ความเสียใจทำให้พราวมุกต้องออกมานั่งปรับทุกข์กับเพื่อนสาวคนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไอริ คนนึงร้องอีกคนนึงปลอบ คนนึงระบาย อีกคนคอยลูบหลัง...
“ไม่เข้าใจว่ะ ฮึก ฉันผิดมากเหรอวะ?” เธอพยายามที่จะเข้าใจแฟนหนุ่มอย่างทิม แต่ยิ่งพยายามทำความเข้าใจหนักแค่ไหน ก็หาคำตอบเหมือนที่เขาพูดไม่ได้อยู่ดี
“ฉันจะบอกอะไรให้นะพราว คนทำผิดเขาไม่คิดว่าตัวเองทำผิดหรอก ข้อแก้ต่างง่ายๆที่ทำให้แกต้องมาจมปลักแบบนี้มันสมเหตุสมผลที่ไหน?” ไอริถอนหายใจ ถ้าใครฟังก็ดูรู้เลยในทีเดียวว่ามันเป็นเหตุผลที่โคตรจะน่าเกียจ เหตุผลที่เอาแต่ได้ของผู้ชายทั้งนั้น
“ฮึก ฮือๆ ฉันเหมือนจะขาดใจเลยแก ฮือๆ” เสียงร้องไห้ของพราวมุกช่างบาดใจเพื่อนสนิทแบบเธอเหลือเกิน สองแขนเรียวประคองกอดเพื่อนสาวจนแน่น
ไอรินึกถึงภาพที่เห็นทิมกระทำทุกอย่างด้วยความรักให้กับเพื่อนเธอมาตลอด ดีมาตั้งแต่ต้นอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ เขาเปิดตัวของพราวมุกทุกอย่าง โซเซียลไหนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่น แต่มาวันนี้ เพื่อนเธอมาร้องไห้แทบเป็นแทบตาย เพราะความเลว และโยนตราบาปมาให้ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ดูแลเขามาอย่างดีตลอด
“เขาไม่ได้รักแกแล้วพราว ถ้าเขารักแก เขาคงไม่นอกใจ” มือเรียวลูบประคองหลังบางเพื่อนสาว ก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่อดจะสงสารเพื่อนไม่ได้ไว้
“ฉันยังไม่อยากเลิกกับเขา” เสียงอู้อี้ของพราวมุกตอบขึ้นมา แม้เพื่อนจะดึงสติเธอแทบทุกอย่างแล้วก็ตาม
“ฉันยอมเป็นหมาเพื่อแกสักครั้งก็ได้ ขอให้อีทิมมันคิดได้และไม่ทำร้ายหัวใจของแกอีก..”
“แต่ฉันจะทำยังไงวะแก เขาก็ดูเหมือนไม่ได้อยากให้ฉันไปไหน ไม่บอกว่าจะเลิก และไม่บอกว่าจะทำยังไงต่อไป ฉันยื่นโอกาสให้เขาแล้วทุกอย่าง แต่ตัวฉันเองที่ไม่สามารถทำใจเรื่องนี้ได้เลย..” ความสั่นเครืออ่อนไหวเจือปนอยู่ในน้ำเสียง
“เอางี้ปะ ลองไปปรึกษาพวกนักจิต หรือพวกจิตแพทย์อะไรงี้ เผื่ออาการจะดีขึ้น” เพราะไอริเองก็ไม่สามารถตอบคำถามมากมายของเพื่อนเธอได้เหมือนกัน
“เดี๋ยวฉันคงโดนหาว่าเป็นคนบ้าอีก” แค่นี้เธอก็สับสนอยู่มากแล้ว หากว่าทิมรู้เข้าคงเป็นเรื่องใหญ่
“งั้นแกเอางี้ปะ ลองเข้าไปหาแอปที่ใช้คุยกับพวกนักจิต หรือแอประบายความในใจไรพวกงี้ จะมีนักจิตคอยฟังและปรับทุกข์ให้อะ ลองดูสิ” เธอเห็นโฆษณามาผ่านๆ อย่างไรเสียก็น่าจะช่วยเพื่อนได้บ้าง
“ฉันจะลองเก็บไปคิดนะ” พราวมุกไม่ได้สนใจอะไรแบบนี้มาก เธอจึงตอบเพื่อนสาวไปแบบนั้น
beer house
เสียงเพลงและความสนุกสนานดังปะทะกันดังกระหึ่ม ร่างชายหญิงต่างพากันโยกย้ายตามจังหวะด้วยความสุขสนุกเฮฮา
แต่ทว่ากลับมีร่างชายหนุ่มบางคนที่เบื่อหน่ายกับความสังสรรค์แบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ไอ้เจย์ วันๆมึงมาเฝ้าร้านให้พ่อมึงเพื่ออะไรวะ กูไม่เห็นมึงจะหิ้วใครกลับเหมือนปีก่อนเลย” เสียงเพื่อนในวงคนนึงทักลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวใจภักดิ์
ผู้มีโรงเหล้า โรงเบียร์นับสิบแห่ง อีกทั้งยังเป็นเจ้าของโชว์รูมรถสปอร์ตอีก
“เบื่อบ้าน” ชรัณตอบกลับด้วยแววตาเบื่อหน่าย เขาแค่ยกแก้วที่มีน้ำสีอำพันขึ้นมากระดกไปวันๆเท่านั้นก็พอแล้ว
“เชี่ย มึงนี่แม่ง อย่างกับคนไม่มีความรู้สึก นกเขาไม่ขันแล้วไงวะ? ฮ่าๆ” เจษ เพื่อนสนิทอีกครั้งเอ่ยแซว ความตายด้านที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นมาเป็นปีๆของชรัณทำให้เหล่าชายโสดอย่างเพื่อนๆแปลกใจไม่น้อย
ใบหน้าคมเลิกคิ้วหนาขึ้นเล็กน้อย ความหล่อเหลาในวัยสามสิบยังคงไม่สร่างเลย เห็นใครๆต่างก็บอกเขาว่ายิ่งแก่ยิ่งหล่อไม่เบา แววตาสีอำพันที่ได้จากมารดา บวกกับใบหน้าลูกเสี้ยวจีนนี่มันฟ้าประทานมาให้ชรัณเพียงผู้เดียวชัดๆ
หากเดินมาแต่ไกลคงเป็นเขาที่ได้รัศมีโดดเด่นจนเพื่อนๆต้องยอมหลีกทางให้เลยทีเดียว
“ตั้งแต่ที่มันเห็นสาวหน้าสวยในโรงบาลวันนั้นก็เลิกเป็นคนร่านราคะเลยมั้ง” คีย์พูดกลั้วหัวเราะ
“ร่านราคะพ่อมึงสิ” ชรัณหันมองเพื่อนตาขวาง
“เขาไม่เหมาะกับคนอย่างมึงหรอก เชื่อกู” เจษเสริม
“ไอ้พวกเชี้ยยย กูบอกตอนไหนว่าไปชอบผู้หญิงจืดๆแบบนั้น!” ชรัณเริ่มพูดมากเมื่อเพื่อนพากันรุม
“ก็วันนั้นเห็นเตี่ยมึงบอกว่า มึงหันไปมองเขาคอแทบเคล็ด”
“มึงไปคุยแค่เรื่องรถกับพ่อกูจริงเหรอไอ้คีย์?” เขาละอยากรู้จริงๆ มีเรื่องอะไรบ้างน้อ ที่บิดาจะไม่เอาลูกมาขาย
“คุยเรื่องเด็กที่พ่อมึงออฟไปแล้วโดนมึงแย่งด้วย” คีย์ทำท่าทางนึก
“พอเหอะไอ้เหี้ย” ชรัณรีบยกเหล้าขึ้นมากรอกปากเพื่อนหนุ่มแรงๆไปที
“ฮ่าๆ กูบอกละมึงอย่าไปเล่นกับมัน” เจษหัวเราะเยาะเพื่อนตัวดีเมื่อเห็นสภาพที่ดูไม่ได้ของคีย์
“กูจะกลับละ เบื่อๆ” ชรัณรีบลุกจากโซนนั่งวีไอพี
“เอ้า แล้วเด็กที่กูเรียกมาล่ะ?” เจษพูดขึ้น อุตส่าห์เลือกแต่ตัวท็อปๆมาให้ทั้งนั้น
“ขี้เกียจ เก็บแรงไว้ไปทำงานบ้างนะพวกมึงอ่ะ” พูดจบก็เดินจากไป พร้อมกับทิ้งบัตรเครดิตให้เพื่อนไว้อีกหนึ่งใบ
“ละป๋าด้วยนะ กูละอยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ทำให้มันนกเขาไม่ขันจริงๆ” คีย์พูดขึ้น ใบหน้าหล่อตี๋กระตุกยิ้มเมื่อสบตากับเพื่อนสนิทคล้ายๆกับจะมีแผนเล่นอะไรใส่พ่อคนขี้เบื่อ
บ้านเจ้าสัวใจภักดิ์
“อาเจย์ ไหงวันนี้ลื้อกลับไว” ชายวัยกลางคนอายุห้าสิบห้าเอ่ยถามบุตรชายที่เดินเข้ามาในบ้านในเวลาสี่ทุ่ม
“เบื่ออะเตี่ย ไม่มีอะไรสนุกๆ” เขาเหมือนพวกใช้ชีวิตวัยรุ่นจนคุ้ม พอปีนี้ตกมาสามสิบก็เหมือนเบื่อนู่นนั่นนี่ไปหมด
“โอ๊ะ เป็นผู้ชายแท้ๆ โลกยังอีกกว้างนะ” เจ้าสัวบอกลูกชาย
“เตี่ยก็พักบ้างนะครับ ห้าสิบแล้วเดี๋ยวช็อกคาเตียงเพราะเด็กรุ่นลูกหลานเอา” เขาเอามือล้วงกระเป๋าเตรียมจะเดินขึ้นบ้าน ไม่อยากต่อปากต่อคำกับบิดาเท่าไหร่
“ตั้งแต่เห็นอาหนูคนนั้นชีวิตแกก็ดูเปลี่ยนไปเลยนะ เขาก็บอกอยู่ว่าพาแม่แฟนมาหาหมอ ตัดใจเสียเถอะลูกเอ้ย” เจ้าสัวใจภักดิ์มองบุตรชายเพียงคนเดียวด้วยสายตาอ่อนลง
“ผมบอกหรือไง ว่าชอบ?” ชรัณส่ายหัวไปมา เดินก้าวขาขึ้นบ้านไปฉับๆ
อย่ามารู้ดีเลย เขาอดทนมาได้ขนาดนี้แท้ๆ แต่เธอกลับมาสะกิดแผลใจเนี่ยนะ
7 ปีก่อน
ชรัณในวัยยี่สิบสาม มองผู้หญิงบนเวทีด้วยสายตาแทบไม่กะพริบ เขาผู้ไม่เคยพ่ายสายตาให้แก่ใคร วันนี้กลับต้องมามองสาวคนนั้นค้างเติ่ง
“ยินดีกับน้องพราวมุกด้วยนะครับ ที่ได้ตำแหน่งดาวมหาลัยคนใหม่” เสียงพิธีกรประกาศดังลั่น
หญิงสาวที่ชื่อพราวมุกคนนั้นกิริยาท่าทีช่างดูอ่อนหวานและเรียบร้อย กระโปรงทรงเอที่สวมมาประกวดยาวถึงเข่าดูน่ารัก ต่างจากดาวคณะอื่นๆที่นุ่งสั่นพร้อมโชว์เรือนร่างไปแล้ว
“ไหนวะ โชว์วงดนตรีชื่อดัง กูรอจนรากจะงอกแล้วเนี่ย” คีย์พูดติดน้ำเสียงหงุดหงิด
“แม่ง น้องที่เป็นดาวคณะมนุษย์โคตรแจ่ม นุ่งสั้นเสมอหูเลย” เจษไม่เสริมเพื่อนเลยสักนิด ดวงตาเขามุ่งไปแต่สาวผิวขาวผมสีแดงเท่านั้น
“โอ้ย แม่งเด็กปีหนึ่งทั้งนั้น นมแค่นี้เอง กูว่าไปหาเด็กเอ็นมาสักคนสองคนยังจะดีกว่า” คีย์ผู้ที่เน้นสาวไซส์คับซีเริ่มประท้วง
“เอาน่า ดูๆไปก่อน คนที่เป็นดาวนี่ก็เรียบร้อยเกิ้น แต่หน้าตากูให้เต็มล้านอ่ะ มึงว่าไงเจย์?” เจษหันไปสะกิดเพื่อน แต่กลายเป็นว่าเพื่อนเขาตอนนี้มันเหมือนกับคนที่ถูกมนต์สะกดเข้าเสียแล้ว
เสือผู้หญิงที่สาวๆทั้งมหาลัยต่างก็อยากเข้าหา ตอนนี้มาปิ๊งเด็กสาวตัวเล็กหน้าใสอยู่บนเวทีเสียแล้ว
“เอาแล้วไง..” เจษหันมองหน้าคีย์ที่อยู่ข้างๆ
ในสายตาของชายหนุ่มวัยยี่สิบสามตอนนั้นเขาตกหลุมพรางเสน่ห์ของสาวน้อยในวันนั้นเข้าอย่างจัง
และเมื่อปีที่แล้ว เขาก็ได้เจอกับเธออีกครั้งโดยบังเอิญ..
“อาเจย์ ลื้อมองใครนานสองนาน” เจ้าสัวใจภักดิ์เอ่ยถามบุตรชายที่นั่งข้างๆด้วยความสงสัย
“เปล่าเตี่ย ฟังเขาเรียกชื่อเข้าห้องตรวจไปเหอะน่า” ถึงแม้จะเอาหูฟังผู้เป็นพ่อ แต่สายตายังคงจ้องมองหญิงสาวที่กำลังนั่งไขว้ขากดโทรศัพท์อยู่ตรงข้าม
“อีคนนั้นเหรอ?” เจ้าสัวชี้นิ้วไป
“เตี่ย! ออกมาข้างนอกอย่าชี้นิ้วเรียกแบบนี้มั่วซั่ว คนสมัยนี้ยิ่งคิดอะไรแปลกๆอยู่” ชรัณรีบเอามือบิดาลงก่อนจะโวยวายใส่
“อาหนูคนนั้น ตรงสเต๊กแกหรือไง?”
“สเปก”
“เออ นั่นแหละ”
ชรัณพ่นลมหายใจ การมีพ่อวัยห้าสิบกว่าตอนนี้มันรู้สึกเหมือนมีแมงหวี่แมงวันตอมข้างๆหู พูดทุกสองวินาที ให้เงียบหน่อยไม่เคยได้
รู้งี้ไม่น่าบังคับมาในวันที่เขาหยุด ให้มากับคนขับรถพอดี
“อีมากับแม่หรือเปล่า? เข้าไปถามสิ” เจ้าสัวใช้มือสะกิดบุตรชายวัยยี่สิบเก้าเบาๆ
ให้มันได้เมียสักที ทุกวันนี้คนแก่อย่างเขาอยู่ยากขึ้นทุกวัน เอาเด็กมาที เด็กหนีไปวอแวกับลูกชายตลอด
“เตี่ย ถ้าพูดอีอีกคำเราเห็นดีกันแน่” เพราะอะไรไม่รู้ คำว่าอีของพ่อเขากลายเป็นคำหยาบคายทันทีที่เรียกหญิงสาวคนนั้น
“แกนี่ จะเก๊กไปถึงไหนกัน ชอบก็ลุยสิวะ ดูอั๊วไว้เป็นตัวอย่างนะ” เจ้าสัวใจภักดิ์ลุกพรึ่บ เดินตรงไปยังหญิงสาวที่นั่งสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตรงหน้า
ทุกการกระทำของบิดาทำให้บุตรชายเริ่มนั่งไม่ติดที่ เขาไม่น่ามากับตาแก่ลงพุงนี่เล้ยยยย!!
ร่างระหงสวมชุดเจ้าสาวกี่เพ้าสีแดงตามประเพณีของบ้านเจ้าบ่าว เธอมองชุดที่ขับสีผิวตนเองด้วยความปลื้มใจ แม้ว่าตอนเช้าจะไม่ได้สวมชุดไทยตามที่สาวๆหลายคนหมายปอง แต่เธอก็ได้เป็นเจ้าสาวที่ถือว่ามีความสุขที่สุด “มะม๊าขา” เสียงเด็กหญิงตัวน้อยเรียกมารดาของตนเองดังขึ้น เมื่อเห็นเธอดกำลังเหม่อมองตัวเองในกระจก “เฟิ่งของม๊า วันนี้น่ารักมาเลยค่ะ” พราวมุกลูบแก้มเด็กหญิงวัยสามขวบด้วยความเอ็นดู “ปะป๊ามาแล้ว” เสียงเล็กๆบอกมารดาพร้อมกับคลอเคลีย ร่างเล็กๆที่สวมกี่เพ้าเหมือนกับมารดาทำให้เธอหยิกแก้มยุ้ยๆด้วยความหมั่นเขี้ยว “โอเคค่ะ เฟิ่งไปรอปะป๊านะคะ” มือบางลูบหัวนุ่มลื่น
หลังจากที่ชรัณรู้ตัวคนก่อการเรื่องของพริ้งพราว เขาก็ไม่อยู่นิ่ง รีบมาฟาดเพื่อนหนุ่มที่สถานนีตำรวจด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ไอ้เหี้ยเจย์!” เจษฎากรสารวัตรหนุ่มลูบหัวตัวเองปอยๆพร้อมกับมองเหลือบสายตามองไปยังนอกห้องว่ามีใครเห็นหรือไม่ที่เขาโดนเพื่อนมาเขกกะบาล “มึงสิเหี้ย ไปทำคนเขาท้องไม่รับผิดชอบ” น้ำเสียงบ่งบอกว่าหงุดหงิด เกือบเขาซวยไปด้วยแล้วไหมล่ะ “กูหาตัวแม่นั่นไม่เจอ!” เขาใช้มือเคาะโต๊ะย้ำๆเป็นการเตือนเพื่อน “กูเจอแล้ว” ชรัณนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามของเพื่อนรัก ถอนหายใจยาวเหยียดขณะที่อีกคนตื่นตาเพ่งมาที่เขา “ใคร??” เจษฎากรตาโตหูตั้งขึ้นมาทันที
“ที่นี่ใช่บ้านเจ้าสัวใจภักดิ์ไหมคะ?” เสียงใสเอ่ยถามแม่บ้านที่วิ่งมาต้อนรับแขก “ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงมาหาใครคะ?” แม่บ้านวัยชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียเป็นมิตร “ถ้าไม่เป็นการรบกวน ช่วยเรียนคุณเจย์ลูกเจ้าของบ้านว่ามีเพื่อนมาหาได้ไหมคะ?” พราวมุกพูดเสียงเบา “ให้เรียนว่าเพื่อนชื่ออะไรดีคะ?” “พราวค่ะ” “ได้เลยค่ะ รอสักครู่นะคะ” แม่บ้านวัยกลางคนเดินเข้าบ้านก่อนจะออกมาในเวลาต่อมา “เชิญคุณพราวไปรอด้านในก่อนค่ะ”&n
1 เดือนต่อมา “เปิดร้านอาหารตามสั่งที่บ้านก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย” พราวมุกยืนยิ้มให้กับผลงานใหม่ของตนเอง เธอได้ก่อสร้างร้านเล็กๆที่หน้าบ้าน ติดป้ายไวนิลประกาศบอกว่ามีอาหารตามสั่งและข้าวแกงรสชาติดั้งเดิมของป้าภา ก็มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาแต่เช้าแล้ว “สองแฝดพายายทำกำไรได้งามทุกอย่างเลยนะ” จันทราภาวางมือลงบนหน้าท้องโตๆของหลานสาว “หลานๆอยากให้คุณยายมีขาเทียมไวๆเลยต้องรีบหาทางทำงานช่วยแม่จ้ะ” ใบหน้าสวยเปื้อนยิ้มมองหน้าท้องสลับกับหญิงพิการ “อดใจไม่ไหว อยากเจอหน้าหลานๆแล้ว” คนมากอายุยิ้มกว้าง&nbs
“คุณเจย์ไม่มาแล้วเหรอพราว?” จันทราภาเอ่ยถามหลานสาวที่ขับรถอยู่ พราวมุกตั้งแต่ออกจากบ้านก็ไม่เอ่ยคำพูดใดเลย เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอดทาง เขาบอกไม่ใช่หรือไงว่าจะไปโรงพยาบาลด้วยเหตุใดถึงไม่มีแม้แต่วี่แววสักนิด? “ไม่จ่ะป้าภา เขาติดงานด่วน” เธอตอบสั้นๆ แล้วตั้งใจขับรถต่อไป หลังจากตื่นมาก็ไม่เจอชรัณเลยแม้แต่เงา เธอนั่งรอคิดว่าเดี๋ยวเขาหายโกรธก็คงกลับมาตอนเช้าๆ แต่รอจวนจะแปดโมงแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา เธอจึงตัดสินใจมากับจันทราภาเพียงสองคน พราวมุกพาจันทราภาเข้ามาตรวจสุขภาพตั้งแต่เช้าจนบ่าย พอเสร็จทุกอย่างแล้วจึงพาคนป่วยเดินทางกลับบ้าน แต่พอถึงบ้านใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอมอง
ดวงตาคู่สวยค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมามองรอบๆห้องนอนของตนเอง เธอขมวดคิ้วยุ่ง แปลกใจที่ตนเองขึ้นมายังห้องนอนได้ยังไง? “ตื่นแล้วเหรอครับ?” ประตูบานเล็กเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงที่ถือแก้วนมมาให้ “คุณเจย์” เสียงสะลึมสะลือเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้อง เธอมองแก้วนมที่เขาใส่มาก่อนจะเบิกตาโต เพราะว่านมที่ชรัณถือมันคือนมผงสำหรับคนท้องที่ต้องกินก่อนนอนเท่านั้น “คุณต้องดื่มนี่ทุกวันถูกไหม?” เขานั่งลงมองใบหน้าที่แตกตื่นของเธอ มือหนายกแก้วขึ้นมาก่อนจะยิ้มบางๆ “อันนี้.. คุณไปชงมาจากไหนคะ?” พราวมุกเอียงหน้ามอง ทำตาใสแจ๋วอย่างมึนงง