กรี๊ดดดดดดดดดด
ฉันนั่งตัวเกร็งอยู่บนเบาะ มือบีบสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น กรีดร้องอย่างหวาดกลัวตั้งแต่นาทีแรกที่ริกกี้เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างบ้าดีเดือด คิดจะฆ่าตัวตายหรือไงเนี่ย
“โค้งๆ กรี๊ดดดด”
ฉันแหกปากลั่น ริกกี้เหยียบทะลุโค้งแบบท้ายรถเฉียดกับขอบกั้นเหวนิดเดียว หัวใจฉันเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก หันกลับไปมองจุดหวิดตายอย่างใจหายใจคว่ำ ให้ตายเถอะ เมื่อกี้มันบ้าบิ่นชะมัด ยังไม่ทันหายตกใจกับโค้งแรก รถก็วูบเอียงไปอีกด้าน ฉันหันกลับมาอย่างอกสั่นขวัญแขวนตอนนั้นรถก็ปาดเข้าโค้งอีกฝั่งด้วยความเร็วที่ไม่ลดลง
ไอ้บ้าริกกี้ไม่แตะเบรกด้วยซ้ำ สับเท้าเหยียบคันเร่งพึบพับอย่างกับพวกนักแข่งมืออาชีพที่เคยเห็นในหนัง สีหน้าเรียบนิ่ง แววตาที่จ้องมองไปด้านหน้าถึงจะดูเครียดนิดๆ แต่ไม่มีวี่แววหวั่นเกรงสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย
“กรี๊ด!”
ฉันกรีดร้องออกมาแทบจะต่อเนื่อง ถนนบนเขาคดโค้งและซิกแซกเหมือนงูขดบวกกับความเร็วกระชากวิญญาณของรถที่ริกกี้เป็นคนขับ ฉันแทบสลบกลางอากาศหลายรอบ หวาดเสียวยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะตีลังกาอีก เมื่อไหร่เรื่องบ้าบอคอแตกนี่มันจะจบลงสักที
เอี๊ยด!!
ชั่วขณะที่ฉันภาวนาให้เรื่องนรกแตกนี่หายไปทันใดนั้นรถก็หยุดกระชาก ฉันลนลานปลดสายเบลท์ งัดประตูรถที่เหมือนจะแน่นผิดปกติออกอย่างรีบร้อน พรวดพราดวิ่งออกจากรถ แต่ไม่รู้ว่าจะมีคนเดินเข้ามาล้อมรถริกกี้เยอะขนาดนี้ ฉันไม่มีเวลามองหน้าใครด้วยซ้ำ วิ่งผ่านคนพวกนั้นออกมาก่อนทนไม่ไหว พุ่งอาหารที่ทานเข้าไปออกมาจนหมด
อ้วกกกกกกก
“โอ๊ะโอ.... ระวังหน่อยสิสาวน้อย”
ตอนที่ฉันคิดว่าไม่ไหวแล้วและกำลังจะหงายหลังล้มตึงมือใครบางคนก็จับเข้าที่ต้นแขนทั้งสองข้างประคองฉันเอาไว้ ฉันหันขวับไปมองอย่างแตกตื่น ก่อนสบสายตาเข้ากับเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสุกใส ทำไฮท์ไลท์ผมด้านหน้าเป็นสีแดง ดูท่าทางไม่ธรรมดาเลยสักนิด ฉันผงะอย่างตกใจ รีบขยับตัวออกห่างเขาทันที
“มะไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“จะไปไหน!”
ฉันเพิ่งเห็นริกกี้เดินดุ่มๆ แหวกผู้คนที่มาชื่นชมการอัดรถของเขาเข้ามากระชากข้อมือฉันที่กำลังจะเดินหนีเอาไว้ ทุกสายตามองตามริกกี้อย่างสนใจ แต่ริกกี้เหมือนจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำถึงรู้เขาก็ไม่ใส่ใจ
“ริกกี้....” ฉันมองหน้าเขาอย่างไม่ไหวจริงๆ ข้อมือที่โดนยึดเอาไว้ก็ไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนเหมือนทุกที แค่ยืนนิ่งๆ หน้าก็ซีดเนื้อตัวอ่อนเปลี้ยไปหมด อย่าให้ฉันต้องนั่งรถกับเขาอีกเลย แค่คิดก็เหมือนความดันจะขึ้นแล้ว
“แล้วเฮียมาทำอะไรที่นี่” ริกกี้หันไปสนใจผู้ชายที่อยู่กับฉันก่อนหน้านี้ คนรู้จักงั้นเหรอ?
“ก็ เห็นน้องกำลังแย่เลยช่วยดู ว่าแต่เด็กนี่ใคร... นายไม่ชอบให้มีคนนั่งคู่ไปด้วยก็เลยสงสัยนิดหน่อยน่ะ”
ผู้ชายคนนั้นส่งสายตากวนๆ ให้ริกกี้ก่อนหันกลับมาสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาสีฟ้าคมดุดันคู่นั้นทำเอาฉันหวาดเสียวอย่างบอกไม่ถูก
“ยัยนี่มีเรื่องกับผมนิดหน่อย เฮียไม่ต้องห่วง ถ้ามันเป็นภัยผมจะเชือดทิ้งทันที”
“เห้ยอย่าพูดจาโหดร้ายขนาดนั้นดิวะ เด็กกลัวหมดแล้ว”
ฉันก้มหน้านิ่ง พอได้ยินริกกี้พูดแบบนั้นอารมณ์ที่หดหู่อยู่แล้วก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงไปอีก เหมือนฉันเป็นสัตว์หรือตัวอะไรสักอย่างที่ไม่สลักสำคัญ ไม่มีค่าพอให้เสียดาย แต่ฉันไม่เคยอ้อนวอนเขาให้พามาที่นี่ ลืมไปแล้วเหรอริกกี้ว่านายเป็นคนตามฉันมาเอง ฉันจ้องหน้าหล่อร้ายของหมอนั่นอย่างขุ่นเคือง
“เฮ้ยริกกี้ ดูนี่หน่อย...”
ผู้ชายที่เคยล้อเลียนฉันกับริกกี้เดินเข้ามาพร้อมกับแท็บเล็ตในมือ เรียกความสนใจของริกกี้ไปจากฉันทันที
“มีไรแฮค”
“ความเร็วที่แกใช้มันถือว่าดี แต่แค่นี้เอาชนะคู่แข่งไม่ได้ว่ะ....”
ริกกี้หันไปคุยกับเพื่อน ฉันรีบฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังยุ่งเดินหนีออกมาทันที รู้สึกคอแห้งด้วย อยากหาน้ำดื่มแต่ก็นึกได้ว่าไม่ได้พกเงินมาสักบาท
“ไปนั่งเล่นที่เต็นท์ดีกว่าปะ”
ระหว่างที่ฉันกำลังเดินตุปัดตุเป๋ไม่รู้จะไปทางไหนดี ท่อนแขนก็ถูกคว้าไปจับจากด้านหลัง ฉันหันขวับไปมองอย่างตกใจ