นอกเหนือจากดินแดนเนรมิตแล้ว ดันเต้ยังมีสถานที่ใช้สำหรับพักอีกที่ มันตั้งอยู่ในโลกแห่งความจริง แฝงอยู่กับหมู่ตึกมากมายทั่วไป
สิ่งปลูกสร้างสูงราวหกสิบชั้นตั้งตระหง่านเด่นอยู่เกือบใจกลางเมือง หากมองด้วยผิวเผินโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากโรงแรมหรูทั่วไปในมหานคร ทว่าความลับในนั้นทำให้มันพิเศษกว่าที่อื่น
จำนวนหนึ่งเป็นที่หลบซ่อนของเหล่าอมนุษย์ ผสมปนเปไปอย่างแนบเนียนกับมนุษย์ทั่วไป พวกเขาอาศัยอยู่กันชั่วคราวร่วมกันโดยภายใต้การควบคุมเข้มงวด และกฎหมายพิเศษที่ไม่มีประเทศไหนประกาศใช้กับพลเรือนของตน
แน่นอนว่าเพื่อการเท่าเทียมกันการใช้เวทมนตร์หรือทำร้ายกันภายในพื้นที่พิเศษนี้เป็นข้อห้ามสำคัญ หากเป็นมนุษย์จะถูกดำเนินตามกฎหมาย นอกเหนือจากนั้นจะต้องรับโทษตามสังกัดของตัวเอง
พื้นที่ที่มีการแหกกฎบ่อยคงเป็นบาร์ของโรงแรม….
ห้องที่โอ่อ่ากว้างขวางกินพื้นที่เกือบทั้งชั้นของโรงแรม รองรับผู้คนและกิจกรรมได้มากมาย เพดานสูงโปร่งดูหรูหราด้วยโคมระย้าทำจากคริสตัล ทุกเม็ดหยอกเย้ากับแสงไฟจนเกิดเป็นประกายหลากสี มองดูแล้วเหมือนบอลรูมของเหล่าเชื้อพระวงศ์
พื้นไม้ปาร์เกต์อย่างดีเสริมทั้งความมั่นคงและหรูหราไปพร้อมกัน ภาพวาดถูกตกแต่งไว้ตามผนังห้อง ยากที่จะดูออกว่าเป็นของที่มาจากยุคกลางจริงๆ หรือเป็นเพียงของเลียนแบบ
แอลกอฮอล์ถูกเสิร์ฟไม่เคยขาดตลอดทั้งวันทั้งคืน การเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงทำให้ห้องโถงแห่งนี้ไม่เคยเงียบเหงา กลิ่นหอมจากผู้คนและแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งตีกันจนเป็นความยุ่งเหยิง
เสียงพูดคุยคลอเคลียด้วยการแสดงดนตรีสด นักร้องขับขานบทเพลงคลาสสิคขับกล่อมจิตวิญญาณหลงทางให้หวนคืนถิ่น นิ้วทั้งสิบไล่ดีดเปียโนราวกับกำลังเต้นบัลเลต์โดยไร้ผู้ชม
ข้อดีอย่างหนึ่งของปีศาจอย่างดันเต้ นอกจากจะมีชีวิตยืนยาวจนเกือบเป็นอมตะ การหลับนอนหรือเข้าห้องน้ำยังเป็นสิ่งไม่จำเป็นอีกด้วย แต่ข้อเสียก็คือเขาแทบจะขาดแรงกระตุ้นต่อสิ่งอื่นนอกจากความหิวกระหาย การมีชีวิตอยู่ไปวันๆจึงเป็นคำที่เหมาะกับปีศาจคิวบัสอย่างดันเต้ที่สุด
แขนคู่ใหญ่วางพาดอย่างอวดเบ่งอยู่บนเคาน์เตอร์ของบาร์ ปีศาจหันหลังให้แก่บาร์เทนเดอร์สาวที่ยืนชงเหล้า เฝ้ามองผู้คนใช้ชีวิตด้วยสีสันหลากหลาย
ความกลมกลืนเป็นข้อพึงปฏิบัติสำคัญสำหรับเหล่าอมนุษย์หากต้องการเข้ามาใช้บริการที่นี่ ดันเต้สวมเชิ้ตแขนยาวตัวโคร่ง กระดุมถูกปลดออกจนเกือบถึงสะดือเพื่ออวดแผงอกทรงเสน่ห์อันน่าภาคภูมิใจ ชายเสื้อด้านหน้าสอดไว้ในกางเกงยีนขาสั้น ส่วนด้านหลังปล่อยห้อยระลงมาเพื่อไม่ให้ดูเรียบร้อยเกินไป
เท้าคู่ใหญ่สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวเสริมให้เขาดูเป็นคนธรรมดามากกว่าใครในห้องนี้ หูข้างขวาสวมตุ้มหูวงเล็กจากทองคำขาวเรียบง่ายไร้ลวดลาย
ขณะกำลังจับจ้องไปยังผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตของตัวเอง สีหน้าของดันเต้ว่างเปล่าสวนทางกัน อาจเพราะเขาใช้เวลาคิดแต่ละสิ่งอย่างน้อยมาก และไม่รู้จะใช้เวลาที่เหลือแหล่ในมือทำอะไรดีนอกจากล่องลอยไปวันๆ การเฝ้ามองจึงกลายเป็นงานอดิเรกโดยไม่รู้ตัวของปีศาจกร้านโลก
ครู่หนึ่งของกาลเวลาอันไร้จุดสิ้นสุดในโลกใบเล็กของดันเต้ ชายอีกคนที่รูปร่างสูงใหญ่พอกันเดินอาดๆเข้ามาทักทาย เขาวางก้นแน่นๆลงบนเก้าอี้พลางเลียนแบบท่าทางของดันเต้
เสื้อกล้ามคอวีถูกสวมทับด้วยโค้ตยาวผ้าเนื้อบางเบา ด้านล่างเป็นกางเกงหนังรัดรูปสีดำเงามะเมื่อม เข้าคู่ได้ดีกับรองเท้าบูตหนังสีเดียวกัน ในความอึมครึมของโทนสีมีความเท่น่าอันตรายเด่นชัดบนรูปลักษณ์
ผมสั้นสีดำถูกเซตตั้งเปิดหน้าผากสูง คิ้วและแววตาดุดันพร้อมมีเรื่อง ริมฝีปากหนาคว่ำดูอารมณ์ไม่ดีนัก รวมๆแล้วเหมือนคนได้กลิ่นอะไรเหม็นตลอดเวลา
“เดี๋ยวนี้เลิกใส่พวกชุดหนังกับสายรัดอะไรแล้วเหรอ?” ชายร่างใหญ่ลดแว่นตาดำลง มองลอดผ่านเลนส์สีทึบด้วยความฉงน “แต่งตัวเบาแบบนี้ฉันจำนายแทบไม่ได้”
“รู้จักนิวนอร์มอลไหม?” ดันเต้เอียงหน้าตอบโต้
“นี่นายเจาะหัวนมด้วยเหรอ?”
“มันเป็นสไตล์”
“สะดือเจาะไปยัง?”
“จะเหลือเหรอ” ดันเต้ยกมุมปากยืนยันความภูมิใจ
“งั้นข้างล่างนั่นก็…”
“หยุดแค่นั้นแองกัส! อย่าให้มันลงต่ำไปกว่าสะดือเลย”
“แล้วนึกไงวันนี้ถึงโผล่มานี่ได้” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยถาม แว่นตาถูกสวมทับกลับไปที่เดิม “ปกติเห็นจับเจ่าอยู่แต่ในห้องนั่งมองหน้าต่างทั้งวันทั้งคืน”
“เบื่อ!”
“อยากหาเหยื่อใหม่ๆล่ะสิ” แองกัสกระทุ้งสีข้างเพื่อนเข้าอย่างจัง “นายชอบกินแต่พลังงานเดิมๆก็งี้แหละ”
“ไม่อยากให้มันวุ่นวาย ยิ่งหาเหยื่อเยอะก็ยิ่งคุมความลับยาก”
“จะกลัวอะไร! ปกติมนุษย์ก็ลืมเราไปอยู่แล้ว”
“แต่หลังๆเริ่มอยากให้มีคนจำเรื่องราวของฉันได้บ้าง การถูกลบตัวตนออกไปมันโหดร้ายนะ”
“อารมณ์ไหนอีก” แองกัสขมวดคิ้ว “ถ้าเบื่อมาก… ฉันทำอะไรสนุกให้ดูเอาไหม?”
แองกัสกระหย่องยิ้มย่องในขณะที่ดันเต้ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ปีศาจแห่งโทสะถอดแว่นตาดำเหน็บไว้ที่คอเสื้อ ดวงตาของเขาดุดันราวกับคลื่นโหมกระหน่ำของท้องทะเล และยังลึกล้ำเหมือนเหวไร้ก้น
“เห็นผู้หญิงโต๊ะนั้นไหม?” ปลายนิ้วข้อหนาของแองกัสยืดเหยียดไปข้างหน้า
เมื่อมองแทรกผ่านผู้คนขวักไขว่ไปตามการชี้นำ ดันเต้ก็เห็นผู้หญิงผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลัง หน้าม้าของเธอโค้งและแตกเล็กน้อย “เห็น”
“แฟนของหล่อนนั่งอยู่ตรงกันข้าม… ไอ้หมอนั่นตามกดไลก์รูปเพื่อนผู้หญิงที่บริษัทมาสามวันแล้ว”
แองกัสเล่ารายละเอียดทุกอย่างได้เป็นฉาก เพราะพลังของปีศาจสามารถสืบเสาะต้นสายปลายเหตุแห่งอารมณ์นั้นๆได้ อย่างแองกัสผู้รับใช้ลอร์ด *ซาตาน พลังงานของเขาคือความโทสะ หากเจอเหยื่อที่ครอบครองความโกรธแม้เพียงเล็กน้อย เขาสามารถอ่านใจและรับรู้เรื่องราวต้นกำเนิดได้ และยิ่งโกรธมากเขาก็ยิ่งรับรู้ทุกอย่างโดยแม่นยำ
เฉกเช่นดันเต้… ยามปีศาจคิวบัสรับรู้ถึงคาวโลกีย์ในจิตใจ เขาจะสามารถอ่านความคิดลามกและตอบสนองตัณหาอันรุนแรงได้อย่างถูกจุด
ดวงตาของแองกัสเรืองรองเป็นสีแดงราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชติอยู่ในนั้น ความร้อนคุกรุ่นพัดโชยลอยตลบทั่วชั้นบรรยากาศรอบตัวปีศาจร่างใหญ่ กลมายาเล่นใหญ่ขนาดนี้กลับไม่เป็นจุดสนใจของมนุษย์แม้แต่นิดเดียว
‘ปัง’ เสียงตบโต๊ะดังสะเทือนมาจากฝ่ามือเล็กจ้อยของผู้หญิงผมหน้าม้า ตามมาด้วยเสียงด่าทอต่างๆนานา ที่ดันเต้เองก็แทบไม่ได้ยิน แต่อ่านจากสีหน้าก็พอรู้ได้ว่า เธอคงโมโหจนแทบอยากจะฆ่าชายตรงหน้าด้วยสารพัดวิธีในหัว
นักร้องประโคมดนตรีกลบเกลื่อนความวุ่นวาย ผู้คนโดยรอบมีปฏิกิริยาตอบรับที่แตกต่างกัน บ้างก็ตกอกตกใจ ส่วนพวกที่อยู่ไกลจุดเกิดเหตุหน่อยก็พยายามชะเง้อหน้าและซุบซิบกัน
พนักงานที่กระจายตัวอยู่รอบโถงโอ่อ่าสะกิดกันให้ควั่ก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเริ่มเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุการณ์รุนแรง
ดวงตาของแองกัสยังคงร้อนแรงเหมือนสถานการณ์ที่ไม่มีทีท่าจะสงบ คราวนี้เป็นฝั่งผู้ชายที่ยืนขึ้น ในมือข้างหนึ่งของเขาถือส้อมชี้ไปยังตรงหน้าของผู้หญิง ใบหน้าแดงก่ำจากความเดือดดาล
ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายถึงขั้นมีการลงไม้ลงมือ พนักงานคนหนึ่งที่มีเข็มกลัดรูปสามเหลี่ยมคล้ายพีระมิด ก็ย่ำเท้าด้วยความรวดเร็วปรี่เข้าหาแองกัส เขาสะกิดปีศาจร่างแน่นเบาๆ พร้อมถ้อยคำที่จำกัดวงสนทนาให้รับรู้น้อยที่สุด “พอได้แล้วค่ะ ที่นี่เป็นพื้นที่ปลอดเวทมนตร์นะคะ หากคุณไม่เคารพสถานที่และกฎของเรา ดิฉันจำเป็นต้องเชิญออกนอกโรงแรมค่ะ”
แองกัสกะพริบตาถี่ๆไม่กี่ครั้ง สีแดงเพลิงในดวงตาก็มอดดับลง เขาวางแว่นตาดำลงบนดั้งสูงโด่ง ก่อนหันไปยิ้มให้พนักงานหญิงอย่างสุภาพ “ขอโทษครับ ผมเป็นปีศาจเกิดใหม่ ยังคุมพลังไม่ค่อยได้”
“เราลงทะเบียนปีศาจทุกตนในละแวกนี้ไว้แล้วค่ะคุณแองกัส ปีศาจอายุเกือบพันปีเราไม่อาจเรียกว่าเพิ่งเกิดได้หรอกค่ะ” พนักงานสาวตอบด้วยน้ำเสียงไร้จิตวิญญาณ “อย่างไรก็ตามอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกเป็นครั้งที่สองนะคะ”
“ครับๆ คุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระหว่างสามโลก”
คล้อยหลังเจ้าหน้าที่ระดับกลางทุกอย่างก็ทุเลาลง ตอนนี้ระหว่างชายและหญิงคู่ที่เพิ่งทะเลาะกันอย่างรุนแรงมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยคั่นอยู่ตรงกลาง เธอกำลังเจรจาอะไรบางอย่างเพื่อบรรเทาความเกรี้ยวกราด สีหน้าและแววตาของเธอผู้นั้นแตกต่างจากแองกัสโดยสิ้นเชิง
ผมสีน้ำตาลแก่ยาวสลวยจนถึงกลางหลัง แววตาเปี่ยมไปด้วยความสงบลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ รอยยิ้มนั้นไร้พิษภัยจนครเห็นก็ต้องรู้สึกใจเย็น
“ฉันล่ะเกลียดยัยนั่นจริงๆ” แองกัสบ่นไม่สบอารมณ์
“ไอรีนน่ะเหรอ?” ดันเต้รู้จักคู่ปรับตัวฉกาจขอแองกัสเป็นอย่างดี เธอคือเทพีผู้นำพาความสงบสุข
“ในขณะที่ฉันต้องทำให้ผู้คนบันดาลโทสะเพื่อเก็บเกี่ยว นางก็จะคอยขัดแข้งขัดขาฉันเรียกคืนความสงบสุขอยู่ร่ำไป”
“อย่างน้อยนายก็เก็บเกี่ยวพลังงานคนละแบบจากมนุษย์กับนาง ไม่เหมือนฉัน!” ดันเต้ย่นหน้าอย่างหงุดหงิด “ต้องไปแย่งพลังงานแบบเดียวกันกับกามเทพ คิดแล้วก็ปวดหัวชะมัด”
“โว้ว! เดี๋ยวนะ กามเทพงั้นเหรอ?” แองกัสอ้าปากค้าง นัยน์ตาเกือบจะเป็นสีแดง โชคดีที่คุมเอาไว้ได้ก่อนที่เจ้าหน้าที่คนเดิมจะเดินกลับมาหา “ถ้าจะมีอะไรที่ฉันเกลียดกว่าเทพี **อัสทราเอีย ก็พวกคิวปิดนี่แหละ พวกนั้นไม่สนด้วยซ้ำว่าคู่ปรับของตัวเองเป็นใคร ชอบหาเรื่องไปทั่ว”
“งี้แหละไอ้พวกลูกรักแม่โอ๋ เลยกลายเป็นเด็กไม่รู้จักโต”
“ฉันยังจำได้ว่านายแย่งพลังกับกามเทพตนก่อนจนมนุษย์คนนั้นเป็นบ้าไปเลย ไอ้นั่นก็ยิงศรใส่ นายก็ลงตราคืน หมอนั่นก็ยิงศรทับ”
“ทำไมนายกับไอรีนถึงใช้พลังซ้อนทับลงไปในมนุษย์คนเดียวกันได้ แต่ฉันกลับทำไม่ได้”
“เพราะพลังของฉันกับแม่นั่นเหมือนหยินกับหยาง พลังของฉันคือความร้อนส่วนของแม่นั่นคือความเย็น เมื่อปะทะกันจึงเกิดเป็นสมดุล” สีหน้าของแองกัสไม่ภูมิใจเท่าไหร่นักที่มันเป็นแบบนี้ “แต่พลังของนายกับคิวปิดเป็นพลังร้อนเหมือนกัน พอยัดเข้าไปรวมกันมันก็ยิ่งร้อนไงเพื่อน”
บรรยากาศรอบตัวกลับคืนสู่ความสงบรวมถึงจิตใจของดันเต้ เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อจบไปหนึ่งบทเพลง แองกัสหันหน้าเข้าหาเคาน์เตอร์ กระดิกนิ้วเรียกบาร์เทนเดอร์สั่งเครื่องดื่มฤทธิ์แรง
“เอาล่ะ! ถึงฉันจะชอบนายมากที่สุดในหมู่ปีศาจละแวกนี้ แต่ถ้านายมีปัญหากับคิวปิด นั่นเป็นปัญหาของนายแล้วล่ะ ฉันไม่ใช่คู่ปรับโดยตรงของเทพเจ้าเล่ห์แบบนั้นด้วย”
“ฉันก็ไม่หวังจะให้ใครช่วยอยู่แล้ว” ดันเต้ถอนหายใจ
เมื่อนึกถึงสัญญาที่รับปากไว้กับชายหนุ่มผู้ครอบครองกลิ่นตัวเย้ายวนไม่เหมือนใคร ปีศาจโง่เขลาก็หนักอกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก ขอความช่วยเหลือจากกามเทพตัวตนเรื่องก็ถูกทำร้าย ขอความร่วมมือจากมนุษย์ก็โดนปฏิเสธ ครั้นมาปรึกษากับเพื่อนก็ถูกหมางเมิน
“นายรู้ดีใช่ไหมว่าปีศาจอย่างพวกเราไม่ทำงานเป็นทีม” แองกัสเสริมพลางกระดกเหล้าช็อตเล็กในมือจนเกลี้ยง
ดันเต้พยักหน้าหงึกๆ “แต่ฉันทำพันธะกับมนุษย์คนหนึ่งไปแล้วว่าจะช่วยเขาจากคำแช่งของกามเทพ อยู่ๆจะทิ้งไปคงไม่ได้หรอก”
“เราเป็นปีศาจนะเพื่อน” แองกัสกระดิกนิ้วเรียกให้บาร์เทนเดอร์เติมเครื่องดื่ม “เรื่องชั่วๆมันเป็นของถนัดสำหรับเราอยู่แล้ว”
“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เด็กหนุ่มคนนั้นมีบางอย่างที่ฉันตามหา บางอย่างที่ฉันเองก็ยังไม่นึกไม่ออก”
แองกัสยื่นแก้วสั้นเตี้ยให้ดันเต้ เขาตบบ่าเพื่อนเบาๆ “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมนายต้องเอาตัวเองไปพัวพันกับมนุษย์อยู่เรื่อยๆ”
ดันเต้ไม่ตอบ เขาเพียงกระดกเหล้าในมือจนหยดสุดท้าย
“นายพูดถึงคำแช่งใช่ไหม? ทำไมนายไม่ลองลงตราดูล่ะ เพราะมันเป็นเวทมนตร์ที่ทำงานคล้ายกัน” แองกัสเสนอวิธีสุ่มเสี่ยง สำหรับเขาชีวิตของมนุษย์มีค่าไม่ต่างจากอาหารหนึ่งมื้อ “ฝังลงไปในร่างมนุษย์ มีฤทธิ์กดทับพลังของอีกฝ่าย”
“แต่มนุษย์คนนั้นจะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ฉันกลัวจะซ้ำรอยแบบเดิม”
“แล้วไงวะเพื่อน! มนุษย์ก็ร่วงโรยเป็นจำนวนมากในแต่ละวันอยู่แล้ว ใบไม้หล่นแค่ใบเดียวไม่ทำให้ทั้งต้นเหี่ยวเฉาหรอกน่า”
ดันเต้นิ่งเงียบ… เขาหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์อยู่สองถึงสามครั้งเพื่อมอมเมาตัวเอง
ไม่ใช่ว่าปีศาจแห่งราคะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เพราะเขาคิดเอาไว้แล้วจึงไม่เสนอเป็นทางเลือกให้แก่มิว เพราะวิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงต่อตัวมนุษย์มากที่สุด แต่เมื่อได้ยินการสนับสนุนจากเพื่อน ดันเต้ก็เริ่มไขว้เขว
จริงอยู่ที่ดันเต้ไม่มีเจตนาทำร้ายมนุษย์ ทว่าตามสัญชาตญาณเขาก็ไม่อาจปล่อยให้กามเทพเย้ยหยันได้เช่นกัน
—---------------------
*ซาตาน เป็นความเชื่อของสิ่งชั่วร้ายประเภทหนึ่ง มีความเชื่อที่เกี่ยวโยงกับตำนานและศาสนาที่หลากหลาย แต่หลักๆมักเป็นปฏิปักษ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า และเป็นหนึ่งในบาปเจ็ดประการ
**Astraea (อัสทราเอีย) เทพีในตำนานเทพปกรณัมกรีก ว่ากันว่าเป็นบุตรีของซุสกับเธมิส ขึ้นชื่อเรื่องความรักยุติธรรมและความสงบสุข
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด