ท่อนบนเปลือยของชายทั้งคู่นอนซ้อนทับถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผืนบางเพื่อลดความอนาจาร
คนที่อยู่ด้านบนเนื้อตัวอัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ จนน่ากลัวว่าอีกฝ่ายที่อยู่ด้านล่างอาจถูกทับบี้แบนจมลงไปกับเบาะ
เสียงนกร้องขานรับดวงตะวันทอแสง ความสงบเงียบถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ความวุ่นวายเซ็งแซ่จากทั่วทิศทางบ่งบอกถึงการเริ่มต้นชีวิตของผู้คน
สำหรับอาร์เต้เขาไม่ค่อยชอบเซ็กซ์ในตอนเช้าเท่าไหร่นัก มันหวือหวาและโจ๋งครึ่มเกินไป ทว่าเวลาการทำงานก็มอบทางเลือกเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือพยายามหลับหูหลับตาเมินบรรยากาศไม่พึงประสงค์ไปเสีย ทั้งความสว่างที่เปิดเผยทุกอย่างเด่นชัดเกินไป หรือเสียงการเคลื่อนไหวจากสิ่งอื่น
แม้กระทั่งตอนต้องไปปลดปล่อยอารมณ์นอกคอนโด อาร์เต้ก็พยายามหามุมที่ผู้คนคับคั่งน้อยที่สุด อาจเป็นเพราะความไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาเป็นทุนเดิม เลยทำให้เขากลัวการถูกตัดสินด้วยสายตา
ระหว่างการเล้าโลมอันเอื่อยเฉื่อย อาร์เต้ก็อดคิดทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับผู้จัดการร้านไม่ได้ หนึ่งข่าวลือที่ฟุ้งกระจายเกี่ยวกับการทำงาน มันคอยรบกวนจิตใจเด็กหนุ่มวัยฉกรรจ์เสมอคือความสำส่อน ผู้คนในร้านมักกล่าวหาว่าเขาไต่เต้าขึ้นที่สูงได้เพราะการเอาตัวเข้าแลก ซึ่งนั่นมันก็ถูกเพียงครึ่งเดียว
อาร์เต้ไม่เคยมีอะไรกับลูกค้าแต่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ชายที่กำลังขบกัดหน้าอกเนียนขาวของเขาอย่างเมามัน อยู่นี้มีเอี่ยวกับแทบทุกชีวิตในร้าน
ข่าวลือหลายอย่างหนาหูและหนักแน่น แม้แต่มิวผู้เป็นดั่งพี่ชายที่สนิทที่สุด ยังคล้อยตามหลงเชื่อไปกับบางเรื่อง
“คิดอะไรอยู่เหรอ? หรือว่าวันนี้เหนื่อย?” เป็นเอกไต่ร่างเล็กบางขึ้นมา จูบลงบนคางพลาสติกของอีกฝ่าย “จะให้พอก่อนไหม”
“ไม่เอา” อาร์เต้งอแงใช้ฝ่ามือถูไถแผ่นหลังหนากว้างของอีกฝ่าย “อย่าทำให้ผมอารมณ์ค้างสิ”
“งั้นเหรอ” เป็นเอกยิ้มอีกครั้ง อันที่จริงพออยู่กับอาร์เต้สองต่อสอง หากไม่นับรวมมารยาทที่พึงมีต่อลูกค้า เขายิ้มมากกว่าตอนอยู่ในที่ทำงานทั้งเดือนเสียด้วยซ้ำ
จมูกสูงโด่งโน้มใกล้ซอกคอเนียนละเอียด กลิ่นเหล้าลอยหึ่งจนฟุ้งกระจาย ทว่าก็ไม่ทำให้เป็นเอกคลื่นเหียนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังกวาดลิ้นหนาชื้นโลมเลียไปจนทั่ว
ลำคอเนียนขาวพราวไปด้วยน้ำลาย เป็นเอกข่มใจอย่างยากลำบากเพื่อไม่ให้ฝากร่องรอยรักลงบนสมบัติชิ้นงามนี้ มิเช่นนั้นอาจโดนคำพูดร้ายกาจทำลายมูลค่าของมันจนย่อยยับ
“อื้อ” อาร์เต้บิดตัวเมื่อจุดอ่อนไหวโดนหนวดหร็อมแหร็มเส้นเล็กบางกระตุ้นอย่างอ่อนโยน มันทั้งเสียวและจักจี้ไปพร้อมกัน
เป็นเอกกดรอยจูบแนบชิดสนิทจนไรขนตรงคางและบนริมฝีปากครูดถู เพื่อเน้นย้ำลงไปยังจุดบอบบางแสนอ่อนไหวใกล้หลังหู เขาชอบนวดคลึงร่างเล็กบางนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกดมือลงบนเนื้อแป้งเนียนนุ่ม ผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยรสสัมผัส
กายร่างน้อยบิดไปมาอยู่ในอ้อมแขนแห่งพันธนาการ ส่งเสียงทุรนทุรายอยู่ในลำคอ ท้องน้อยเริ่มเบาโหวงผสมกับเสียวซ่าน
ดีที่หนวดของเป็นเอกไม่แข็งเป็นตอ รอยแดงบนพื้นผิวขาวละเอียดจึงไม่ทิ้งร่องรอยไว้นานหนัก อีกทั้งยังไม่เจ็บจากการทิ่มแทงเหมือนแปรงสีฟันใช้มานานแล้ว
“จักจี้เหรอ?”
“นิดหน่อย” อาร์เต้ยิ้มร่า “แต่เสียวมากกว่า”
“ถ้านายไม่ชอบฉันจะไปเลเซอร์ออก”
“ไม่เป็นไรครับ! ไว้ถ้าวันไหนหนวดพี่แข็งจนผมเริ่มเจ็บแล้วจะบอก” อาร์เต้ประคองสองแก้มของชายผู้มีอายุมากกว่าเอาไว้ในอุ้งมือ “ผมชอบที่พี่ไว้หนวดนิดๆ ทำให้พี่ดูหล่อไม่เหมือนใครดี”
“ก็ท่านายชอบ ฉันก็จะปล่อยมันไว้อย่างนี้”
“เท่ทรงแบดขนาดนี้… ไม่ชอบได้ไงไหว” เด็กหนุ่มจอมทะเล้นไม่พูดเปล่า เขาคว้ามือของอีกฝ่ายเลื่อนผ่านเนินเขาอันเกลี้ยงเกลาไปยังแท่งหลักฐานที่กำลังแข็งโด่
ความอุ่นไหลซึมจากผิวหนังสู่ผิวหนัง ภายใต้ผืนผ้าห่มเละเทะและเปียกชื้น บางอย่างกระเพื่อมสั่นไหวอยู่ในที่ลับ ทว่าสีหน้าอาการในที่โล่งนั้นชัดเจนจนไม่อาจปกปิด
วงขาขาวโอบรัดเอวท่อนหนาเอาไว้ตรงกลาง ท่ามกลางสงครามเย็นผสมร้อนกำลังปะทุ ทุกคำพูดถูกกลืนหายหลงเหลือเพียงเสียงหอบอันหนักหน่วง
จมูกไม่เพียงพอต่อการหายใจอีกต่อไป ยิ่งร่างทั้งสองประกบบดเบียดกันอยู่ในจุดอับ ความสามารถพื้นฐานบางอย่างก็ค่อยๆเลือนหายไป
ความคิดความอ่านถูกฉีดอัดด้วยแรงปรารถนาแห่งกาม ไฟราคาหล่อหลอมคนทั้งคู่ให้มอดไหม้ไปกับตัณหา ถูกหรือผิดเป็นเพียงสิ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
—---------------------
“เป็นไงบ้าง?”
ดวงตาดำขลับราวห้วงลึกในมหาสมุทรเฝ้ามองชายในอ้อมแขนหลับใหล ครั้นเมื่อชายที่เฝ้ารอลืมตาตื่นขึ้นเขาก็รีบกล่าวทักทาย
นานมากแล้วที่ข้างกายของมิวไม่มีสายตาคอยเฝ้ามองยามหลับ เขาจำความรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นโลกทั้งใบของใครอีกคนได้แม่นยำ แม้จะล่วงเลยมาแล้วหลายปี
‘ยี่หวา’ เป็นแฟนสาวเพียงคนเดียวที่สร้างความปลอดภัยและอบอุ่นให้กับมิว มันเป็นความรักแรกในแบบที่ห่างกันลิบลับกับที่เหล่าบรรดาลูกค้าของเขาทุกคนมอบให้
ใบหน้าหญิงสาวผู้มีดวงตาราวสดชื่นราวหยาดน้ำค้างยามเช้า ซ้อนทับอยู่บนใบหน้าชายหนุ่มผิวเข้ม ความอบอุ่นที่เคยขาดหายพุ่งแล่นเข้ามาแทบจะในทันที
“ฉันยังอยู่ในความฝันเหรอ?”
“ก็ถ้าอธิบายอย่างง่ายก็ใช่” ดันเต้ตอบด้วยใบหน้าหยิ่งผยอง “แต่ถ้าอย่างยากก็ไม่เชิง”
“นายนี่ขยันกวนตีนเหลือเกินนะ เมื่อไหร่จะเลิกพูดจาอะไรที่ฉันไม่เข้าใจสักที”
เมื่อได้ยินคำตอบมิวก็ระลึกได้ทันทีว่าหมอนี่ไม่มีทางใช่ และไม่มีวันเป็นยี่หวาได้อย่างแน่นอน แฟนเก่าของเขาทั้งอ่อนหวานทั้งเพียบพร้อม ชนิดที่เรียกได้ว่าดันเต้สิบคนก็ไม่สามารถทำได้
“นายนี่นะ… ตอนหื่นกับตอนปกตินี่เหมือนคนละคนกันเลย”
มิวขยับตัวหนีหันหน้าออกไปอีกฝั่ง ทว่าก็ยังไม่พ้นกล้ามแขนของปีศาจอยู่ดี
“แล้วถ้าไม่เรียกความฝัน นายเรียกว่ามันเป็นอะไรล่ะ” มิวทำทีถามเรื่องอื่น
ส่วนหนึ่งเริ่มคุ้นชินกับเรื่องลึกลับเลยไม่อยากติดใจกับสิ่งเล็กน้อย หากต้องการให้ปีศาจคิวบัสช่วยเหลือคงต้องพยายามปรับตัวหาจุดกึ่งกลาง
ในเมื่อโลกใบเดิมที่มิวรู้จักยังซ้อนทับกับโลกพิศวงอยู่ได้ ดังนั้นก็คงไม่ยากหากเขาจะพยายามเรียนรู้เพิ่มเติม
“มิติคู่ขนาน… อะไรประมาณนั้นมั้ง” ดันเต้ดึงชายหนุ่มเข้ามากอดแน่น “ประมาณว่าพอนายหลับจิตของนายจะหลุดออกจากร่างท่องไปยังอีกโลกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่โลกพวกนั้นจะถูกสร้างขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง เป็นพลังงานเล็กๆที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์ไม่รู้ตัว”
“แล้วไงต่อ?”
“ฉันก็แค่พาจิตขณะหลับของมนุษย์มายังโลกของฉันแทน”
“เอาเข้าจริงถ้านายลดความกวนตีนลง ความซับซ้อนพวกนี้ก็ไม่เห็นจะเข้าใจยากตรงไหน” มิวพูดกระแนะกระแหนแทนการขอบคุณ
“ไม่หรอก! ยังมีความซับซ้อนอีกหลายอย่างที่นายยังไม่เคยเจอ”
“หวังว่าฉันคงไม่จำเป็นต้องเจอทุกอย่างนะ”
“ฉันอยากให้นายเจอทุกอย่างเลยต่างหาก นายอาจจะรักโลกสีเทาของพวกเรา”
“มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่มีมนุษย์สักคนรู้เรื่องของนายมากขนาดนี้”
“ไม่เลย! อันที่จริงมีมนุษย์จำนวนหนึ่งรับรู้เรื่องของพวกเรา แม้จะมีจำนวนไม่มากก็ตาม” ดันเต้อดใช้จมูกดมกลิ่นพีชหอมหวานตรงเส้นผมของมิวไม่ได้ “ไม่ว่าจะมนุษย์หรืออมนุษย์ก็ไม่อาจยืนลำพังโดยไร้การช่วยเหลือ”
เมื่อทุกอย่างเริ่มยุ่งยาก… มิวตัดสินใจหยุดถามต่อ เขาไม่ได้อยากมีความรู้เรื่องลึกลับไปสอบเก็บคะแนน หรือใช้เป็นหัวข้อสันทนาการกับลูกค้า เพราะอาจโดนกล่าวโทษว่าวิกลจริต
“แล้วนายฝันอะไรไหม?” ดันเต้เป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้าง
“ไม่เลย! มืดสนิทเหมือนตอนหลับลึก ว่างเปล่าเหมือนไร้ตัวตน”
“นั่นคงใกล้เคียงกับสุญตาที่สุดแล้ว โลกที่ปีศาจอย่างฉันต้องเผชิญหากวิญญาณดับสลาย”
“ก็ไม่น่ากลัวนะ เงียบสงบดี”
“นายคิดอย่างนั้นเหรอ?”
“อื้อ! ฉันว่าตกนรกชั่วกัปชั่วกัลป์น่ากลัวกว่าเยอะ ต้องลงไปอยู่ในน้ำร้อนๆ หรือโดนเหล็กทิ่มก้นจนเลือดไหล”
“ฮ่าๆ” ดันเต้หัวเราะชอบใจ “น่าสนุกออก… ความเจ็บปวดไร้ที่สิ้นสุด เพื่อนฉัน ‘แองกัส’ คงชอบแน่ๆ”
ความคิดน่ากลัวของดันเต้ทำเอามิวต้องกระถดตัวหนีห่าง เขาลุกขึ้นนั่งพิงแผ่นหลังกับหัวเตียง มองใบหน้าปีศาจด้วยความสงสัย ‘รสนิยมของหมอนี่ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว’
“แล้วนี่นายเป็นยังไงบ้าง?” ปีศาจจอมยั่วสบโอกาส ขยับตัวหนุนตักมนุษย์หนุ่ม “ยังรู้สึกอะไรแปลกๆอยู่อีกไหม?”
“อืม… เหมือนจะดีขึ้น ไม่ได้รู้สึกแปลกๆแถวสะดือแล้ว” มิวหยุดคิดครู่หนึ่งพลางลูกท้องเปลือยเปล่า “ว่าแต่นายไปทำอะไรมาถึงได้โดนเล่นงานมาแบบนั้น”
“สั้นๆง่ายๆคือฉันรู้สึกว่าเจ้าเตี้ยเอสันนั่นมีพิรุธก็เลยกลับไปหา แล้วก็เป็นตามที่ฉันคิดไว้จริงๆ หมอนั่นเป็นกามเทพ… แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะดัดแปลงสิ่งประดิษฐ์ให้มีพลังเวทมนตร์ เพราะตามปกติอมนุษย์อย่างพวกเรามักไม่ทำของเล่นพวกนี้ไว้ใช้งานจริงๆจังๆ”
“นายคิดว่าใช่คนเดียวกับที่ทำตราพิลึกพิลั่นนี่ใส่ฉันหรือเปล่า?” มิวถามเน้นย้ำ
“เป็นไปได้! แต่ที่ฉันไม่แน่ใจก็คือ… พวกเทวามักจะเปลี่ยนพื้นที่สิงสถิตบ่อยกว่าพวกเราที่เป็นปีศาจ ก็เป็นไปได้เหมือนกันที่ไอ้ตัวที่ทำร้ายนายมันจะย้ายออกไปแล้ว”
“แล้วเราจะเอายังไงต่อ กลับไปที่แกลลอรี่นั่นอีกครั้งดีไหม?”
“มันเสี่ยงไป… เพราะตอนนี้หมอนั่นมันคงรู้แล้วว่าเราไม่ได้หวังดี”
“ฉันจะลองไปพูดคุยดีๆ เผื่อเจ้าหมอนั่นจะใจอ่อนหรือยอมช่วยเหลืออะไรสักอย่าง”
“ไม่มีทาง! พวกเทพมีความสุขกับการลงโทษมนุษย์ ต่อให้พวกมันใจอ่อนก็จะสร้างภารกิจยากๆที่ไม่คุ้มค่าให้นายไปทำ” ดันเต้บรรยายยืดยาว “นายเคยได้ยินเรื่องมนุษย์หลงรักกับเทพหนุ่มรูปงาม แต่โดนแม่ผัวกีดกันไหม? มีครั้งหนึ่งนางทรยศความไว้ใจของสามีผู้เป็นเทพ ด้วยความรู้สึกผิดนางจึงถวายตัวรับใช้แม่ผัวจอมร้ายกาจ แม่ผัวก็ทำทีสงสารมอบภารกิจที่ยากเกินกว่ามนุษย์จะทำให้สำเร็จ ไม่ว่าจะแยกเมล็ดพันธุ์พืชให้เสร็จก่อนรุ่งสาง หรือให้ไปเอาขนแกะทองคำ ให้ไปตักน้ำจากแม่น้ำมรณะ หรือแม้แต่กระทั่งให้นำหีบเปล่าไปส่งยังยมโลก หากนางผู้นั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือ การกลั่นแกล้งเหล่านี้คงจบด้วยโศกนาฏกรรม”
มิวนิ่งเงียบเพื่อฟังเรื่องเล่าด้วยใจจดจ่อ พลันนึกถึงเทพยดาหลากหลายเชื้อชาติบนโต๊ะเครื่องแป้งของเจษ ภาพในหัวของเขาคือสิ่งสูงค่าอย่างนั้นต้องช่วยเหลือมนุษย์ไม่ใช่เหรอ
“อย่างนายไม่มีทางรอดตั้งแต่แยกเมล็ดพืชแล้ว” ดันเต้เงยหน้ามองสายตาหวั่นวิตกของมิว “ฉันว่าเรากลับไปเริ่มที่แฟนเก่าของนายดีไหม ที่ชื่ออะไรนะ…?”
“ยี่หวา!”
“ใช่! นั่นแหละ! เพราะถ้าคนที่สาปแช่งถอนคำแช่ง จะช่วยให้ไซคีสีดำบนตัวของนายอ่อนกำลังลง จากนั้นฉันน่าจะพอทำลายมันได้”
“ทำไมนายถึงคิดว่ายี่หวาเป็นคนทำ” สีหน้าของมิวขุ่นข้องเล็กน้อย
“อย่างน้อยถ้าไม่ใช่แฟนเก่าของนาย เราอาจได้เบาะแสอื่นให้ตามต่อ เริ่มที่มนุษย์ผู้หญิงคนนั้นน่าจะง่ายกว่าการกลับไปหากามเทพเจ้าเล่ห์นั่น เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่าไอ้เอสันคนนั้นมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่อีกบ้าง”
“เลิกยุ่งกับยี่หวาเถอะ” มิวพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน แววตาแข็งกร้าว “ฉันเชื่อใจยี่หวามากกว่าเชื่อใจนายด้วยซ้ำ เธอไม่มีวันทำร้ายฉันเด็ดขาด”
พลังงานในกายของมิวพลุ่งพล่านเมื่อรู้สึกว่าอดีตคนรักของตนถูกคุกคาม เขากำหมัดแน่นทั้งสองไว้แน่น แววตาสีอ่อนลงดูดุร้ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แค่เพียงชั่ววูบร่างของมนุษย์หนุ่มก็หายไปจากดินแดนแห่งสายหมอก
ดันเต้ดันตัวลุกขึ้นหลังพิงเตียงนอน เป็นอีกครั้งที่มิวหลบหนีจากฝันของเขาไปได้ นี่ทำให้มนุษย์หนุ่มได้รับความสนใจจากปีศาจคิวบัสอย่างจัง
เตียงทั้งหลังพลันสลายหายไปในอากาศ ปีศาจร่างโตนั่งอยู่บนบัลลังก์หินที่เย็นชืด มือข้างหนึ่งเท้าคาง สีหน้าไม่บ่งบอกความหมายใด เขาเพียงจดจ้องม่านหมอกตรงหน้า… ไร้ซึ่งความรู้สึก
บางเรื่องหากเป็นมนุษย์ผู้มีหัวสมองอันชาญฉลาด คงคิดออกได้ง่ายโดยไม่ต้องรอนาน แต่กับสิ่งมีชีวิตด้อยปัญญาอย่างดันเต้แล้ว เขามีเพียงสัญชาตญาณสัตว์ป่าขับเคลื่อนการกระทำ
ความซับซ้อนไม่ใช่เรื่องถนัดของเหล่าอมนุษย์ หิวก็หากิน อันตรายมาก็สู้ ไม่ต่างจากมนุษย์ยุคหินที่ใช้ชีวิตไปแบบวันต่อวัน
“ไม่มีทางเลือกแฮะ สงสัยต้องกลับไปงัดกับเจ้ากามเทพหัวทองนั่นอีกครั้ง”
ดันเต้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า อาการปวดแสบยังหลบซ่อนอยู่ตามจุดเล็กๆของร่างกาย
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด