หน้าหลัก / วาย / The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg) / ตอนที่ 37 เมื่อตราเทวาอีกอันโผล่มา

แชร์

ตอนที่ 37 เมื่อตราเทวาอีกอันโผล่มา

ผู้เขียน: Glita
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-14 19:10:30

          ท่ามกลางความวุ่นวายของมหานคร ห้องสี่เหลี่ยมขนาดพอประมาณเป็นดั่งอีกโลกคู่ขนาน มันหลุดพ้นจากวังวนยุ่งเหยิงจากภายนอก ทิ้งไว้เพียงความเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ 

          เบื้องบนที่อยู่สูงเกินเอื้อม ประดับด้วยดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนแรงเฮือกสุดท้าย สีแดงฉานเหนือหมู่เมฆราวกับเลือดของใครสักคน แต่งแต้มท้องนภาจนเกิดสีสันชวนอ่อนไหว

          หน้าต่างกระจกสะท้อนเงาบางส่วนกลับมาเลือนราง บรรยากาศข้างในห้องมืดมิดไร้สีสัน อุปกรณ์เครื่องใช้ทุกชิ้นไม่ถูกเปิดใช้งาน มันแค่ตั้งนิ่งๆอยู่ตรงนั้นเฉกเช่นเดียวกันกับปีศาจ

          การประดับประดาในนี้ถือว่าคุมโทนได้ดี ทั้งเย็นชืดและหม่นหมอง มีเพียงสมุดบันทึกเก่าๆกองพะเนินซ้อนทับกันหลายชั้น มันถูกทิ้งระเกะระกะอยู่ตามมุมห้อง บ่งบอกได้ว่าเจ้าของเลิกสนใจไปตั้งนานแล้ว

          ตู้เสื้อผ้าเป็นอีกอย่างที่ว่างเปล่า ปีศาจส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่อาภรณ์ปกปิด แค่มนต์พรางตาก็เพียงพอสำหรับการลวงหลอกการมองเห็นของมนุษย์ ทว่าก็มีบ้างบางครั้งที่พวกเขาเลือกสวมใส่เสื้อผ้าจริงๆ

          หากไม่นั่งจ้องออกไปนอกตึก บางครั้งดันเต้ก็จะขังตัวเองในตู้ที่ไม่มีเสื้อผ้าแขวน เพราะในนั้นแทบไม่ต่างจากโลกแห่งความฝันของเขาสักเท่าไหร่ มันคับแคบ อุดอู้ เย็นชืด และไร้สิ่งมีชีวิตอื่นใด

          นานๆครั้งดันเต้จะขยับนัยน์ตาดำขลับ ก่อนจะแช่มันอยู่อย่างนั้นอีกนาน แล้วถึงจะขยับไปสักทิศทางอีกครั้ง ทำอยู่อย่างนั้นวนไปได้นานสองหรือสามวัน หรือจนกว่าจะเริ่มหิวกระหาย

          ทุกครั้งที่มีโอกาสปีศาจร่างยักษ์ใหญ่จะนั่งจ้องออกไปนอกหน้าต่าง เฝ้าดูสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อยเคลื่อนไหวอยู่ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เขาไม่เข้าใจเหตุผลของการกระทำหรือความหมายของที่มนุษย์ทำเท่าไหร่นัก เพียงแค่รู้สึกสนใจอยากดูมันไปเรื่อยๆ

          ‘มนุษย์นี่ช่างน่ารังเกียจ… และสวยงามไปพร้อมกัน’

          ความคิดเรียบง่ายของดันเต้ผุดขึ้นในสมองที่ขาดความซับซ้อน เมื่ออยากลองคิดอะไรไปไกลกว่าเดิมสักหน่อย สายป่านแห่งความตระหนักรู้ก็จะขาดผึงกลางอากาศ อาการแบบนี้ดันเต้เรียกมันว่า ‘ความโง่เขลา’ เขาไม่สามารถจินตนาการอะไรได้ไกลหรือกว้างเท่ามนุษย์

          ‘วันนี้หมอนั่นจะมาวิ่งไหมนะ? หรือจะลงตราปีศาจใส่เจ้ามนุษย์หน้าตาซื่อบื้อคนนั้นดีหรือเปล่า?’ ดันเต้วนถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาทุกห้านาทีโดยไม่รู้จักเบื่อ

          ปีศาจเคล้าโลกีย์นั่งจับเจ่าอยู่กับสิ่งเดิมๆข้ามคืนวันโดยไม่ขยับตัว ราวกับหมีขาวจำศีลในหน้าหนาว ผ่านพ้นคืนวันโดยไม่รับรู้แรงขับเคลื่อนใดนอกเหนือจากจิตใจของตน จนกระทั่งร่างกายเริ่มร้อนวูบวาบ 

          ความหื่นกระหายปลุกเร้าให้คิวบัสระลึกถึงการมีตัวตนของตัวเอง ดวงตาสีเข้มกะพริบถี่อยู่หลายครั้ง ลำคอเริ่มแห้งผาก ท้องน้อยบิดมวนจนอยู่ไม่เป็นสุข นี่เป็นสัญญาณของเวลาออกล่า

          คนแรกที่เป็นหมุดหมายใจคือเด็กหนุ่มหน้าตาน่าเอ็นดู แก้มสองลูกเต่งตึงน่าทะนุถนอม ดันเต้คิดถึงเส้นผมสีดำชุ่มโชกด้วยเหงื่อ ยามร่างกายดีดเด้งเมื่อรับความอุ่นร้อนเข้าไปจนเต็มสุดลำ เพียงแค่คิดถึงอาร์เต้ในยามนั้นก็ทำให้ท้องร้องขึ้นมา

          ส่วนมิวชายหนุ่มผู้ครอบครองดวงตาใสซื่อ เรือนร่างขาวเนียนละเอียดนั้นยั่วยวนจนยากหักห้ามใจ ทว่าดันเต้กลับอยากเก็บของดีเอาไว้กินทีหลัง และถนอมอาหารผู้นี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด

          เป็นความรู้สึกคล้ายคลึงแต่ก็แตกต่างอยู่เหมือนกัน ปีศาจผู้โง่เขลาอย่างดันเต้ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ประสบพบเจอนี้ได้ และไม่อาจหาคำมาจำกัดความมันได้เช่นกัน

          ครั้นเมื่อสายตาดุดันราวราชสีห์ละห่างจากบานกระจกใส่ ร่างสูงเกือบสองเมตรก็พลันหายวับไปในอากาศ ทิ้งให้ทั้งห้องเงียบเชียบ อันที่จริงการมีหรือไม่มีดันเต้ก็ไม่ทำให้บรรยากาศของห้องแตกต่างเสียด้วยซ้ำ

          จากโรงแรมหรูเลิศชั้นสิบสามคิวบัสหนุ่มโผล่มายังทางหนีไฟมืดสลัว ตอนนี้ดันเต้ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับแค่เปลี่ยนฉากหลังก็เท่านั้นเอง

          อีกราวสิบนาทีดันเต้จึงเริ่มขยับตัว เขาก้าวอย่างอาดๆออกไปยังโถงทางเดินโล่งแจ้ง สมาธิจับจดอยู่กับเป้าหมายตรงหน้าไม่ว่อกแว่ก

          เด็กหนุ่มตาปรือง่วนอยู่กับการใส่รหัสประตูห้อง ขาทั้งสองข้างสั่นจากการพยายามทรงตัวให้นิ่ง กลิ่นเหล่ายังลอยหึ่งรอบตัวเหมือนเช่นทุกวัน

          “ให้ฉันส่รหัสให้ไหม” ดันเต้ถามด้วยใบหน้าแช่มชื่น

          “อ้าว! ดันเต้” อาร์เต้ทักทายพลางเปิดประตูได้สำเร็จ “มาทำอะไรที่นี่?”

          “ก็มาหานายไง”

          การตีซี้ด้วยท่าทางแปลกๆเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเหมือนครั้งก่อน อาร์เต้ทำหน้ายับย่นด้วยความคลางแคลง แทนที่จะเป็นดวงตากลมโตสดใสแบบเดิม

          อาร์เต้ยังคงจดจำความสัมพันธ์แสนเร่าร้อนเมื่อหลายวันก่อนได้ดี ทว่าเขากลับไม่ค่อยอยากคิดถึงเท่าไหร่ และท่าทางอันเหินห่างนี้ดันเต้รับรู้ได้ทันที

          “เข้ามาก่อนสิ” ด้วยมารยาท… เด็กหนุ่มเชื้อเชิญชายร่างยักษ์ให้ตามเข้ามาในห้อง

          จมูกของปีศาจไวต่อกลิ่นสัมผัส เมื่อเข้าประชิดร่างของนุ่มร่างเล็ก ดันเต้ก็ต้องผงะเล็กน้อย กลิ่นปฏิปักษ์บางอย่างเล่นงานจนเขาแทบเก็บอาการไม่อยู่

          “ดื่มอะไรไหม?” อาร์เต้เอ่ยถามพลางโยนข้าวของลงบนโต๊ะตัวใกล้ที่สุด

          “ไม่ล่ะ” ดันเต้ถอดรางเท้าก้าวเดินไปยังโซฟาตัวที่คุ้นเคย ในหัวยังมีคำถามชวนสงสัย ทว่าก็ยังไม่อยากกระโตกกระตากให้ไก่ตื่น

          “ว่าแต่นายหายไปไหน? ไม่มาทำงานหลายวัน ทุกคนในร้านบ่นคิดถึงกันให้ทั่ว” อาร์เต้นั่งลงโซฟาตัวใกล้ๆ เอ่ยถามด้วยความอยากรู้

          “ช่วงนี้มีอะไรให้คิดเยอะ ก็เลยไม่มีอารมณ์ไปทำงาน”

          “มีอะไรบอกฉันได้นะ”

          “แต่ฉันว่านายน่าจะมีเรื่องที่ต้องบอกฉันมากกว่า” ดันเต้ทำท่าครุ่นคิด “บรรยากาศในห้องนี้เปลี่ยนไปนิดหน่อย”

          “ใช่!” อาร์เต้ดวงตาเบิกโพลงด้วยความอัศจรรย์ใจ “ฉันเปลี่ยนห้องนิดหน่อย แต่แค่นิดหน่อยจริงๆ ไม่คิดว่านายจะรู้”

          ความหมายของดันเต้ไม่ใช่การขยับเขยื้อนข้าวของ แต่หมายถึงมวลบรรยากาศในห้อง กระนั้นเมื่อมองจากอากัปกิริยาของอาร์เต้แล้ว เด็กหนุ่มหน้ามนคนนี้น่าจะไม่รู้อีโหน่อีเหน่

          “ฉันว่านายก็ดูเปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ” ท่าทางของดันเต้แปลกไปเช่นกัน เขาดูระแวดระวังมากขึ้น “ขอฉันดูนายใกล้ๆหน่อยได้ไหม?”

          “อ้อ! ใช่” อาร์เต้กระโดดเข้ามานั่งร่วมโซฟาเดียวกันกับดันเต้ “ฉันไปเล็มผมมานิดหน่อย”

          เมื่อร่างทั้งสองชิดใกล้กันทุกอย่างก็พลันนิ่งเงียบๆ สีหน้าและรอยยิ้มหายวับดับไปในฉับพลัน

          “ฉันว่ามีมากกว่านี้” ดันเต้แยกเขี้ยว

          แค่เพียงปลายนิ้วสัมผัสโดนร่างของอีกฝั่ง ไฟฟ้าสถิตในตัวก็ทำงานในทันที แรงช็อตแปลบปลาบพุ่งวนจากอีกร่างสู่อีกร่างอย่างรุนแรง

          “โอ๊ย!” อาร์เต้สะบัดนิ้วหนี ย่นคิ้วเข้าหากัน เขากระถดตัวออกจากดันเต้เล็กน้อยและเบือนหน้านี้

          ดันเต้เองแทบไม่ต่างกัน จุดสัมผัสร้อนแทบลุกเป็นไฟ มิหนำซ้ำกลิ่นแก่นแท้อันรุนแรงยังเล่นงานปีศาจคิวบัสคลื่นเหียน 

          กลิ่นที่หลั่งออกจากอาร์เต้ตอนนี้มันไม่ได้หอมเย้ายวนใจ แต่กลับมีกลิ่นของตะกั่วคล้ายที่พวในตัวของมิว ต่างกันนิดหน่อยที่ของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นหนักหน่วงกว่าเมื่อเข้าใกล้

          “เกิดอะไรขึ้นกับนาย?” ดันเต้แยกเขี้ยวคำราม

          ปีศาจคิวบัสตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามที่เริ่มเข้าประชิดตัว โทสะที่ไม่ควรเกิดกับเขาก็พลันลุกโชติช่วงชัชวาล ดวงตาแววโรจน์ด้วยแสงสีทอง

          ฉับพลันด้วยอารมณ์ที่ยากจะควบคุม ดันเต้พุ่งตัวโถมทับร่างเล็กกว่าเกาะกุมท่อนแขนเล็กจ้อยนั้นไว้ในกุมมือ พลังเวทมนตร์เข้มข้นไหลทะลักออกจากร่างของปีศาจ

          แรงมหาศาลนั้นบีบจนทิ้งรอยแดงเอาไว้ หน้าแข้งกดทับต้นขาอีกชั้นเพื่อป้องกันการหลบหนี อาร์เต้ได้แต่กรีดร้องโวยวาย และเบือนหน้าหนีอย่างหวาดกลัว

          “นายไปทำอะไรมา? ทำไมเนื้อตัวถึงมีกลิ่นตะกั่ว” ดันเต้เค้นถาม หน้าตาเอาจริงเอาจังของเขาดูดุร้ายเหมือนเจ้าป่า

          “ตะกั่วบ้าอะไรของนาย ไอ้โรคจิต!” อาร์เต้ดิ้นทุรนทุราย “ปล่อยฉันนะเว้ยไอ้วิตถาร”

          “กลิ่นของนาย” ดันเต้โน้มตัวซุกจมูกเข้าใกล้เรือนร่างอ่อนระโหยโรยแรง เมื่อมั่นใจแล้วจึงผละตัวออกมา “ไม่ผิดแน่! ตะกั่ว! ร้านสักนั่นอยู่ไหน?”

          “สัก… สักอะไร? ฉ… ฉัน…” ท่าทางของอาร์เต้สงบลงเล็กน้อย

          การตอบสนองของอาร์เต้ทำให้คิวบัสหวนคิดถึงมนุษย์หนุ่มผู้ผูกพันธะด้วย มิวมีกลิ่นประเภทเดียวเจือปนอยู่ในกลิ่นแก่นแท้ ตอนถามก็ไม่สามารถตอบอะไรได้ ราวกับทั้งสองเหตุการณ์นี้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน

          “นายจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”

          “สัก? ผู้ชายผมทอง”

          “ใช่! นายพอจะคิดอะไรออกไหม?”

          ท่าทีที่เย็นลงทำให้ดันเต้ตัดสินใจคืนความอิสระให้อาร์เต้ ปีศาจถอยหลังไปจนเกือบชิดอีกฝั่งของโซฟา ด้วยเพราะกลิ่นคล้ายตะกั่วรุนแรงมากขึ้นทุกที

          สีหน้าของอาร์เต้เปี่ยมด้วยความไม่พอใจและงุนงงปนเปกัน เขาหงุดหงิดดันเต้ที่กระทำการหยาบคายกับเขา ขณะเดียวกันก็สับสนที่ตัวเองจำเรื่องราวที่ถูกถามไม่ได้

          “ฉันเจอคนที่โดนแบบนาย หลังจากได้รับรอยสักเขาก็จำอะไรไม่ค่อยได้” ดันเต้สงบอารมณ์ พยายามใช้ไม้อ่อน “ตอนนี้เขาไอ้รอยสักนั่นกำลังทำให้ชีวิตของเขาแย่ลง”

          “มันจะมีใครที่ชีวิตแย่ลงเพราะรอยสักได้ด้วยเหรอ?” อาร์เต้ลุกขึ้นนั่ง ยิ้มเยาะและถูข้อมือบรรเทาความเจ็บปวดไปพร้อมกัน

          “ไม่ใช่รอยสักธรรมดา ฉันเชื่อว่านายเองก็ได้รับมาเหมือนกัน”

          “ฉันไม่ได้ไป.. สัก… มา…” ยิ่งพูดความมั่นใจของอาร์เต้ก็ลดลง ความทรงจำทับซ้อนกันจนความชัดเจนถูกผสมปนเปกันไปหมด “ฉัน… เปล่า เดี๋ยวนะ!”

          มือเล็กๆลูบตรงท้องน้อยอย่างแผ่วเบาเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

          “ขอฉันดูหน่อย” ดันเต้เอ่ยปากอย่างสุภาพเมื่ออ่านสีหน้าลังเลตรงหน้าได้อย่างแม่นยำ

          ด้วยความรู้สึกคุ้นชินกับดันเต้ยังไม่เลือนหายไปจนสิ้น ส่วนหนึ่งข้างในจิตใจเด็กหนุ่มยังคงไว้ใจชายตรงหน้าอยู่มาก เขาจึงยอมปลดกระดุมทีละเม็ดออก

          ร่างขาวเนียนยืนเปลือยท่อนบนต่อหน้าปีศาจหนุ่ม ความสว่างสของเนื้อหนังก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจได้เท่าสัญลักษณ์ตรงท้องน้อย

          “นายไปได้มันมายังไง” ดันเต้ชี้นิ้วพลางเน้นย้ำถามเพื่อต้องการคำตอบ

          “ไม่รู้… จำได้ว่าขึ้นรถไปกับพี่เป็นเอก แล้วก็แวะไปร้านสักใกล้ที่ทำงาน… เจอผู้ชายผมทอง… แค่นั้นเลย”

          ไม่ต้องใช้ลิ้นเลียพิสูจน์ ดันเต้ก็สามารถวิเคราะห์ได้ผ่านดวงตาสีดำสนิท

          สัญลักษณ์นี้ไม่คล้ายกับที่มิวโดนเท่าไหร่นัก ความหมายของรอยสักนี้แตกต่างออกไป ผลของมันมุ่งเน้นไปที่การป้องกันปีศาจคิวบัสอย่างดันเต้โดยตรง

          รูปหัวใจเปรียบเสมือนพลังแห่งความรักและตัณหาราคะ ยอดปลายแหลมทั้งสองข้างเปรียบดั่งเครื่องหมายแทนปีศาจ บริเวณแถวท้องน้อยส่งผลต่อกามอารมณ์ 

          สัญลักษณ์จะส่งผลเป็นบวกเมื่อมันชี้ขึ้นบน ทว่าหากกลับหัวทุกอย่างจะกลายเป็นตรงกันข้าม และบนร่างกายของอาร์เต้ก็เป็นสัญลักษณ์กลับหัว… ตราเทวานี้ถูกสลักเพื่อส่งสารบางอย่างถึงดันเต้อย่างไม่ต้องสงสัย

          นี่เหมือนจดหมายเตือนดันเต้ให้ระวังตัวและสั่งสอนว่าเขาไม่ใช่เจ้าถิ่นอีกต่อไป พวกนั้นรู้ความเคลื่อนไหวของเขา รู้ว่ามนุษย์คนไหนเป็นอาหารจานโปรด

          มันไม่ใช่ลูกล่อลูกชนธรรมดา แต่บ่งบอกว่าผู้ใช้เชี่ยวชาญเรื่องการลงตราประมาณหนึ่ง แม้ไม่ถึงขั้นเชี่ยวชาญเหมือนพวกแม่หมดหมอผี ทว่าก็อาจศึกษามาลึกถึงระดับหนึ่ง 

          อีกทั้งการกำกับพลังของตัวเองลงไปกับผู้ให้ติดทนนานนั้น นอกจากจะต้องมีพลังเวทมนตร์ที่มากพอแล้ว ต้องหล่อเลี้ยงให้มนตร์ดังกล่าวไม่ให้เสื่อมถอย เทพตนเดียวไม่อาจทำเกินตัวได้ถึงขนาดนี้

          จุดประสงค์ทุกอย่างคืออะไรกันแน่ ดันเต้พยายามค้นหาคำตอบจากเบาะแสที่พอรับรู้ ทว่าก็เดาเจตนารมณ์ไม่ถูก อีกฝ่ายต้องการเตือนที่เขาเข้าไปยุ่มย่ามกับมิว หรือจริงๆแล้วเขาคือเป้าหมายตั้งแต่แรก

          หากต้องการเล่นงานดันเต้โดยตรง ปีศาจหนุ่มก็พร้อมลุยจนสุดกำลัง แต่หากต้องการเล่นงานมิว เขายังต้องช่วยเหลือมนุษย์ผู้น่าสงสารหรือไม่

          เพราะพวกกามเทพชอบเล่นสนุกกับมนุษย์อยู่แล้ว หากดันเต้สอดมือเข้าไปแทรกแซง เรื่องราวอาจบานปลายลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเหมือนคราวก่อน

          อย่างที่แองกัสเคยบอกชีวิตของมนุษย์ร่วงหล่นไปทุกวันโดยเปล่าประโยชน์อยู่แล้ว ‘มิว’ จะมีค่ามากพอให้เขาปกป้องหรือเปล่า

          อันที่จริงสัญญาปากเปล่าที่ดันเต้ให้มิวเอาไว้นั้นมันมีค่าเทียบเท่าอากาศ ว่างเปล่าและไม่ได้ผูกมัดอะไร เขาเพียงหลอกมนุษย์ตาใสซื่อเพียงเพราะหลงใหลในกลิ่นหอมหวนที่หายาก

          ถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้นกับมิวจริงดันเต้ก็คงรู้สึกเสียดาย ทว่าคงไม่เสียใจ!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 67 มุมมองที่ต่างกัน

    “ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 66 เพื่อนเก่าเพื่อนแก่

    ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 65 เริ่มนับเวลาถอยหลัง

    เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 64 กลับไปใช้งานได้

    ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 63 กาลเวลาที่ยืดหดได้

    เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 62 ความจริงที่พูดไม่หมด

    การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status