"...ขอจับมือเธอได้ไหมแค่แป๊บเดียว ตอนนี้ฉัน...ยืนคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ"
ฉันได้แต่ยืนให้เขาบีบมือเอาไว้ เขาก็ไม่มีน้ำตาสักหยดมีแค่ตาแดงก่ำกับร่างกายที่กำลังสั่นสะท้าน
"อยากไปนั่งพักไหมคะ"
"ไม่...ไม่เป็นไร ขอยืนอยู่กับแม่ตรงนี้ดีกว่า" เขาเลือกที่จะไม่ไปไหน ฉันเข้าใจดีถึงมันจะบีบหัวใจแค่ไหนที่ต้องรู้ว่าร่างกายของคนที่เรารักกำลังถูกแผดเผาอยู่ตรงหน้า แต่ถ้าเลือกได้ก็ยังอยากจะอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ อยากอยู่ใกล้ ๆ คนที่เรารักให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่า
"คุณข้าวคะ" เรายืนอยู่ตรงนี้มาเกือบจะยี่สิบนาทีแล้ว คนอื่นลงไปกันหมดมีแค่ฉันกับเขาเท่านั้น จนกระทั่งพี่ขวัญใจต้องเดินมากระซิบเรียกฉันเลยหันไปส่ายหน้าเบา ๆ แล้วส่งสัญญาณบอกให้พี่ขวัญใจลงไปก่อน
"เธอว่าท่านจะร้อนไหม" คำถามคงดูเหมือนเด็กอนุบาลแต่ก็ต้องทำความเข้าใจว่าถ้าเป็นร่างกายคนที่เรารัก เราจะรู้สึกสงสารที่ต้องโดนเผาเพราะฉันเองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างจากเขา
"ท่านไม่ต้องเจ็บปวดแล้วล่ะค่ะ คุณแม็คก็เหมือนกันหายเศร้าเร็ว ๆ นะคะ คุณป้าคงห่วงถ้าเห็นคุณแม็คเศร้าแบบนี้" ฉันพยายามยิ้มปลอบ ถึงจะรู้ว่าต่อให้ปลอบยังไงเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับคำพูดของฉันสักนิดเดียว
"ท่านป่วยนานแค่ไหน"
"ก็...โรคประจำตัวน่ะค่ะ แต่ท่านอายุมากแล้วก็เลยทรุดเร็ว" คุณป้ามีโรคประจำตัวรักษามานานแล้วเหมือนจะไม่เป็นอะไรมากแต่บทจะทรุดท่านก็ทรุดหนักแล้วก็จากไปเลย ทรุดไม่นานแต่ดูท่านทรมานมากเหมือนกัน แต่อย่าบอกเขามากกว่านี้เลยค่ะแค่นี้ก็เสียใจมากแล้ว
"อื้ม เธอลงไปก่อนได้เลย"
"ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวก็อยากยืนส่งคุณป้าให้นานที่สุดเหมือนกัน" หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ แค่ยืนมองไปที่ประตูสี่เหลี่ยมนั้นเงียบ ๆ ส่วนมือก็ยังโดนเขาบีบเอาไว้ไม่ปล่อย
-สองวันต่อมา-
"คุณข้าวคะวันนี้เปิดพินัยกรรมนะคะ"
"ค่ะพี่ขวัญใจ"
"แล้วจะไปตอนนี้เลยเหรอคะ"
"ก็ตั้งใจจะไปวันนี้นี่คะ ถึงวันนี้เปิดพินัยกรรมก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าวอยู่แล้ว" ฉันกำลังจะย้ายออกค่ะ เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ถึงอยู่บ้านหลังนี้มาเกือบจะทั้งชีวิตแต่ข้าวของที่ฉันเอาไปจริง ๆ ก็มีแค่เอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับตัวเองแล้วก็เสื้อผ้าของใช้ที่จำเป็นแค่นั้นแหละ กระเป๋าแค่สามสี่ใบ
"แต่คุณข้าวเป็นลูกสะใภ้ อย่าดื้อสิคะ อยู่ฟังก่อน"
"อยู่ฟังเดี๋ยวคุณแม็คก็หาเรื่องว่าข้าวอยากได้สมบัติหรอกค่ะ รีบไปแต่เช้านี่แหละ" หลังจากที่เผาศพคุณป้าเสร็จแล้วเมื่อวานก็ต้องเก็บกระดูกกับทำบุญฉันเลยยังไม่ได้ไป แต่วันนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ถึงเวลาสมควรแก่การไปสักทีก่อนที่พายุที่สงบได้วันกว่า ๆ จะถล่มอีกรอบ
"เฮ้อ!"
"ถอนหายใจทำไมคะ ข้าวทำอะไรผิดเหรอ" ฉันถามยิ้ม ๆ เพราะรู้ดีว่าที่ทำก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไรยังไงไปก็ดีกว่าอยู่
"คุณข้าวเหมือนจะเป็นน้ำนะคะ แต่ที่จริงไม่ใช่เลยเป็นน้ำมันต่างหาก ทำไมไม่เอาน้ำเย็นเข้าสู้คะ"
"พี่ขวัญใจขา ข้าวเป็นน้ำมานานแล้วค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นน้ำ แต่ระดับนั้นน่ะไม่ใช่ไฟธรรมดาแล้วนะคะ พายุเพลิงต่างหาก เอาน้ำที่มีอยู่น้อยนิดไปดับไม่ได้หรอก"
"แต่ช่วงนี้คุณแม็คก็ไม่ได้โมโหใส่คุณข้าวแล้วนี่คะ" พี่ขวัญใจก็พูดมาได้ แค่ไม่อาละวาดใส่ฉันเมื่อวานวันเดียวเอง
"แค่ยังไม่มีประเด็นมากกว่าค่ะ แต่ถ้าอยู่ฟังพินัยกรรมวันนี้มีประเด็นแน่นอน"
"พี่ไม่คุยกับคุณข้าวแล้ว" พี่ขวัญใจมองค้อนใส่ฉัน
"ฮ่า ๆๆ อย่างอนสิคะ แล้วเดี๋ยวข้าวจะหาเวลามาเยี่ยมบ่อย ๆ นะคะ"
"ค่ะ ๆ ต้องมาบ่อย ๆ นะคะ อยู่ด้วยกันมาตั้งกี่ปีบทจะไปก็ไปดื้อ ๆ คนอะไรสวยแต่ใจแข็งที่สุดเลย"
"ก็มันถึงเวลาแล้วนี่คะพี่ขวัญใจ ข้าวว่ายกกระเป๋าไปเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพี่เชนจะมาแล้ว อ้อข้าวขอไปลาป้าสุก่อนรบกวนพี่ขวัญใจด้วยนะคะเดี๋ยวข้าวตามพลอยใสมาช่วยยก" ฉันตัดบทเพราะเดี๋ยวมันจะสายไปมากกว่านี้ เกรงใจพี่เชนต้องมาช่วยขนของแต่ออกไปตอนเช้านี่แหละดีที่สุด จะได้เลี่ยงการปะทะ
"ค่ะ" พอพี่ขวัญใจพยักหน้ารับฉันก็เดินออกมาจากห้องทันที ห้องนอนที่ฉันนอนคนเดียวมาแปดปี ความรู้สึกผูกพันธ์มันก็มีอยู่มาก แต่ของที่ไม่ใช่ของเราสักวันเราก็ต้องปล่อยมันไป
"ตื่นแล้วเหรอ" ซวย เปิดประตูออกมาก็เจอคนที่ไม่อยากเจอ ถึงจะถามธรรมดาหน้านิ่ง ๆ ก็เถอะ
"ค่ะ"
"อืม ไปทานข้าวสิฉันกำลังจะไปพอดี" เขาพยักหน้ารับแล้วก็เดินผ่านหน้าฉันไปเลย ชวนฉันไปกินข้าวเช้าเหรอ?
#KWOGANG END
#MAX TALK
"พลอยใส"
"คะคุณแม็ค"
"ไปตามคุณข้าวมาทานข้าว บอกให้มาเร็ว ๆ ฉันรอนานแล้ว" ตอนออกจากห้องผมก็เรียกแล้วนะจะอิดออดเล่นตัวทำไมก็ไม่รู้ นี่ผมก็นั่งรอมาจะยี่สิบนาทีแล้ว
"คะ? ให้ไปตามคุณข้าวมาทานข้าวกับคุณแม็คเหรอคะ" แค่ให้ไปเรียกจะต้องทำหน้าตกใจอะไรขนาดนั้นวะ
"อืม เร็ว ๆ"
"เอ่อคือ วันนี้คุณข้าวคงจะไม่รับอาหารเช้าแล้วมั้งคะคุณแม็ค"
"ทำไม กินแล้วเหรอถ้ากินแล้วก็ไปเรียกมานั่งเป็นเพื่อนฉัน นั่งคนเดียวกินไม่ลง" โต๊ะอาหารยาวขนาดยี่สิบกว่าคนนั่ง แล้วต้องนั่งหัวโต๊ะกินข้าวคนเดียวมันทำให้ผมรู้สึกแย่เป็นบ้าเลย
"ยังค่ะ"
"ยังก็ไปเรียกมาสักที จะให้สั่งอีกกี่รอบ!" แค่บอกให้ไปเรียกมัวอ้ำอึ้งอยู่ได้ จากที่ผมไม่หงุดหงิดก็เลยมีอารมณ์ขึ้นมา
"คือ คุณข้าวกำลังขนของอยู่ค่ะ คุณเชนมารับแล้ว ขนเสร็จน่าจะออกไปเลยค่ะคุณแม็ค" ขนของเหรอ?
"ขนของอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับไอ้เชน"
"ก็คุณข้าวจะย้ายออกไปอยู่..." พลอยใสตอบช้า ๆ คงเพราะกลัวผม แต่ผมไม่สนใจฟังให้จบหรอก แค่นี้ก็จับใจความได้แล้ว
ผมเดินออกจากห้องอาหารมาที่ห้องโถงก็เจอผู้หญิงคนนั้นกับไอ้เชนเพื่อนข้างบ้านแล้วก็แม่บ้านช่วยกันยกของ ๆ เธอขึ้นรถไอ้เชน
"อ้าวไอ้แม็คตื่นเช้าเลยนะมึง" หึ! ยังมีหน้ามาทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผลัวะ!
"ว้าย! คุณเชน! / พี่เชน!"
ผลัก!
"นี่คุณทำบ้าอะไรมาต่อยพี่เชนทำไม!" ข้าวแกงเดินมาผลักอกผมที่กำลังจะซ้ำมันอีกรอบแล้วก็ตะคอกถามผมเสียงดัง กล้าถามแบบนี้ผมก็เลยยิ่งโมโห
"ต่อยทำไมเหรอ! ไม่ทำร้ายเธอด้วยก็บุญหัวแล้วข้าวแกง!" ผมจับข้อมือเธอขึ้นมาบีบเต็มแรงแล้วก็กระชากออกมาให้ไกลจากไอ้เชนที่โดนต่อยจนล้ม
"ทำบ้าอะไรของคุณ!"
"ฉันต้องถามเธอมากกว่าไหมว่าทำบ้าอะไร! เผาแม่ฉันเสร็จก็ออกลายเลยเหรอ! มันอดใจไม่ได้เหรอวะถึงต้องรีบหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับชู้!"
"ถ้างั้นก็ไปหย่าเลยสิคะ" ผมโคตรเกลียดที่เธอเชิดหน้าท้าทายผมตอนนี้เลย
"หึ! รอเวลานี้มานานรึยังข้าวแกง เวลาที่เธอจะได้สมบัติอย่างที่เธอต้องการ"
"อะไรของคุณ?"
"หึ ๆ ก็สินสมรสไง ที่เมื่อก่อนไม่ยอมหย่าเพราะสินสมรสมันน้อยใช่ไหม พอแม่ฉันตายมรดกทุกอย่างตกเป็นของฉันแล้วก็เลยพร้อมหย่าทันที ทำไม? จะเอาสมบัติฉันไปเสวยสุขกับใคร!" ผู้หญิงคนนี้แม่ง ต่อให้พยายามมองให้ดียังไงสุดท้ายเธอก็เผยธาตุแท้ออกมาทุกครั้ง!
"อย่ามาดูถูกกันนะคุณแม็ค สมบัติของคุณฉันไม่เคยต้องการ!"
"เหรอ ไม่ต้องการจริงเหรอข้าวแกง" ผมแค่นยิ้มเยาะใส่เธอ พูดมาแล้วใครจะเชื่อ ผู้ร้ายที่ไหนจะยอมรับสารภาพถ้าไม่จำนนต่อหลักฐานจริง ๆ
"คนอย่างคุณก็คิดได้แต่อะไรที่มันแย่ ๆ นั่นล่ะค่ะ"
"ผู้หญิงอย่างเธอมันก็คิดดีไม่ได้เหมือนกัน"
"พอแล้วไอ้แม็ค มึงดูถูกข้าวแกงเกินไปแล้ว" ไอ้เชนเดินมายืนข้างข้าวแกงแล้วก็จับมือผมเหมือนต้องการให้ผมปล่อยมือเธอ
"เรื่องของครอบครัวกูมึงอย่าเสือก!" ถ้าไม่เห็นว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กไอ้หน้าสำอางนี่โดนตีนผมไปแล้ว ไม่มีทางโดนแค่หมัดเดียวหรอก
"ปล่อยข้าวแกงซะไอ้แม็ค มึงอย่าทำร้ายผู้หญิง"
"หึ! ไปสุภาพบุรุษที่อื่นไป ส่วนเธอมานี่!" ผมลากข้าวแกงไปทางบันไดท่ามกลางเสียงร้องตกใจของแม่บ้าน
"ไอ้แม็คมึงจะพาข้าวแกงไปไหน!"
"นี่มันบ้านกู! คนในบ้านกู! คนนอกอย่างมึงมีสิทธิ์อะไรมาถามวะ! ขวัญใจถ้ามีคนนอกคนไหนเดินเข้ามาเกินห้องโถงแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกซะ!" ผมสั่งแม่บ้านเสียงดังลั่นบ้านแล้วก็กระชากผู้หญิงแพศยาขึ้นบันไดทันที
"นี่! ปล่อยนะคะคุณแม็ค!"
"หุบปาก! ถ้าไม่อยากโดนดีก็เดินตามฉันมา!" ได้ผลเพราะเธอยอมเงียบ ไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าโดนดีคืออะไร เอาเป็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่อยากโดนแน่นอน หรืออยากโดนแต่แค่ต้องไม่ใช่ผมที่ทำ
ตุบ!
ปัง!
"อยู่ในนี้แล้วห้ามไปไหน" ผมเหวี่ยงเธอไปที่เตียงใหญ่ในห้องนอนของผมเอง
"คุณบังคับฉันไม่ได้นะคะ"
"บังคับไม่ได้ก็ลองดูสิ ลองขัดคำสั่งสิข้าวแกง เธอก็รู้ถ้าฉันสุดมันจะเป็นยังไง!"
"คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้" เธอพูดเสียงนิ่ง คงพยายามข่มเสียงไม่ให้ตะคอกตอบโต้ผม
"เหรอ? ฉันทำได้หรือไม่ได้อยากพิสูจน์เลยไหมล่ะ ยิ่งอารมณ์แบบนี้จะเอาเลยก็ได้นะข้าวแกง เธอรู้ดีกว่าใคร...ว่ามันเจ็บแค่ไหน"
-วันต่อมา-“พี่แม็คคะตื่นได้แล้วค่ะ”“พี่แม็คมันจะเย็นแล้วนะคะ” ฉันพยายามเขย่าตัวคนขี้เซาที่นอนหลับสนิทชนิดที่ว่าไม่แม้แต่จะขยับตัว เมื่อช่วงสายฉันตื่นขึ้นมาเห็นพี่แม็คนอนท่าไหนผ่านมาเกือบสี่ชั่วโมงเขาก็ยังคงนอนอยู่ท่าเดิม บอกตรง ๆ ว่าตอนแรกตอนฉันเดินเข้ามาเมื่อห้านาทีที่แล้วฉันขาสั่นมากเพราะคิดว่าพี่แม็คไหลตายไปแล้วสะอีกดีนะที่ยังหายใจ“พี่แม็ค~” ฉันลองเรียกอีกรอบเพราเวลานี้เกือบจะ 4 โมงเย็นแล้ว คงปล่อยให้นอนต่อไปไม่ได้แล้วล่ะเพราะเขานอนนานเกินไปแล้ว“อือ~ พี่ขอนอนก่อนครับ” เขางัวเงียขยับตัวดึงผ้าห่มปิดหน้าตัวเองแล้วตอบฉันเสียงอู้อี้ ทั้งที่ปกติพี่แม็คไม่เคยทำท่าทางแบบนี้ใส่ฉัน ไม่เคยเลยที่จะดึงผ้าห่มปิดหน้าหนี มีแต่เห็นฉันมาปลุกทีไรเขาจะต้องคว้าฉันเข้าไปซุกอกทุกครั้ง“พี่แม็คนอนนานเกินไปแล้วค่ะ ตื่นได้แล้ว” ฉันลองเขย่าตัวเขาอีกครั้งแต่เขากลับนิ่ง อย่าว่าข้าวแกงเซ้าซี้กวนสามีที่กำลังหลับสบายเลยนะคะแต่เหมือนลูกจะคิดถึงคุณพ่อ ไม่ได้ยินเสียงคุณพ่อแล้วรู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้“ฮ้าว~ พี่ได้นอนไปนิดเดียวเองที่รัก” พี่แม็คยอมดึงผ้าห่มออกแล้วบอกฉันทั้งที่ยังไม่ลืมตาฉันเลยเอามือไปลูบแก้มคนข
“อื้อ~ พี่แม็คข้าวไม่ไหวแล้วนะคะ” นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะคะฉันไม่ไหวแล้วพี่แม็คจับฉันทรมานนานเกินไป“พี่ไหวนี่คะ อีกรอบนะให้พี่มั่นใจก่อน” พี่แม็คจูบหน้าผากแล้วก็พลิกตัวให้ฉันนอนบนตัวเขาก่อนที่มือร้อoของเขาจะลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของฉัน“มั่นใจอะไรคะ”“มั่นใจว่าพ่อแม็คจะได้อุ้มเด็กแฝด” พี่แม็คตอบฉันแล้วยกสะโพกขึ้นช้า ๆ ส่วนมือก็เอามาจับก้นของฉันกดลงไปหาตัวเขา ทำให้ส่วนนั้นของเราสองคนที่มันประสานกันอยู่แล้วถูกกดลึกและเน้นย้ำจนรู้สึกจุกแน่นภายใน“อื้อ~ ข้าวท้องแล้วนะคะสองเดือนกว่าแล้วด้วยไม่ทันแล้วล่ะค่ะ” ฉันครางออกมาด้วยความเสียวทั้งที่พยายามกลั้นเอาไว้แล้วแท้ ๆ แต่ก็กลั้นไม่ไหวอยู่ดี“อื้ม~ เผื่อทันไงคะ ถ้าไม่ทันก็ซ้อมไว้ รอบหน้ามดลูกเข้าอู่ก็ปั้มลูกต่อได้เลย พี่จะได้รู้ว่าท่าที่ผ่าน ๆ มามันไม่เวิร์คไง”“ทะลึ่ง อ๊ะ!”“หึ ๆๆ ทะลึ่งตรงไหน เวลาจะเปลี่ยนท่าพี่ก็เคยกระซิบบอกที่รักบ่อย ๆ” พี่แม็คบอกด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีปนกับความแหบพร่านิดหน่อยก่อนที่เขาจะกดสะโพกของฉันให้คลึงท่อนเอ็นเขาเป็นวง“พี่แม็ค! ซี๊ด~ พอแล้วค่ะ” ฉันเริ่มเหนื่อยจนตาจะปิดแล้วถ้าพี่แม็คยังทรมานฉันอยู่แบบนี้ฉันได้สลบคาอกเขาแน่น
-หนึ่งอาทิตย์ต่อมา- หลังจากผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ และงานศพของพี่เชนก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้วฉันกับพี่แม็คก็เพิ่งจะได้ทิ้งตัวนอนแบบสบายก็วันนี้นี่ล่ะค่ะ ที่บอกว่าสบายเพราะรู้ว่าวันพรุ่งนี้ไม่มีอะไรให้ต้องทำไม่ต้องไปเจอตำรวจไม่ต้องไปจัดการงานศพ หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมามันเหนื่อยมากจริง ๆ“พรุ่งนี้ตื่นสายได้นะครับคุณแม่” พี่แม็คทิ้งตัวนอนลงที่เตียงแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกดี พี่เขาเหนื่อยล้ามาหลายวันแล้วค่ะ เหนื่อยกว่าทุกคนเลยด้วยซ้ำ“คุณพ่อก็ชอบเลยสิคะ” ฉันยืนอยู่ข้างเตียงพอพูดจบพี่แม็คก็คว้าข้อมือฉันแล้วดึงให้นั่งลงข้างเขา“ชอบค่ะเพราะว่าพี่เหนื่อยมาก อีกอย่างเมียพี่จะได้พักผ่อนด้วย” พี่แม็คยิ้มให้ เขายิ้มประจบดีเหลือเกินตั้งแต่มีลูกเนี่ย“โอเคค่ะถ้างั้นปิดไฟนอนได้แล้วค่ะคุณพ่อ” ฉันบอกพี่แม็คแล้วก็จะลุกขึ้นเพื่ออ้อมไปนอนฝั่งของฉันแต่พี่เขาดึงมือฉันเอาไว้จนไปไหนไม่ได้“รีบนอนทำไมที่รัก เดี๋ยวค่อยนอนก็ได้ครับพรุ่งนี้ว่าง” ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยค่ะ เหมือนภัยกำลังจะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดูได้จากสายตาของเขา ไหนจะคำพูดอีก“ไม่หื่นนะคะพี่แม็ค ห้ามหื่นเด็ดขาด” ฉันย่นจมูกแล้วก็ชี้นิ้วใส่เขาเพื่
ปัง!“เชน! / ไอ้เชน!”ฉันได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่นัดแรกคือนัดที่พี่เชนโดนยิงเข้าที่ข้อมือ พอมันดังขึ้นฉันก็เลยรีบกลับเข้าไปตรงจุดนั้นอีกครั้งเพราะความเป็นห่วงพี่แม็ค แต่เสียงตะโกนลั่นของหลายคนดังขึ้นจนฉันไม่รู้ว่าใครเป็นอะไรกันแน่“...กรี๊ด!” พอฉันเข้าไปถึงที่ตรงนั้นภาพตรงหน้าก็ทำฉันช็อกจนนิ่งก่อนที่จะกรี๊ดออกมาจนสุดเสียงเพราะพี่เชนนอนอยู่ที่พื้นพร้อมกองเลือดที่กระจายและบางส่วนที่เริ่มไหลนองพื้น มือพี่เขาถือปืนเอาไว้พร้อมกับสายตาที่เบิกโพลง!“ข้าวแกง!” พี่แม็ครีบวิ่งเข้ามาประคองฉันที่ทรุดลงไปที่พื้น ครั้งแรกกับการเห็นอะไรแบบนี้ต่อหน้าต่อตามันสยดสยองและที่มากไปกว่านั้นคนตรงหน้าคือคนที่ฉันรักเหมือนพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงวันนี้พี่เชนจะทำเรื่องแย่ ๆ กับฉันแต่ความผูกพันมันไม่ได้ลบออกกันได้ง่าย ๆ“พี่แม็ค...พี่เชน พี่เชนเป็นอะไรคะ” ฉันตัวสั่นถามพี่แม็ค สายตาก็ยังมองไปที่พี่เชนที่เลือดไหลออกมาจากปากและรอยแผลตรงใต้คางไม่หยุด มันทะลักออกมาเลยด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงจนถึงขั้นที่พี่แม็คพยายามพยุงให้ลุกขึ้นแต่ฉันก็ไม่สามารถขยับขาได้เลย“อย่ามองข้าวเดี๋ยวภาพติดตา พ
“มึงรู้ไหมกูโคตรเกลียดพวกมึงเลย ฆ่าคนตายแล้วยังมีที่ยืนในสังคม ทีแรกกูว่าว่ารอแก้แค้นมันตอนโตแต่พ่อมึงดันชิงตายก่อนแล้วบังเอิญกูยังไม่หายแค้นกูเลยมาลงที่มึงไง เผื่อวิญญาณพ่อมึงในนรกจะเห็นว่าลูกมันชีวิตพังเพราะลูกชายของคนที่มันฆ่า!”“ถ้ามึงไม่หยุดพูดถึงพ่อกูด้วยคำพูดเหี้ย ๆ กูจะยิงมึงเหมือนที่มึงกล่าวหาพ่อกู!”“ฮ่า ๆๆ จะยิงกูเหรอ? เอาเลย! เอาสิ! ถ้ามึงฆ่ากูไม่ตาย...กูจะเป็นฝ่ายฆ่าพวกมึงเอง ทั้งมึงแล้วก็เลือดชั่ว ๆ ของมึงในท้องข้าวแกง”...มันตะโกนท้าทายผม แล้วก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเพราะมันคว้าปืนที่ซ่อนไว้แต่ผมมองไม่เห็นออกมาแล้วเล็งไปทางข้าวแกงด้วยแววตาที่โกรธจัด!“อย่าหน้าตัวเมียทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้” ผมโกรธที่เห็นมันจ่อปืนไปทางข้าวแกง ลูกผู้ชายต่อให้ใกล้ตายก็ไม่ควรที่จะทำร้ายร่างกายผู้หญิง ยิ่งเอาปืนมาขู่แบบนี้มันโคตรบรรพบุรุษของสัตว์นรก“ฮ่า ๆๆ อะไรที่ทำแล้วกูทำลายพวกมึงได้กูทำได้ทุกอย่างว่ะ” ผมไม่ได้กลัวแต่ผมโกรธ โกรธที่มันกล้าทำให้เมียผมกลัว! หน้าตาข้าวแกงตอนนี้เธอแสดงออกมาชัดเจนว่าเธอกลัวแล้วก็กลัวมากจนตัวสั่น ไหนจะมือที่กอดหน้าท้องตัวเองแน่นนั่นอีก“แม้แต่ยิงข้าวแกงงั้นเ
(ฟังให้ดีนะข้าว ไม่ว่าข้าวจะพยายามพูดกับพี่ด้วยวิธีไหนก็ตาม พี่ไม่กลับไป พี่จะเดินหน้าต่อ และข้าวก็ต้องเดินไปกับพี่!)(ไม่ค่ะ พี่เชนทำแบบนี้ไม่ได้หรอก) ฉันส่ายหน้าปฏิเสธทันที(หึ! ทำไม่ได้เหรอ? โอเคที่รัก ถ้างั้นก็เลือกเอาว่าจะไปกับพี่หรือ...จะหอบร่างที่ไม่หายใจทั้งแม่ทั้งลูกกลับไปหามัน!)...ไอ้เหี้ยเชน!ผมโกรธจนตัวสั่น ทุกคำที่ข้าวแกงคุยกับมันผมได้ยินตั้งแต่ต้นมันทำให้ผมทนอยู่เฉยไม่ได้ ใจมันร้อนเป็นไฟอยากตรงเข้าไปยิงหัวมันแต่ตอนนี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง“ตามสัญญาณโทรศัพท์เมียกูให้เจอภายในห้านาที ถ้าทำไม่ได้กูจะจัดการพวกมึงทุกคน!” ผมหันไปสั่งลูกน้องเสียงดังลั่นห้อง แล้วก็พยายามฟังว่ามันคุยอะไรกับข้าวแกงอีก แต่ยิ่งฟังคำพูดเหี้ย ๆ ก็ยิ่งออกจากปากมัน“เจอแล้วครับนาย ไปทางนครปฐมครับ” ไม่ถึงสองนาทีคนของผมก็ตามสัญญาณเจอผมก็เลยพยักหน้าแล้วเดินนำลูกน้องออกมาจากห้องทำงานด้วยความรวดเร็ว พวกที่เหลือก็กรูตามผมออกมาจนพนักงานแล้วก็พวกผู้บริหารที่เจอระหว่างทางตกใจไปตาม ๆ กันผมมีลูกน้องที่จ้างมาคอยให้ช่วยงานเหี้ย ๆ เป็นทีมโดยที่ไม่เคยบอกใคร ผมเป็นผู้บริหารสายการบินที่เพิ่งเข้ามาทำงานจะให้ผมใช้