LOGINอุตส่าห์จะมาหาวันไนท์แบบที่ห่างไกลเกือบพันกิโลเพื่อจะได้ไม่ต้องวนกลับมาเจอกัน เรื่องดีๆ คือ…ไม่มีความสัมพันธ์แบบนั้นเกิดขึ้น ส่วนความเฮงซวย ก็…ไอ้ที่ต้องมาโดยสารบนเครื่องบินลำเดียวกัน จุดหมายก็คงไม่ต่าง แถมยังเป็นคนเดียวกับที่บิดเงินเดิมพันฉันด้วย
หรือเพราะช่วงนี้ดวงฉันตกวะ เจ้ากรรมนายเวรก็เลยจับพิกัดได้
รู้นะว่าโลกกลม…แต่บางทีก็ไม่ควรแคบขนาดนี้รึเปล่า?
ฉันเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าผาก ขณะสมองอันน้อยนิดกำลังประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น
สองสัปดาห์ก่อน…
ซึ่งมันเป็นค่ำคืนที่ฉัน อีมิ และพี่พลอยใสเดินทางไปยังสนามแข่งรถที่พี่ชายอีมิแนะนำมา พวกเราไปถึงขอบสนามในตอนที่รถทั้งสองคันถูกปล่อยออกจากจุดสตาร์ทพอดี
“มึงว่าคันไหน” ฉันเริ่มทำลายความเงียบหลังจากนั้นประมาณสามนาที
“คันขาว” เพื่อนสาวผู้คลั่งไคล้ในการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและไม่มีความลังเลเลยสักนิด ทั้งที่คันนั้นอยู่รั้งท้าย
“ใช่เหรอวะ” ฉันยกมือขึ้นกอดอก พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย หวังจะยั่วโมโหน้องสาวเจ้าของสนามแข่งเล่นๆ
“พนันกับกูไหมล่ะ” ความฆ่าได้หยาบไม่ได้นั้น ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนอะ…คิดดูเหอะ
“พี่ลงกับมิเชลด้วยนะ” แถมรุ่นพี่คนสวยก็ยังเอากับมันด้วย
“โหพี่ ใครจะเสี่ยงเสียเงินฟรี”
“หึ…”
พวกเราทั้งสามคนเอียงคอมองไปยังต้นเสียงหัวเราะในลำคอที่ดังขึ้นหลังจากประโยคของฉันจบลง ซึ่งเป็นจังเดียวกับที่ผู้ชายข้างๆ ยกขวดเครื่องดื่มสีเขียวมรกตในมือขึ้นกรอกลงคอ ก่อนจะหันมากระตุกยิ้มร้าย
ระหว่างที่ฉันกำลังงงกับการทำที่โคตรเสียมารยาทของคนแปลกหน้า อีกฝ่ายก็ยังเลื่อนสายตามองพวกเราทีละคนตามลำดับ ไล่จากพี่พลอยใสยืนหลังสุด มาคนกลางคืออีมิและจบที่ฉันซึ่งอยู่ประจันหน้า
“อะไรที่ทำให้เธอมั่นใจว่าจะเสียเงินฟรี?” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยประโยคแรกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ลึกๆ ยังมีความเย้ยหยันแฝงอยู่ในนั้นหลายส่วน
“เพราะสัญชาตญาณของเพื่อนฉันมันไม่เคยพลาด…ค่ะ!” ฉันจงใจกระแทกหางเสียงที่ควรจะมีเพื่อเป็นมารยาททางสังคมใส่ผู้ชายตรงหน้า เพราะเหมือนเขาจะเข้าไม่ถึง พลางก้าวเข้าใกล้คู่สนทนามากขึ้น แต่ยังถูกรั้งไว้โดยเพื่อนรักที่ยื่นอยู่ข้างหลัง ก่อนฉันจะปัดมือมันออก
“แต่คันที่เพื่อนเธอบอก รั้งหลังอยู่ห่างมากเลยนะ” คนตัวสูงโน้มตัวลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกับฉัน ขณะแย้งตามภาพที่ปรากฏอยู่ในสนาม
“ก็ต้องรอดูนะคะ” แต่เมื่อความมั่นใจฉันมีเยอะกว่า การท้าเดิมพันจึงเกิดขึ้น
“งั้นเรามาพนันกันไหม”
“เอาสิคะ!” และฉันคือทิชานันท์ไง…ผู้ที่พร้อมรับทุกคำท้าทาย
“อีที”
ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามหยุดกะทันหันจากแรงฉุดรั้งของเพื่อนสนิทอีกครั้ง ก่อนฉันจะหันไปตบไหล่มันเบาๆ “กูเชื่อใจมึงเพื่อน”
“สองหมื่น” พอคนท้าเริ่มลงจำนวนเงิน ฉันก็เกทับทันควัน
“สี่…”
“ตกลง” เจ้าของใบหน้าคมเข้มยื่นมือข้างหนึ่งออกมา หวังจะทำสนธิสัญญาระหว่างการเดิมพันครั้งนี้ ส่งผลให้ฉันหลุบมองเล็กน้อย แล้วเผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมยื่นมือข้างเดียวกันในระดับใกล้เคียง
แต่จังหวะที่กำลังจะแตะสัมผัสกัน ฉันดึงมือขึ้นมาเกลี่ยปอยผมทัดหูซะก่อน
“โทษนะ ฉันไม่จับมือกับคนแปลกหน้า”
แค่นี้ก็รู้แล้วนะ…ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
ดูเหมือนการกระทำและคำพูดของฉันจะมีผลต่ออารมณ์ของอีกฝ่ายพอสมควรเลย ดวงตาคู่คมจ้องหน้าฉันอย่างเอาเรื่องพลางขบกรามแน่น ฝ่ามือที่แบก็เปลี่ยนเป็นกำเศษหน้าละเอียดยิบของตัวเองไว้ ก่อนเขาจะดึงมันไปเก็บในกระเป๋ากางเกงยีนเพื่อป้องกันการกระจัดกระจายบนพื้น ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่ริมฝีปากหยักขยับแขวะกันเบาๆ
“แต่กล้าลงพนันกับคนแปลกหน้าสินะ…เหอะ”
ฉันไหวไหล่ขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วสะบัดหน้ากลับไปจดจ่อในสนาม ที่ตอนนี้กำลังดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ถึงภายนอกจะดูชิล แต่ข้างในนี่แบบ…ใจแทบจะหลุดออกมาเต้นอยู่บนพื้นให้ได้เลย
เหลืออีกแค่สองรอบเอง แต่ทำไมคันขาวยังรั้งท้ายอยู่นะ! บ้าเอ๊ย!
แต่ในไม่กี่นาทีสุดท้าย…
ปึง!! เอี๊ยดดดดด…
เสียงเบรกลากยาวดังลั่นสนาม
“เห่ย!! / เชี่ย!” คู่เดิมอุทานเสียงหลง ซึ่งมันพร้อมๆ กับฉันและอีกหลายคนในสนาม
“เวรแล้วไง” นี่เป็นเสียงของพี่พลอย ส่วนอีมิถึงกับตกหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ นั่นไม่ใช่เพราะฝั่งเราแพ้พนัน
เราชนะ…และควรจะดีใจที่ได้เงินสี่หมื่นมาฟรีๆ แต่การชนะครั้งนี้มันไม่โปร่งใส รถคันสีดำของอีกฝ่ายเกิดแอ๊กซิเด็นท์กลางคัน จากที่แล่นนำมาด้วยความเร็วก็ต้องชะลอลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้คู่แข่งแซงเข้าเส้นชัยได้ในนาทีสุดท้าย
ไม่ได้บอกว่าฉันเก่งขนาดที่จะมองเรื่องพวกนี้ออก แต่มันชัดเจนแบบที่เด็กประถมยังรู้ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกภูมิใจเท่าไหร่กับการชนะแบบนี้
“แม่งเอ๊ย!!” เสียงสบถดังลั่นจากคนที่แพ้พนัน ก่อนเขาจะหันไปหาผู้ชายอีกสามสี่คนแถวๆ นั่น และตามมาด้วยบทสนทนาของพวกเขา “ไอ้พวกแม่ง เล่นไม่ซื่ออีกแล้ว เอาไงดีวะ”
อันนี้ไม่ได้เสียมารยาทแอบฟังนะ…เขาคุยกันเสียงดังเอง มาถึงตรงนี้ถึงได้รู้ว่าเขาคงรู้จักกับคนที่ขับรถสีดำนั่น เพราะแบบนี้ถึงได้มั่นใจสินะ!
“มึงคิดว่าคนอย่างกูจะปล่อยมันไปเป็นครั้งที่สอง?” จบคำกล่าว คนแพ้ก็ทำท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้ โดยไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย
ฉันถือวิสาสะเอื้อมรั้งแขนหนุ่มปริศนาให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน “จะไปไหนอะ จ่ายเงินก่อนสิ”
“เธอเป็นพวกเดียวกับไอ้พวกเวรนั่นสินะ ถึงได้มั่นใจนักว่าจะชนะ”
“เดี๋ยวนะ แพ้แล้วอย่าพาลดิ” จะด้วยวิธีไหน แพ้…ก็ต้องจ่ายเปล่าวะ
“ไม่ได้พาล แต่พวกเธอโกง” เจ้าของใบหน้าหงุดหงิดแย้งเสียงแข็ง
“ฉันไม่รู้จักกับพวกนั้นนะ อย่ามาเนียน” ฉันเถียงด้วยโทนเสียงไม่ต่าง
“ถ้าไม่เกี่ยวก็รีบพากัน…ออกไป!” เขากดเสียงต่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตะคอกใส่หน้าในวลีสุดท้าย ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งตัว ทำฉันถึงกับสะดุ้งโหย่งเลย นั่นจึงเป็นตอนที่คนตัวโตสะบัดแขนออกจากการจับกุม แล้วหมุนตัวเดินกระแทกเท้าทิ้งระยะห่างไปเรื่อยๆ
ซึ่งฉันก็ไม่่ได้ยอมหรอกนะ แต่ติดที่ถูกห้ามไว้โดยสองสาวซะก่อน
“อะไรวะ พนันชนะแต่ไม่ได้เงินเฉยเลย”
“ผมมีข้อเสนอ” สุดท้ายแล้วการเอาตัวรอดที่ถูกสั่งสอนมาก็ถูกงัดออกมาใช้กับอาจารย์ผู้สอนจนได้[ข้อเสนออะไร]“ผมจะล้มธารธาราให้ป๊า แลกกับอิสรภาพทั้งหมด ป๊ากับม้าจะไม่มีสิทธิ์บังคับอะไรผมทั้งนั้น” แน่นอนว่าผลประโยชน์สำหรับผมก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญสุดและผมไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นคนดี…[แกคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลย?]“ป๊าพูดมาก่อน ว่าตกลงไหม” เมื่อก่อนน่ะอาจจะใช่…มันไม่ง่าย แต่พอจับทางได้ เรื่องใหญ่เท่าภูเขาก็กลายเป็นเศษฝุ่นไปในพริบตา ยิ่งตอนนี้ผมมีหมากเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ต้องออกแรง มันง่ายซะยิ่งกว่าง่าย…[ได้ แต่ฉันมีเวลาให้แกแค่เดือนเดียวนะ]“ฮะ!...มันน้อยไปไหมป๊า” จากท่านั่งที่แสนสบายในตอนแรก บัดนี้แผ่นหลังตั้งตรงเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดขึ้นมาทันที ถึงจะมั่นใจแค่ไหนว่ามันต้องสำเร็จแน่ๆ แต่เวลาแค่นั้นมันน้อยเกินไป…[อิสรภาพของแก ม้าแกกำลังหาคนมาทำลายให้อยู่เลย]“ป๊าพูดเรื่องอะไร” คิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย บวกกับอาการหวิวในใจแปลกๆ สิ่งเดียวที่ม้า
[บทบรรยาย : เหนือเมฆ]ช่วงสายวันจันทร์….@เมฆากรุ๊ปก๊อก!…ก๊อก!ประตูห้องทำงานถูกผลักเข้ามาหลังเสียงเคาะตามมารยาทจบลง ขณะที่ผมยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับรายละเอียดแพ็กเกจสินค้าใหม่ที่เมฆากรุ๊ปกำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้“นี่ค่ะ ข้อมูลที่คุณเหนือต้องการ” ซองเอกสารสีน้ำตาลวางลงบนโต๊ะงานพร้อมกับน้ำเสียงสุภาพของหญิงสาวที่ควบทั้งตำแหน่งเลขาส่วนตัวและผู้ช่วยมากประสบการณ์ ต้องยอมรับนะว่าถ้าไม่ได้คุณรี การทำงานของผมคงดิ่งกว่านี้มาก“ขอบคุณครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมองในตอนที่คุณรีถอยไปยืนห่างจากโต๊ะพอสมควร ก่อนคว้าเอาซองนั่นมาเปิดดู และเอาทุกอย่างออกมากองบนโต๊ะ ทั้งเอกสารที่แสดงถึงข้อมูลส่วนตัวและรูปถ่ายหลายใบทิชานันท์…“ธารศิริกุล…?” คราวนี้ผมเลิกคิ้วขึ้นมองผู้หญิงตรงหน้าเล็กน้อย เมื่อรู้สึกคุ้นนามสกุลยัยเด็กแสบนั่น“ค่ะ เธอคือลูกสาวคนเดียวของคุณธารา”“...” คำตอบของคุณรีทำผมหลุดยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจและลากสายตากลับมาโฟกัส
“ใคร…” คนถูกถามหันมาสบตากัน“ก็คนที่ใส่เกาะอกสีโอลด์โรสนั่นไง”“แล้วจะอยากรู้ไปทำไม” เขาตอบกลับมาด้วยคำถาม ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่มือประคองพวงมาลัยถูกสับเปลี่ยน ข้อศอกขวายกค้ำกับประตูรถแทน แล้วใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยไปมาบริเวณข้างขมับตัวเองซ้ำๆ“งั้นพี่ไม่อยากรู้บ้างเหรอ ว่าพวกนั้นมันเป็นใคร แล้วทำไมถึงมารุมตีฉัน” มันเป็นเหมือนข้อแลกเปลี่ยน ถ้าสมมุติว่าเขาอยากรู้ ฉันก็จะบอก…เพื่อจะได้รู้ข้อมูลของเขาบ้างหากแต่…“ไม่ ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน”หน้าฉันชาวาบ “โห พูดขนาดนี้ ด่า ‘เสือก’ มาเลยเหอะ”ร้ายกาจ…ร้ายแบบขั้นสุด บทสนทนาของเราก็เลยจบลงตรงนี้ ถึงจะอยากรู้มากแค่ไหนก็เหอะ แต่ใครจะกล้าถามต่อ“ก็ไม่เลวนะ” ประโยคที่ไร้ซึ่งการเกริ่นนำและความหมายดังขึ้นหลังจากเราปล่อยให้ความเงียบปกคลุมภายในรถเกือบนาที“...?” และฉันแค่ปรายตามองต้นเสียงด้วยความสงสัย“ผู้หญิงคนนั้นน่ะ ชื่ออะไรนะ แพรไห
หลังจากเขาลากฉันเดินออกมาจนถึงด้านรีเซฟชั่น…คนตัวสูงชะลอฝีเท้าลงจนนิ่งสนิทแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากัน ดวงตาคบกริบไล่มองเรือนร่างฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า เกิดเสียงถอนหายใจแรงและตามมาด้วยประโยคหนึ่ง“ตัวเท่าลูกหมา ทำซ่าส์”“เพราะพวกมันหมาหมู่ต่างหาก ไม่เกี่ยวกับที่ฉันตัวเล็กกว่าซะหน่อย” ฉันรีบแย้งเสียงแข็ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลดระดับลงเล็กน้อย ด้วยเพราะขยับปากมากแล้วมันเกิดความรู้สึกจี๊ดๆ ส่งผลให้คนฟังถึงกลับหลุดหัวเราะหึหึในคอ“...!” พี่เหนือเขยิบเข้าใกล้ขึ้นอีกคืบ หมายถึงใกล้แบบปลายเท้าต่อกัน สัญชาตญาณมันร้องบอกให้ฉันก้าวถอยเพื่อรักษาระยะห่าง หากแต่ความเย็นจากปลายนิ้วสัมผัสบริเวณปลายค้างในวินาทีเดียวกันนั้นทำฉันลืมสิ่งที่จำเป็นต้องทำไปซะสนิทจากนั่นใบหน้าฉันก็ถูกบังคับให้เชิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เบี่ยงซ้ายทีขวาทีตามลำดับ ขณะใช้สายตาไล่สำรวจตามจุดที่น่าจะมีร่องรอยบอบช้ำไปด้วยอย่างข้างแก้ม…มุมปาก…กลีบปาก…ปิดท้ายด้วยการลากขึ้นมาสบตานิ่ง…จ
หมับมันต้องโดนอีกแน่ ถ้าอีสองตัวไม่พุ่งมาล็อกตัวฉันซะก่อน เอาจริงๆ ฉันถึงว่าตัวเล็กกว่าพวกมันมาก แค่เรื่องความสูงพวกมันก็กินขาดแล้ว มิหนำซ้ำยังมีการรุมเกิดขึ้นอีก ยิ่งไปกว่านั้นคือไอ้ผู้ชายคนเดียวในที่นี้มันถอยหลังไปยืนพิงผนังดูหน้าตาเฉย ก็รู้นะว่าเลว…แต่ไม่ได้คิดว่าจะถึงขั้นนี้ไง เรียกว่าผู้ชายยังกระดากปาก แม่งเสียเวลาชีวิตช่วงที่คบกับมันฉิบหายตอนนั้นวิญญาณอะไรมันบังตาไว้วะ!?อีไอด้าตรงเข้าหาฉันพร้อมแสยะยิ้มชั่วร้าย“มึงเก่งเหรอ”“ก็เก่งไหมล่ะ สามต่อหนึ่ง”เพียะ!หน้าฉันหันไปตามแรงตบทันทีที่พูดจบ ก่อนหัวหน้าแก๊งผีจะเอื้อมมือมาบีบข้างแก้มฉัน บังคับให้หันไปสบตา“มึงคิดว่าจะมีใครมาช่วยมึง ในโรงแรมพ่อกูเหรอ”“กูก็ไม่ได้ร้องขอให้ใครมาช่วย” คำขู่แบบนั้นใช้ไม่ได้ผลกับคนอย่าง ทิชานันท์ หรอกนะจะบอกให้ ถึงมือฉันจะไม่สามารถใช้ได้ในตอนนี้ แต่เท้ายังไม่ได้ถูกควบคุม ฉันยกมันขึ้นและออกแรงยันอีคนที่อยู่ตรงหน้าเต็มแรงปึก!“โอ๊ย!...” ซึ่งมันถอยไปได้เพียงไ
หนึ่งเดือนต่อมา…@โรงแรม Pฉันยกแชมเปญชั้นเลิศขึ้นจิบขณะจ้องมองคู่บ่าวสาวบนเวที ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าเพื่อนรักอย่าง อีมิ จะมีรอยยิ้มสดใสขนาดนี้ สดใสชนิดที่ว่า…นำพาคนรอบข้างหลุดเข้าไปอยู่ในโลกเทพนิยายที่อบอวลไปด้วยดอกไม้นานาชนิด เช่นเดียวกับธีมงานในวันนี้องค์ประกอบโดยรวมทุกสิ่งอย่างมันทำให้ฉันและแขกเหลือในงานต่างพากันยิ้มตามไม่หยุด ยกเว้นก็แต่…“มึงว่ามันท้องรึเปล่าวะ”“นั้นสิ! รีบแต่งอะไรขนาดนั้น…”นั่นคือเสียงจากเหล่าสัมภเวสี…ซึ่งนำทีมโดยคู่อริคนชั่วคนเดิมของฉันแก้วเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะเครื่องดื่มหลังจากสัมผัสถึงความร้อนวาบไหลผ่านลงคอในคราวเดียว ร่างกายหมุนกลับหลังเพื่อตรงไปยังประตูทางออกห้องจัดเลี้ยง แต่ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะแวะทักทายไอ้พวกผีเจาะปากมาพูดนั่นด้วย“เพื่อนกูมันยังไม่ได้ท้องหรอก มันแค่สวยน่ะ!” ฉันปรายตามองพวกมันพร้อมรอยยิ้มเหยียด ก่อนจะก้าวเดินต่อต้องโตมาแบบไหนวะ…ถึงไม่เคยรู้สึกยินดีกับใคร ขยะสังคมฉิบ!หม







