกรอบนะให้พี่มั่นใจก่อน” พี่แม็คจูบหน้าผากแล้วก็พลิกตัวให้ฉันนอนบนตัวเขาก่อนที่มือร้อoของเขาจะลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของฉัน“มั่นใจอะไรคะ”“มั่นใจว่าพ่อแม็คจะได้อุ้มเด็กแฝด” พี่แม็คตอบฉันแล้วยกสะโพกขึ้นช้า ๆ ส่วนมือก็เอามาจับก้นของฉันกดลงไปหาตัวเขา ทำให้ส่วนนั้นของเราสองคนที่มันประสานกันอยู่แล้วถูกกดลึกและเน้นย้ำจนรู้สึกจุกแน่นภายใน“อื้อ~ ข้าวท้องแล้วนะคะสองเดือนกว่าแล้วด้วยไม่ทันแล้วล่ะค่ะ” ฉันครางออกมาด้วยความเสียวทั้งที่พยายามกลั้นเอาไว้แล้วแท้ ๆ แต่ก็กลั้นไม่ไหวอยู่ดี“อื้ม~ เผื่อทันไงคะ ถ้าไม่ทันก็ซ้อมไว้ รอบหน้ามดลูกเข้าอู่ก็ปั้มลูกต่อได้เลย พี่จะได้รู้ว่าท่าที่ผ่าน ๆ มามันไม่เวิร์คไง”“ทะลึ่ง อ๊ะ!”“หึ ๆๆ ทะลึ่งตรงไหน เวลาจะเปลี่ยนท่าพี่ก็เคยกระซิบบอกที่รักบ่อย ๆ” พี่แม็คบอกด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีปนกับความแหบพร่านิดหน่อยก่อนที่เขาจะกดสะโพกของฉันให้คลึงท่อนเอ็นเขาเป็นวง“พี่แม็ค! ซี๊ด~ พอแล้วค่ะ” ฉันเริ่มเหนื่อยจนตาจะปิดแล้วถ้าพี่แม็คยังทรมานฉันอยู่แบบนี้ฉันได้สลบคาอกเขาแน่น
-หนึ่งอาทิตย์ต่อมา- หลังจากผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ และงานศพของพี่เชนก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้วฉันกับพี่แม็คก็เพิ่งจะได้ทิ้งตัวนอนแบบสบายก็วันนี้นี่ล่ะค่ะ ที่บอกว่าสบายเพราะรู้ว่าวันพรุ่งนี้ไม่มีอะไรให้ต้องทำไม่ต้องไปเจอตำรวจไม่ต้องไปจัดการงานศพ หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมามันเหนื่อยมากจริง ๆ“พรุ่งนี้ตื่นสายได้นะครับคุณแม่” พี่แม็คทิ้งตัวนอนลงที่เตียงแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกดี พี่เขาเหนื่อยล้ามาหลายวันแล้วค่ะ เหนื่อยกว่าทุกคนเลยด้วยซ้ำ“คุณพ่อก็ชอบเลยสิคะ” ฉันยืนอยู่ข้างเตียงพอพูดจบพี่แม็คก็คว้าข้อมือฉันแล้วดึงให้นั่งลงข้างเขา“ชอบค่ะเพราะว่าพี่เหนื่อยมาก อีกอย่างเมียพี่จะได้พักผ่อนด้วย” พี่แม็คยิ้มให้ เขายิ้มประจบดีเหลือเกินตั้งแต่มีลูกเนี่ย“โอเคค่ะถ้างั้นปิดไฟนอนได้แล้วค่ะคุณพ่อ” ฉันบอกพี่แม็คแล้วก็จะลุกขึ้นเพื่ออ้อมไปนอนฝั่งของฉันแต่พี่เขาดึงมือฉันเอาไว้จนไปไหนไม่ได้“รีบนอนทำไมที่รัก เดี๋ยวค่อยนอนก็ได้ครับพรุ่งนี้ว่าง” ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยค่ะ เหมือนภัยกำลังจะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดูได้จากสายตาของเขา ไหนจะคำพูดอีก“ไม่หื่นนะคะพี่แม็ค ห้ามหื่นเด็ดขาด” ฉันย่นจมูกแล้วก็ชี้นิ้วใส่เขาเพื่
ปัง!“เชน! / ไอ้เชน!”ฉันได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่นัดแรกคือนัดที่พี่เชนโดนยิงเข้าที่ข้อมือ พอมันดังขึ้นฉันก็เลยรีบกลับเข้าไปตรงจุดนั้นอีกครั้งเพราะความเป็นห่วงพี่แม็ค แต่เสียงตะโกนลั่นของหลายคนดังขึ้นจนฉันไม่รู้ว่าใครเป็นอะไรกันแน่“...กรี๊ด!” พอฉันเข้าไปถึงที่ตรงนั้นภาพตรงหน้าก็ทำฉันช็อกจนนิ่งก่อนที่จะกรี๊ดออกมาจนสุดเสียงเพราะพี่เชนนอนอยู่ที่พื้นพร้อมกองเลือดที่กระจายและบางส่วนที่เริ่มไหลนองพื้น มือพี่เขาถือปืนเอาไว้พร้อมกับสายตาที่เบิกโพลง!“ข้าวแกง!” พี่แม็ครีบวิ่งเข้ามาประคองฉันที่ทรุดลงไปที่พื้น ครั้งแรกกับการเห็นอะไรแบบนี้ต่อหน้าต่อตามันสยดสยองและที่มากไปกว่านั้นคนตรงหน้าคือคนที่ฉันรักเหมือนพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงวันนี้พี่เชนจะทำเรื่องแย่ ๆ กับฉันแต่ความผูกพันมันไม่ได้ลบออกกันได้ง่าย ๆ“พี่แม็ค...พี่เชน พี่เชนเป็นอะไรคะ” ฉันตัวสั่นถามพี่แม็ค สายตาก็ยังมองไปที่พี่เชนที่เลือดไหลออกมาจากปากและรอยแผลตรงใต้คางไม่หยุด มันทะลักออกมาเลยด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงจนถึงขั้นที่พี่แม็คพยายามพยุงให้ลุกขึ้นแต่ฉันก็ไม่สามารถขยับขาได้เลย“อย่ามองข้าวเดี๋ยวภาพติดตา พ
“มึงรู้ไหมกูโคตรเกลียดพวกมึงเลย ฆ่าคนตายแล้วยังมีที่ยืนในสังคม ทีแรกกูว่าว่ารอแก้แค้นมันตอนโตแต่พ่อมึงดันชิงตายก่อนแล้วบังเอิญกูยังไม่หายแค้นกูเลยมาลงที่มึงไง เผื่อวิญญาณพ่อมึงในนรกจะเห็นว่าลูกมันชีวิตพังเพราะลูกชายของคนที่มันฆ่า!”“ถ้ามึงไม่หยุดพูดถึงพ่อกูด้วยคำพูดเหี้ย ๆ กูจะยิงมึงเหมือนที่มึงกล่าวหาพ่อกู!”“ฮ่า ๆๆ จะยิงกูเหรอ? เอาเลย! เอาสิ! ถ้ามึงฆ่ากูไม่ตาย...กูจะเป็นฝ่ายฆ่าพวกมึงเอง ทั้งมึงแล้วก็เลือดชั่ว ๆ ของมึงในท้องข้าวแกง”...มันตะโกนท้าทายผม แล้วก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเพราะมันคว้าปืนที่ซ่อนไว้แต่ผมมองไม่เห็นออกมาแล้วเล็งไปทางข้าวแกงด้วยแววตาที่โกรธจัด!“อย่าหน้าตัวเมียทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้” ผมโกรธที่เห็นมันจ่อปืนไปทางข้าวแกง ลูกผู้ชายต่อให้ใกล้ตายก็ไม่ควรที่จะทำร้ายร่างกายผู้หญิง ยิ่งเอาปืนมาขู่แบบนี้มันโคตรบรรพบุรุษของสัตว์นรก“ฮ่า ๆๆ อะไรที่ทำแล้วกูทำลายพวกมึงได้กูทำได้ทุกอย่างว่ะ” ผมไม่ได้กลัวแต่ผมโกรธ โกรธที่มันกล้าทำให้เมียผมกลัว! หน้าตาข้าวแกงตอนนี้เธอแสดงออกมาชัดเจนว่าเธอกลัวแล้วก็กลัวมากจนตัวสั่น ไหนจะมือที่กอดหน้าท้องตัวเองแน่นนั่นอีก“แม้แต่ยิงข้าวแกงงั้นเ
(ฟังให้ดีนะข้าว ไม่ว่าข้าวจะพยายามพูดกับพี่ด้วยวิธีไหนก็ตาม พี่ไม่กลับไป พี่จะเดินหน้าต่อ และข้าวก็ต้องเดินไปกับพี่!)(ไม่ค่ะ พี่เชนทำแบบนี้ไม่ได้หรอก) ฉันส่ายหน้าปฏิเสธทันที(หึ! ทำไม่ได้เหรอ? โอเคที่รัก ถ้างั้นก็เลือกเอาว่าจะไปกับพี่หรือ...จะหอบร่างที่ไม่หายใจทั้งแม่ทั้งลูกกลับไปหามัน!)...ไอ้เหี้ยเชน!ผมโกรธจนตัวสั่น ทุกคำที่ข้าวแกงคุยกับมันผมได้ยินตั้งแต่ต้นมันทำให้ผมทนอยู่เฉยไม่ได้ ใจมันร้อนเป็นไฟอยากตรงเข้าไปยิงหัวมันแต่ตอนนี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง“ตามสัญญาณโทรศัพท์เมียกูให้เจอภายในห้านาที ถ้าทำไม่ได้กูจะจัดการพวกมึงทุกคน!” ผมหันไปสั่งลูกน้องเสียงดังลั่นห้อง แล้วก็พยายามฟังว่ามันคุยอะไรกับข้าวแกงอีก แต่ยิ่งฟังคำพูดเหี้ย ๆ ก็ยิ่งออกจากปากมัน“เจอแล้วครับนาย ไปทางนครปฐมครับ” ไม่ถึงสองนาทีคนของผมก็ตามสัญญาณเจอผมก็เลยพยักหน้าแล้วเดินนำลูกน้องออกมาจากห้องทำงานด้วยความรวดเร็ว พวกที่เหลือก็กรูตามผมออกมาจนพนักงานแล้วก็พวกผู้บริหารที่เจอระหว่างทางตกใจไปตาม ๆ กันผมมีลูกน้องที่จ้างมาคอยให้ช่วยงานเหี้ย ๆ เป็นทีมโดยที่ไม่เคยบอกใคร ผมเป็นผู้บริหารสายการบินที่เพิ่งเข้ามาทำงานจะให้ผมใช้