แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้
ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข
ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย
‘ใครวิ่งตามมาวะ?’
ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป
ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา
‘นก’
เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง
‘คน’
ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป
‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’
เงาตะคุ่มสูงทะมึนโผล่ขึ้นต่อหน้าท่ามกลางหมอกหนา มิวหรี่ตาให้ลีบเล็กเพื่อเฝ้าดูอากัปกิริยาของบางสิ่งที่ตามรังควานเขามาหลายคืน
ขาทั้งสองตั้งยืนหยัดอย่างเข้มแข็งอยู่บนพื้น ครั้งนี้มิวจะไม่วิ่งหนีอีกต่อไป ไม่ว่าตัวอะไรซ่อนอยู่ในนั้น เขารู้แล้วว่าการหนีไม่ใช่ทางออกสู่สันติ
“ไอ้ตัวสมองกลวง ไม่มีปัญญาสร้างสรรค์อะไรแปลกใหม่แล้วเหรอ ทุกอย่างเหมือนเดิมแบบนี้โคตรน่าเบื่อเลยว่ะ ไอ้กาก!”
ความกักขฬะถูกปลดเปลื้องออกจากกมลสันดาน ตามปกติเด็กหนุ่มไม่ใช่คนหยาบโลนหรือสุภาพ เขาก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปบนโลก ทว่าอาชีพการงานกดทับให้เขาต้องเป็นคนพูดจาหวานหอมน่าฟัง
แต่ตอนนี้มิวรู้สึกหงุดหงิดที่โดนก่อกวน แล้วอีกอย่างนี่คือในฝันของตัวเอง เขาจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็ได้
“โผล่หัวออกมาดิ เจอหน้าจะต่อยแม่งให้ยับ!”
เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังรอบทิศทาง มิวไม่สามารถจับได้ว่าต้นตอมาจากไหนหรือเจ้าสิ่งนั้นรู้สึกอย่างไร ทุกอย่างคลุมเครือปั่นประสาท
หมอกขาวโอบล้อมพื้นที่ของเด็กหนุ่มเอาไว้ ครั้งนี้เขาไม่แสดงออกถึงความกลัว คิ้วดกหนาขมวดอย่างตั้งมั่น สองขาแยกออกตั้งท่าสำหรับอะไรก็ตามที่อยากเข้ามา
“ฉันรู้หรอกน่าว่านี่แค่ความฝัน… ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใครแล้วทำได้ยังไง แต่ฉันไม่ใช่เหยื่อของแกอีกต่อไป!”
“กลิ่นของนายเหมือนลูกพีชต้องห้ามในสวนบาบิโลน”
“ช่างหัวแกสิ! จะบาบิโลน บาบิก้อนอะไรก็เรื่องของแก” มิวตะโกนท้าทาย “เลิกทำอะไรซ้ำซากเดาทางง่ายสักทีสิโว้ย!”
“หน็อย!”
อีกฝ่ายคำรามก่อนกัดฟันเสียงดังสะท้อนไปทั่ว แม้ไม่เห็นหน้าก็รู้ได้เลยว่าเจ้าสิ่งนั้นน่าจะกำลังหงุดหงิดไม่ใช่น้อย
ชั่วครู่สายลมเย็นเฉียบพุ่งมายังด้านหลัง พร้อมร่างใหญ่ที่จะหมายยึดร่างของมิวเอาไว้ในอ้อมอก ทว่าเด็กหนุ่มเอี้ยวตัวหลบไปได้อย่างหวุดหวิด
“ไอ้กระจอก! แกจะต้องสำนึกที่ทำให้ฉันโมโห ไอ้เวรตะ-!!!”
ร่างเดิมทะยานพุ่งมาด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม เล่นเอาความสะใจชั่วครู่ของมิวดับวูบไป
เด็กหนุ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เจ้าสิ่งนั้นกอดเขาไว้แน่นจนแก้มเนียนใสแนบชิดติดกับหน้าอกหนาแกร่ง
สิ่งที่ทำให้มิวตกใจไม่ใช่พละกำลังที่มหาศาลหรือปีกค้างคาวยักษ์ที่กระพืออยู่ด้านหลัง แต่เป็นเสียงหัวใจที่แนบกับหู มันชัดเจนจนเสัมผัสถึงชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ภายในทรวงอกเปลือยเปล่าของเจ้าตัวโตนี้ได้
“ปล่อยนะโว้ย” มิวตีอกชกลม พยายามแข็งขืน
คำสบประมาทที่พ่นออกไปก่อนหน้านี้ค้ำคอเด็กหนุ่มไว้ไม่ยอมเสียหน้า เขาจะพลาดท่าแล้วปล่อยให้ไอ้พี่เบิ้มนี้เยาะเย้ยไม่ได้เป็นอันขาด
“อยู่เฉยๆเถอะน่า เผลอตกลงไปเจ็บตัวไม่รู้ด้วย”
“ยังไงฉันก็ต้องตื่นอยู่ดี”
“เชื่อฉันเถอะ! ความฝันนี้มันไม่เหมือนความฝันอื่นๆที่นายเคยเจอ มันจะส่งผลโดยตรงต่อกายหยาบของนาย”
“ไร้สาระ ความฝันก็คือความฝัน!” มิวโหวกเหวกโวยวายพลางคว้าหมับเข้ากับส่วนหนึ่งของปีกด้านหลัง เขาไม่ลังเลที่จะหักมัน
“อ้ากกกกกก!!!”
เสียงร้องดังสนั่นกึกก้องไปทั่วม่านหมอก มือหนาแกร่งที่โอบล็อกร่างของเด็กหนุ่มคลายออก ร่างใหญ่โตมีเขาสีดำทมิฬหมุนเคว้งด้วยความเจ็บปวด
อิสระของมิวในตอนนี้ไม่ใช่การโบยบินแต่เป็นการร่วงหล่น ตัวของเขาลอยละล่องอยู่กลางอากาศ ทิศทางเดียวที่นำพาเขาไปคือเบื้องล่าง
ม่านหมอกเริ่มแหวกทางให้ร่างของเด็กหนุ่มแทรกผ่าน สายลมเย็นยะเยือกตีปะทะใบหน้ากัดกินผิวหนังจนแสบร้อน มิวไม่ได้รู้สึกทุกข์กับเหตุการณ์ตรงหน้า เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเมื่อสัมผัสกับพื้นข้างล่างนั่น เขาก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าเจ้าของฝันก็ไม่อาจรู้ดีไปกว่าคนสร้างฝัน เจ้าปีศาจตัวโตรู้ดีว่าจะเกิดขึ้นอะไรหากชายหนุ่มแลนด์ดิ้งสู่พื้นถนน และจะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด
ร่างใหญ่ยักษ์บินเถลาลงมาด้วยปีกที่บาดเจ็บข้างหนึ่ง
ปีกที่หักงอนั้นทำให้การควบคุมทิศทางเป็นไปได้ยาก มันเลือกซ่อนปีกที่เกะกะนั้นกลับเข้าไปใต้ผิวหนังและพุ่งความสนใจไปยังร่างเล็กๆตรงหน้า
‘ไม่ว่าอย่างไรต้องคว้าไว้ให้ได้’
ความตั้งใจแน่วแน่ของปีศาจใกล้สำเร็จเมื่อร่างตรงหน้าใหญ่ขึ้นตามระยะที่กระชั้น ในขณะเดียวกันพื้นเบื้องล่างก็เริ่มเป็นเส้นทางชัดเจนเช่นเดียวกัน
“ไอ้บ้าเอ๊ย! อยากนอนเป็นเจ้าชายนิทราหรือไง”
ปีศาจร้องตะโกนอย่างหงุดหงิด ทว่ามิวที่ได้ยินก็ไม่ใส่ใจ เขาเอาแต่ยิ้มร่าเมื่อจินตนาการว่าข้างหน้าเป็นเตียงนอนแสนนุ่มของตัวเอง
ในอีกไม่กี่เมตรก่อนที่ใบหน้าของมิวจะกระแทกเข้ากับพื้นแข็งกระด้าง ในที่สุด… แขนอันหนาแกร่งสีเข้มก็คว้าเด็กหนุ่มเข้ามากอดจนสำเร็จ
ร่างของทั้งคู่พันธการจนแน่นอีกครั้ง ปีศาจพลิกตัวของมิวให้อยู่เหนือกว่า
เพียงการกระดิกนิ้วในวินาทีสุดท้ายก่อนกระทบกับพื้นคอนกรีต ด้านหลังก็กลายเป็นเตียงหนานุ่มผุดขึ้นมารองรับด้วยการสรรค์สร้างจากเวทมนตร์
แผ่นหลังหนากว้างของปีศาจจมลงไปบนเบาะก่อนจะกระเด้งขึ้นมาอยู่หลายครั้ง ตามมาด้วยเสียงโครมครามสนั่นหวั่นไหว
“โอ๊ยยยยยย!” ปีศาจร่างใหญ่ร้องลั่นเมื่อความเจ็บปวดร้าวไปไปถึงสมอง
อาการบาดเจ็บทำให้ท่อนแขนอ่อนแรงมากพอที่จะทำให้มิวดิ้นหลุด เด็กหนุ่มหนุ่มผุดตัวขึ้นนั่งพร้อมกันกับสิ่งอมนุษย์ตรงหน้า
“นี่ฉันตื่นแล้วหรือยัง?” มิวหยิกต้นแขนของตัวเองจนแดง ความเจ็บดิ้นพล่านไปตามต้นแขน“โอ๊ย!!!”
“นายยังไม่ตื่น” ปีศาจร่างใหญ่ประคองร่างให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความเหน็ดเหนื่อย “แล้วนี่ก็ไม่ใช่ความฝันธรรมดา ฉันบอกนายไปหลายครั้งแล้ว”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไม่รู้ว่าควรตกใจหรือสงสัยอะไรดี
ในช่วงขณะมึนงงอยู่นั้นมิวก็นึกขึ้นได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญซึ่งหน้ากับเจ้าตัวปัญหา เจ้านั่นดูเหมือนคนและไม่เหมือนคนไปพร้อมกัน
ใบหน้าคมเข้มสันกรามคมกริบภายใต้เรือนผมสีดำเข้ม เข้ากันได้ดีกับสันจมูกสูงโด่ง ปลายเชิดเล็กน้อยตอบรับกระจับปากได้อย่างสมส่วน
ที่ไม่เหมือนคนคงเพราะเขาโค้งงอกลางศีรษะ กับนัยน์ตาที่ทอประกายสีทอง แต่โดยรวมแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน
กลิ่นหอมอ่อนเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่เพียงกระตุ้นจังหวะหัวใจของมิวให้เร็วขึ้น ทว่าบางอย่างภายใต้ชุดกีฬาบางเบาก็เริ่มรู้สึกรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด