ห้องประชุมยังคงนิ่งสงบเหมือนเมื่อวาน เอกสารกองเดิมยังวางอยู่บนโต๊ะ ไม่มีใครกล้าแตะต้อง โต๊ะไม้เนื้อดีขัดเงาวับรับกับแสงไฟสีขาวเย็นด้านบน ทว่าบรรยากาศในห้องกลับอบอวลด้วยความตึงเครียด จนคล้ายอากาศหายไปจากห้องทั้งใบณภัทรนั่งประจำอยู่ตรงหัวโต๊ะ เหมือนเช่นทุกครั้ง มือข้างหนึ่งวางอยู่บนปากกา แต่ไม่ได้เขียนอะไรคุณสุชาดาเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสาร ก่อนจะเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“คุณอ่านเอกสารนั่นแล้วใช่ไหมคะ?”เขาพยักหน้าเบา ๆ ช้า ๆ“คิดว่ายังไงคะ?”เขาไม่ตอบในทันที หากแต่มองไปยังแฟ้มตรงหน้าด้วยสายตาหนักแน่น ก่อนจะพูดช้า ๆ ราวกับกำลังพูดกับตัวเอง“ผมไม่เคยรู้เลยว่าแม่ของดนุกับคุณพ่อของผม...เคยรู้จักกันใกล้ชิดขนาดนั้น”คำพูดนั้นแผ่วเบา ทว่าเพียงพอจะทำให้บรรยากาศทั้งห้องนิ่งลงยิ่งกว่าเดิมอธิชาติเท้าศอกลงบนโต๊ะเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้า“ผมเข้าใจว่าคุณกำลังสับสนครับ...แต่ตอนนี้เราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด”ณภัทรเงยหน้าขึ้น ชัดเจน“คุณอยากให้ผมเลือกข้างใช่ไหม?”ไม่มีใครในห้องตอบกลับมาเขาหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นไม่ใช่เสียงที่มีความสุข หากเป็นเพียงรอยยิ้มแบบขมขื่
ราคาหุ้นของวราภรณ์ดิ่งลงไม่หยุด ตัวเลขสีแดงบนกราฟกระพริบถี่จนมองแล้วเวียนหัว เอกสารวางกองอยู่บนโต๊ะประชุม แต่ไม่มีใครกล้าเปิดดูเสียงกระซิบจากฝ่ายการเงินทำลายความเงียบ “เขายังไม่มา?” “กำลังจะถึงครับ” เลขานุการตอบเบา ๆประตูเปิดออก ณภัทรก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ใบหน้าเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ กระดุมเสื้อเชิ้ตยังไม่กลัดบนสุดเหมือนรีบมา หรืออาจไม่อยากทำให้ดูเรียบร้อยเขานั่งลงโดยไม่พูดอะไร วางนาฬิกาข้างแฟ้มประชุม นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ เหมือนกำลังคิด“เริ่มประชุมเลยครับ” เขาพูดสั้น ๆอธิชาติเปิดบทด้วยเสียงเรียบ “ราคาหุ้นตกลงต่อเนื่อง นักลงทุนทยอยขายออก เราเพิ่งได้ข้อมูลว่า กลุ่มทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นผ่านบุคคลกลางบางราย ซึ่ง...ไม่ผ่านการแจ้งกับบอร์ด”“หมายถึงการเทกโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตร?” ใครบางคนถาม“ใช่ครับ” อธิชาติตอบณภัทรยังไม่พูด เขาก้มหน้าดูแฟ้มสักครู่ ก่อนจะหยุดนิ่งเมื่อคุณสุชาดาหยิบซองจดหมายสีน้ำตาลขึ้นมา“จดหมายนี้ส่งถึงคุณเมื่อเช้า ไม่มีชื่อผู้ส่ง” เธอวางซองไว้ตรงหน้าเขาเขาเปิดซองออกช้า ๆ กระดาษเก่า ๆ ในนั้นมีลายเซ็นของพ่อเขา ข้างชื่อผู้หญิงคนหนึ่ง มารดาของดนุ และยังเป็นมารดาของเขาด้วยเช่นกัน
ห้องประชุมของบอร์ดบริหารแน่นขนัดไปด้วยเสียงซุบซิบ แสงแฟลชจากสื่อมวลชนด้านนอกสาดเข้ามาทางกระจกฝ้า ขณะที่ในมือของประธานกรรมการแต่ละคนถือซองเอกสารสีน้ำตาลเรียบ ๆ ซึ่งเพิ่งถูกส่งมาถึงเมื่อเช้านี้ซองเอกสารที่ไม่มีชื่อผู้ส่ง ทว่าภายในกลับมีภาพถ่ายของสัญญาซื้อขายบริการซึ่งลงลายเซ็นอย่างชัดเจน — สัญญาระหว่างพ่อของณภัทรกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งก็คือแม่ของดนุกระดาษเก่า ๆ แต่ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี แนบมาด้วยภาพถ่ายอีกใบ เป็นภาพผู้หญิงในชุดทำงานเรียบง่ายยืนอยู่ข้างรถหรู พร้อมชายที่ใคร ๆ ก็จำได้ว่าเป็นเจ้าสัวใหญ่แห่งตระกูลณภัทร"เป็นไปได้ยังไง...""ของจริงเหรอเนี่ย...""ใครส่งมาวะ แล้วทำไมต้องเลือกเวลานี้ด้วย?"ณภัทรยืนนิ่งอยู่มุมหนึ่งของห้อง สายตาเขาไล่มองไปตามตัวอักษรบนเอกสารอย่างช้า ๆ ปลายนิ้วเกร็งแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว"ใครส่งมา..." หนึ่งในกรรมการเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาราวกับไม่แน่ใจว่าควรจะถามหรือไม่ไม่มีใครในห้องตอบ ทุกสายตาเพียงแต่มองซองเอกสารในมือ เหมือนต่างคนต่างรอให้ผู้อื่นเอ่ยขึ้นก่อน—อีกฟากหนึ่งของเมือง ดนุนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องที่ปิดผ้าม่านสนิท เสียงฝนกระทบกระจกห
เสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังถี่รัวกลางดึก แสงจากหน้าจอโน้ตบุ๊กสะท้อนเงาใบหน้าเข้มขรึมของดนุ ชายหนุ่มนั่งลำพังในห้องทำงานที่ไม่มีหน้าต่าง แสงไฟสีขาวส่องลงบนกองเอกสาร รหัสผ่านที่เขาใส่ผ่านไปทีละชั้น จนกระทั่ง...ข้อมูลลับจากฝ่ายการเงินของบริษัทมีนาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาไม่ยิ้ม ไม่พูดสักคำ แค่จ้องข้อมูลนั้นนิ่ง ๆ ดวงตาของเขาไม่ได้แค่สื่อความมุ่งมั่น แต่มันเหมือนกับว่า ความเย็นชาที่เคยเก็บไว้ถูกปลดปล่อยออกมาทีละนิดเสียงประตูเลื่อนเปิดเบา ๆ มีนาก้าวเข้ามาช้า ๆ ร่มเปียกน้ำฝนยังคงหยดลงที่พื้น หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเดินต่อ"นายกำลังทำอะไร..."ดนุไม่หันกลับไปมอง เขาตอบเสียงเรียบ "สิ่งที่ควรทำตั้งนานแล้ว"หญิงสาวยืนอยู่นิ่ง ๆ มองแผ่นหลังของเขาที่ไม่ไหวติง เธอเม้มปากแน่น สายตาเริ่มแข็งขึ้น แม้เสียงจะยังเบาแต่มั่นคงกว่าเดิม"นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อฉันก็ได้... ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่นายไม่อยากเป็น แค่เพราะเรื่องของฉัน"ดนุหยุดมือที่กำลังพิมพ์ ก่อนเอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยไม่หันมา"เราสองคนไม่ได้อยู่ในสังคมเดียวกัน ต่อไปอย่ามาอีก" ดนุพูดโดยไม่หันกลับมา เสียงของเขานิ่งเรียบแต่เหมือนมีอะไรบาง
เสียงประตูห้องหนังสือภายในบ้านดังเบา ๆ พ่อของมีนาเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะวางแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งลงตรงหน้าลูกสาวมีนานั่งอยู่บนโซฟาเงียบ ๆ สีหน้าดูไม่แน่ใจนักว่าถูกเรียกมาทำไม จนกระทั่งชายวัยกลางคนผลักแฟ้มออกมาหาเธอช้า ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นจัด"มันไม่ได้รักแกหรอก แกคิดเหรอว่ามันจริงใจ? มันแค่หลอกใช้แกเพื่อประโยชน์ของมันเท่านั้น!"มีนาขมวดคิ้ว แต่ยังไม่พูดอะไรพ่อของเธอเปิดแฟ้มออก ภาพถ่ายเก่า ๆ หล่นออกมา พร้อมเอกสารหลายแผ่น"แหกตาดูซะ มันเคยเป็นหัวขโมย เคยถูกจับได้ที่งานการกุศล ถ้าตาแกไม่บอด ก็น่ารู้นะว่ามันไม่ใช่คนดี สันดานโจรชัด ๆ"หญิงสาวมองภาพเหล่านั้นอย่างช้า ๆ ภาพเด็กชายผอมบางในเครื่องแบบนักเรียน และรอยแผลบนใบหน้าที่เธอคุ้นตามากเกินไป"มันเป็นลูกของโสเภณี แม่ของมันเคยโดนคดีค้ามนุษย์ คนแบบนี้น่ะเหรอ ที่แกจะคบด้วย"มีนาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สายตาไม่หลบอีกต่อไป "แล้วถ้าเขาไม่ใช่แค่นั้นล่ะคะ? ถ้าเขาคือคนที่พยายามทุกอย่างเพื่อจะออกจากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เลือก?"พ่อของเธอชะงักไปเพียงนิด แต่ยังคงสีหน้าแข็งกร้าว"ฉันไม่สนว่ามันเปลี่ยนตัวเองไปเป็นแบบไหน แต่ที่แน่ ๆ มันคือลูก
ร่างของดนุนอนนิ่งบนเตียงขาวในโรงพยาบาล ห้องทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องวัดชีพจรเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผ้าพันแผลยังพันอยู่เหนือคิ้ว บาดแผลใหม่ซ้อนทับร่องรอยเดิมที่ยังไม่ทันหายดีมีนานั่งเงียบอยู่ข้างเตียง มือเธอวางซ้อนอยู่บนมือเขา ไม่ได้ขยับ ไม่ได้เรียก แค่รับรู้ถึงอุณหภูมิที่ยังอุ่นอยู่ใต้ฝ่ามือ ดวงตาเธอแดงช้ำจากการร้องไห้ที่ไม่ได้ปล่อยให้ใครเห็น เสี้ยวหน้าเธอสะท้อนแสงไฟสีขาวของห้องพยาบาลอย่างหม่นหมองเธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพูดเบา ๆ เหมือนกลัวว่าหากเสียงดังเกินไป เขาจะตื่นขึ้นมาแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"ฉัน...อาจจะชอบคุณเข้าจริง ๆ ก็ได้นะ"ประโยคนั้นหลุดออกมาพร้อมลมหายใจ มือเธอกระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วเย็นเยียบเล็กน้อยเพราะอุณหภูมิในห้อง แต่สัมผัสนั้นมั่นคงเปลือกตาของดนุกระพริบช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตา สายตายังพร่าเล็กน้อยจากยาที่ได้รับ แต่เขารับรู้ได้ถึงแรงกดเบา ๆ จากมือเธอ ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความเจ็บปวด มีเพียงความเงียบที่คล้ายเข้าใจทุกอย่างที่ได้ยินเขาไม่พูดอะไรทันที แค่ยกมือที่มีสายรัดกับเข็มน้ำเกลือขึ้นมา จับมือเธอไว้แน่นขึ้น สัมผัสนั้นมั่นคงจนเธอรู้สึกเหม