บางความรัก…งดงามเกินเอื้อม บางคน…รักแทบตาย แต่ไม่เคยแม้แต่จะหันกลับมามอง มีนาเคยเกือบตาย... และเขาคือคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ ตั้งแต่วันนั้น พัทธดนย์กลายเป็นโลกทั้งใบของเธอ แต่เขากลับมองเธอ...เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมี เขาผลักไสเธอออกจากชีวิตอย่างเย็นชา ในคืนที่หัวใจแตกสลาย เธอใช้เงินหนึ่งล้านบาท ซื้อผู้ชายคนหนึ่ง…เพื่อ “ลืมเขา” แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เพราะชายคนนั้น...มีใบหน้าเหมือนพัทธดนย์ทุกกระเบียดนิ้ว “ผมสามารถเป็นใครก็ได้…ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” และเธอก็เลือกจะหลอกตัวเอง…ว่ารักเขาในแบบที่เขาเป็น แม้ในใจจะรู้ว่า…เขาไม่ใช่คนเดิม เมื่อความจริงเปิดเผย ทั้งคู่คือ “ฝาแฝด” ที่ถูกพรากจากกันตั้งแต่เกิด หนึ่งเติบโตในเกียรติยศ อีกหนึ่ง...ในความเจ็บปวดและความอัปยศ ในที่สุด มีนารู้ว่า เธอไม่ได้รักคนใดคนหนึ่ง เธอแค่รัก…ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง และเพราะไม่มีใคร “เลือก” เธอ เธอจึงเลือก “รักตัวเอง” แม้มันจะเจ็บ...แต่มันก็จบ “แค่เคยได้รัก…ก็พอแล้ว”
Lihat lebih banyakเวลาผ่านไปสิบปี
กรุงเทพฯ ยังคงจอแจและเร่งรีบเหมือนเดิม แต่สำหรับมีนา ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว
หญิงสาวในวัยสามสิบปลาย ก้าวออกจากรถลีมูซีนสีดำหน้าศูนย์ประชุมแห่งหนึ่งใจกลางเมือง เธอสวมเดรสผ้าไหมสีครีมเรียบหรู ผมถูกรวบขึ้นหลวม ๆ เผยให้เห็นแววตาที่ผ่านทั้งน้ำตาและความสำเร็จมาแล้วนับไม่ถ้วน
นี่ไม่ใช่แค่การเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ แต่คือ “การกลับบ้าน” ที่เธอหลีกเลี่ยงมาทั้งชีวิต
หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า เงารักกลางลวงใจ และในวันนี้…มันคือกระแสนิยายอันดับหนึ่งของประเทศ
ภายในห้องประชุมหรู แสงไฟอบอุ่นสาดส่องเวทีที่จัดตกแต่งอย่างพิถีพิถัน เสียงปรบมือกึกก้องดังกระทบผนังห้องเมื่อพิธีกรกล่าวชื่อของเธอ มีนาเดินขึ้นเวที ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณที่ยังรอฉันนะคะ”
เธอกล่าวสั้น ๆ ขณะนั่งลงบนโซฟาสีเบจตรงกลางเวที ผู้ดำเนินรายการเริ่มถามถึงแรงบันดาลใจ เนื้อหา ความตั้งใจ คำถามที่เธอเตรียมตัวมาตอบทั้งหมด
จนกระทั่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งแถวหน้า เธอสวมแว่น มีหน้าตาเรียบร้อยแต่ดวงตาคมชัด นั่นอาจเป็นนักข่าว หรืออาจเป็นเพียงผู้อ่านที่กำลังแบกรักบางอย่างไว้เหมือนกับที่มีนาเคยทำ
"ขอโทษนะคะ" หญิงสาวถาม "ฉันอยากรู้ว่า...ในตอนจบของ เงารักกลางลวงใจ ถ้านางเอกมีโอกาสเลือกอีกครั้ง เธอจะกลับบ้านไหมคะ?"
"แล้วเธอจะเลือกอยู่กับใคร ระหว่างพี่ชายฝาแฝดที่เธอรักมาตลอด กับน้องชายที่ยอมเป็นเงาของเขาเพื่อเธอ?"
เสียงในห้องเงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องมายังมีนา
เธอยิ้มบาง ๆ แต่นัยน์ตาสะท้อนเงาในอดีตที่เธอพยายามซ่อน มือข้างหนึ่งลูบเบา ๆ ที่ข้อมือของตัวเอง ตรงนั้น...เคยมีสร้อยเส้นหนึ่ง และคนสองคน ที่เธอรัก...จนหมดทั้งหัวใจ มีนานิ่งงันไปเพียงครู่ ก่อนกล่าวเสียงแผ่ว
“บางคำตอบ…ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อจะพูดออกมาได้”
เธอไม่ตอบคำถามนั้นในวันนี้ แต่ภายในใจ ความทรงจำเริ่มไหลย้อนกลับ ไหลกลับไปถึงค่ำคืนในบาร์ลับ บนดาดฟ้า คืนที่เธอใช้เงินหนึ่งล้านบาทเพื่อลืมใครบางคน
แต่กลับได้อีกคนมาแทนที่
เสียงลมหายใจของเธอหนักขึ้นเล็กน้อย แม้มีนาจะนั่งอย่างสงบอยู่กลางเวที แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงกระซิบจากอดีต เสียงของเด็กหญิงวัยยี่สิบปี ที่เคยฝันว่าจะได้ยืนเคียงข้างเขา...ตลอดไป
มีนากะพริบตาถี่ ๆ ไล่ความพร่ามัวที่เริ่มเกาะขอบขนตา เธอยิ้มตอบนักอ่านสาวคนนั้นอีกครั้งอย่างสุภาพ แล้วผายมือให้พิธีกรพูดต่อ
แต่ในใจของเธอ มันกลับกลายเป็นเวทีของความทรงจำ
"บางคืน...คนเราไม่ได้อยากได้ใครสักคนมาอยู่ด้วยหรอก"
"แค่อยากได้ใครสักคนที่ทำให้เราลืมว่ามันเจ็บแค่ไหน"
มีนาไม่เคยลืมคืนฝนนั้น คืนที่กรุงเทพฯ ดูหม่นกว่าปกติ คืนที่เธอเดินฝ่าสายฝนเข้าสู่บาร์ลับ “ลิโอจิน” ด้วยหัวใจที่แตกสลาย
เธอไม่ร้องไห้ แต่แววตาเธอว่างเปล่าราวกับวิญญาณได้ถูกทิ้งไว้กับคำว่า "คู่หมั้น"
พัทธดนย์...ชายที่เธอรักมาตลอดสิบปี กลับประกาศหมั้นกับดาราสาวลูกครึ่งคนหนึ่งต่อหน้าสื่อ และที่เจ็บที่สุด หญิงคนนั้นใส่นาฬิกาที่เธอซื้อให้เขาเมื่อปีก่อนอย่างภาคภูมิ
ค่ำคืนที่หัวใจเธอแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี เธอเพียงแค่ต้องการทำอะไรสักอย่าง เธอแค่ต้องการลืม แต่แล้ว...เขาก็ปรากฏตัว
ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตดำ ใบหน้าเขาเหมือนกับพัทธดนย์ทุกกระเบียดนิ้ว ดวงตาแบบเดียวกัน แววลึกแบบเดียวกัน แม้จะไม่ใช่เขาก็ตาม
“ผมสามารถเป็นใครก็ได้ ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ”
เมื่อเขาพูดจบ เธอก็ยื่นบัตรพร้อมกับเงินมูลค่า 1 ล้านบาท เพื่อแลกกับ 1 คืน ที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับเขา
หนึ่งคืนที่ไม่ควรจะจำ แต่กลับลืมไม่ได้ตลอดชีวิต
เพราะนั้น คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
จากเงาที่ไม่มีชื่อ เขากลายมาเป็น “เพื่อนร่วมคณะ” แล้วกลายเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย ก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคที่เปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตเธออีกรั้ง...
“ผมไม่อยากเป็นเงาของใครอีกแล้ว”
“ถ้าผมจะรักใคร...ผมขอรักในแบบของผมเอง”
เสียงปรบมือค่อย ๆ ซาไปหลังคำพูดสุดท้ายของพิธีกรจบลง ท่ามกลางบรรยากาศของแสงไฟอุ่น มีนาเดินลงจากเวทีอย่างสง่างาม แต่มือที่ถือไมโครโฟนยังเย็นชืด
รอยยิ้มบนริมฝีปากไม่สามารถซ่อนได้หมด ว่าใจเธอกำลังหวั่นไหว
ขณะเดินผ่านแถวผู้ชม เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นประปราย
“ใช่คนที่เขียนเรื่องฝาแฝดใช่ไหม?”
“ฉันว่าเธอมีอะไรกับพระเอกตัวจริงแน่ ๆ ถึงเขียนได้เจ็บขนาดนี้…”
“หน้าตาเธอไม่เปลี่ยนเลยนะ เหมือนเมื่อสิบปีก่อนในข่าวนั่น…”
มีนาไม่หยุดฝีเท้า แต่หูของเธอได้ยินทุกคำ และใจของเธอก็สะท้อนทุกถ้อยคำ ดั่งกระจกเก่าเต็มรอยร้าวที่ยังไม่เคยถูกเช็ดล้าง
เมื่อถึงโต๊ะเซ็นหนังสือ เธอก็วางปากกาเบา ๆ ลงบนปก “เงารักกลางลวงใจ” ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
คนที่ต่อแถวมาคือหญิงสาวที่ถามคำถามบนเวที เธอยื่นหนังสือให้ และกล่าวเสียงแผ่ว
“ฉันขอโทษนะคะที่ถามตรงไป…”
มีนาสบตาเธอ สายตาเหมือนหญิงสาววัยสิบเก้าในคืนฝนที่บาร์ลับ “ลิโอจิน” หวนกลับมาในวินาทีนั้น
“ไม่ค่ะ...คุณถามดีมาก” มีนาพูดด้วยเสียงที่ไม่สั่น แต่แววตายังเปียกชื้น
หญิงสาวลังเล ก่อนจะถามต่อโดยไม่มองตา
“ในเรื่อง...ตอนนางเอกเดินจากไป คุณเขียนว่าเธอไม่ได้ เลือกใคร เพราะไม่มีใครเคยเลือกเธอ นั่นหมายถึงความจริงใช่ไหมคะ?”
มีนาชะงัก มือที่กำลังเซ็นหยุดกลางคัน เธอหันไปมองกระจกเงาบนเสาด้านหลังโต๊ะ ซึ่งสะท้อนใบหน้าเธอ...และเงาของชายสองคนที่เคยยืนอยู่ข้างเธอในอดีต
พัทธดนย์ ผู้ที่เธอรักมากแทบตาย แต่เลือกจะหลีกเลี่ยงตลอดสิบปี
และดนุ ผู้ที่เธอซื้อมาในราคาหนึ่งล้านบาท และเคยยอมเป็นเงาของคนอื่นเพียงเพื่อได้อยู่ข้างเธอ
สุดท้าย...ไม่มีใครยื่นมือให้เธอยืนเคียงข้างอย่างเท่าเทียม
มีนายิ้มบาง รอยยิ้มที่เหมือนภาพในหนังสือของเธอเอง
“ฉันว่า...ทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเองที่ไม่สามารถ เลือกเรา ได้”
เธอวางปากกา และยื่นหนังสือคืนพร้อมคำขอบคุณ
แต่ภายในใจของเธอ กลับเอ่ยคำที่ไม่มีใครได้ยิน
"ฉันเคยรอให้ใครสักคนเลือกฉัน จนวันหนึ่ง...ฉันเลือกหยุดรอ แล้วหันกลับมาเลือกตัวเอง"
บ่ายวันศุกร์ อากาศร้อนอบอ้าวปะทะกระจกใสของห้องเรียนคณะบริหาร ในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง แสงแดดเจิดจ้า ทว่าในขณะเดียวกัน หัวใจของพัทธดนย์กลับมืดมนและสับสนวุ่นวายกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเขานั่งอยู่แถวหลังสุด ปลายนิ้วเลื่อนไปบนหน้าจอโทรศัพท์ ที่ยังคงปรากฏชื่อเดิม...มีนา ข้อความล่าสุดที่เขาส่งไปเมื่อห้าวันก่อน ยังคงแสดงสถานะ "ยังไม่อ่าน" เช่นเดิมหลังจากวันนั้น วันที่เธอยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าคอนโดของเขา พร้อมกับเอ่ยคำที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาลว่า“ฉันชอบพี่”แต่เขากลับตอบกลับไปด้วยประโยคที่ทิ่มแทงหัวใจของเธอ“พี่ไม่ได้ชอบเรานะ พี่รักมีนาเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง”จากวันนั้น...มีนาก็หายไปจากวงโคจรชีวิตของเขา ไม่มีข้อความ ไม่มีโทรศัพท์ และไม่มีแม้แต่การอ่านข้อความจากไลน์เหมือนที่เคยพัทธดนย์ไม่อยากเชื่อว่าเธอบล็อกเขา แต่สัญญาณที่ได้รับมันชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆเธอ...หายไปจากชีวิตเขาแล้ว และเขาก็ไม่เข้าใจเลย...ว่าทำไมพัทธดนย์รู้จักมีนามาตั้งแต่ยังเด็ก ครอบครัวของเขาทำธุรกิจร่วมกับครอบครัวของเธอ ร้านอาหารของบ้านเขาเป็นพันธมิตรกับบริษัทจัดจำหน่ายวัตถุดิบของบ้านเธอมาเป็นเวลาหลายสิบปีแ
บ่ายวันนั้น ห้องเรียนรวมขนาดกลางที่จัดไว้สำหรับคลาสกลุ่ม ถูกปรับอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่พอดีสบาย เสียงเครื่องปรับอากาศเบา ๆ แทรกอยู่ในบรรยากาศคล้ายกล่อมใจ ก่อนจะผสานกับเสียงปลายนิ้วที่พิมพ์ลงบนแป้นโน้ตบุ๊กของนิสิตคนแล้วคนเล่า คลอไปกับเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันจัดการงานกลุ่มซึ่งเด้งขึ้นบนจอ LED กลางห้อง ทั้งหมดนั้นสร้างความรู้สึกสงบแต่แฝงไว้ด้วยความวุ่นวายของวันที่ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติมีนาเลือกนั่งชิดริมสุดของห้อง ติดกับผนังโปร่งแสงที่เปิดมุมมองสู่สวนเล็ก ๆ ระหว่างคณะ ข้างตัวเธอวางไอแพดไว้หนึ่งเครื่อง พร้อมชีทเรียนที่เพิ่งพิมพ์ออกมาจากระบบกลางของคณะไม่ถึงสิบนาทีหลังจากนั้น ดนุก็เดินเข้ามาในห้องเขาเห็นเธอตั้งแต่ก่อนก้าวผ่านประตูสแกนเข้าเรียน แต่ไม่ได้เดินตรงเข้าไปหาตามเคย หากเลือกนั่งอยู่แถวถัดหลังเธอหนึ่งแถวพอดี ทิ้งระยะไว้อย่างตั้งใจ ราวกับจะบอกเธอผ่านความเงียบว่า...เขาจะไม่ก้าวล้ำไม่มีคำทัก ไม่มีเสียงเรียก มีเพียงความรับรู้ที่วางตัวนิ่งอยู่ในบรรยากาศระหว่างกัน เป็นช่องว่างที่เขาเว้นไว้ เพื่อให้เธอได้หายใจอย่างเป็นอิสระมีนาเหลือบมองเขาผ่านเงาสะท้อนจากจอแท็บเล็ต ก่อนจะถอนหายใ
หลังจากวันนั้น...แม้มีนายังคงต้องเข้าเรียนตามปกติทุกวันเหมือนเดิม ทว่าเธอกลับไม่เคยย่างกรายผ่านใต้ตึกนั้นอีกเลยเธอเปลี่ยนที่นั่งในห้องเรียน เปลี่ยนเส้นทางเดิน ยอมอ้อมไกลกว่าเดิม เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องสบตากับใครบางคน แม้แต่เวลาพัก เธอยังหลีกเลี่ยงคาเฟ่หน้าตึกซึ่งเคยเป็นมุมโปรดในทุก ๆ วันทุกสิ่งที่เธอทำ...เป็นเพียงความพยายามหลีกเลี่ยงผู้ชายคนหนึ่งไม่ใช่เพราะเธอเกลียดเขา แต่เพราะเธอไม่อยากรู้สึกอะไรอีก เธอไม่ต้องการให้หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นหน้าเขา ไม่อยากเผลอยิ้มเพียงเพราะความทรงจำ ไม่อยากยอมรับว่าบางอย่าง...ยังค้างคาอยู่ในใจยิ่งหลีกเลี่ยง...ยิ่งคิดถึงยิ่งไม่อยากเจอ...ใบหน้าเขายิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีในหัวและทั้งหมดนั้น ทำให้เธอเหนื่อยเกินกว่าจะแบกรับไหวเหนื่อยกับการแสร้งว่าไม่เคยรู้จักกัน เหนื่อยกับการทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ในความจริง เขายังคงอยู่เต็มหัวใจของเธอ ไม่เคยเลือนหายไปไหนเลยสิ่งเดียวที่เธอไม่สามารถเปลี่ยนได้...คือหัวใจตัวเอง ที่ยังคงสั่นไหวทุกครั้งที่ได้ยินชื่อเขาด้านดนุเองก็นิ่งเงียบหลังจากวันนั้น ไม่ติดต่อ ไม่เข้าหา ไม่แม้แต่จะพูดอะไรเพิ่มเติม...ราวกับเขาเข้า
หน้าอาคารเรียน ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ เต็มไปด้วยนักศึกษาที่นั่งจับกลุ่มใต้ร่มไม้บังแดด บ้างก็นั่งจิบกาแฟ บ้างเปิดโน้ตบุ๊ก พูดคุยเสียงดังสลับกับเสียงแจ้งเตือนจากแอปต่าง ๆ ที่เด้งขึ้นมาไม่หยุดบรรยากาศดูเหมือนเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง แต่ไม่ใช่สำหรับมีนามีนาเดินช้า ๆ เข้ามาในพื้นที่ที่เธอเคยคุ้น แต่ไม่เคยรู้สึกเป็นของตัวเองอีกเลยหลังจากวันนั้นเสื้อช็อปคณะตัวใหม่ที่เธอสวม ดูไม่เข้ากับบุคลิกนิ่ง ๆ ของเธอสักเท่าไหร่ ผมถูกมัดรวบไว้แบบไม่ตั้งใจ ใบหน้าเธอดูอิดโรยกว่าคนอื่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะนอนไม่พอ...แต่เพราะเธอนอนไม่หลับเลยเมื่อคืน“เจอหน้ากันอีกแล้วเหรอวะ...” เธอบ่นกับตัวเองเบา ๆ เมื่อสายตาเธอกวาดผ่านโต๊ะไม้ตัวยาวข้างต้นพิกุลหน้าตึก และเห็น เขา นั่งอยู่ตรงนั้นดนุในเสื้อโปโลคณะสีกรมท่าตัวเดิม ผมยุ่งนิด ๆ แบบที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่ดันดูดีแบบคนไม่พยายาม เขากำลังนั่งอ่านเอกสารอะไรบางอย่าง โดยมีเด็กปีหนึ่งสองสามคนนั่งอยู่ไม่ไกล คุยกันคิกคักเหมือนชื่นชมพี่ปีสี่สุดเท่มีนารีบหันหลังกลับ พยายามเลี่ยงเหมือนคนที่เห็นผีแล้วไม่อยากถูกมองเห็น แต่สายเกินไป“มีนา” เสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่มันดังก้องในใ
แสงแดดยามบ่ายคล้ายเจือจางลงในวันนั้น ท้องฟ้าสีเทาคลุมคล้ายฝนกำลังมาแต่ยังไม่ตก ลานกิจกรรมกลางคณะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงเรียกชื่อ เสียงแนะนำตัวปนเปกับเสียงดนตรีคลอเบา ๆ จากลำโพงด้านหลังเวทีไม้ที่ถูกตั้งขึ้นชั่วคราวมีนา ยืนอยู่ตรงขอบวงกลมกิจกรรม ในชุดเสื้อคณะสีเลือดหมูตัวเดิมจากสองปีก่อนเธอจำมันได้ดี...เธอเคยอยู่ตรงนี้...รอยยิ้ม เสียงหัวงเราะกับเกมรับน้อง โดนล้อชื่อเล่น โดนพี่ปีสามแกล้งให้บอกรักเพื่อนข้าง ๆ สารพัดกิจกรรมที่เคยทำให้เธอมีความสุขมากที่สุด เป็นอีกวันที่สดใสสำหรับเธอ และได้รับมิตรภาพใหม่ๆ รวมถึงรู้จักรุ่นพี่และได้รับการยอมรับในสังคมใหม่อีกด้วยตอนนั้น เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพร้อมโอบกอดเธอไว้ตอนนั้น...เธอมีรอยยิ้มตอนนี้...เธอกลับยืนเงียบ มองทุกอย่างเหมือนคนภายนอกที่กำลังเฝ้ามองตัวเองในอดีตไม่มีใครรู้ว่า... สองปีที่เธอหายไป ไม่ใช่การย้ายมหาลัยแต่เพราะโรคซึมเศร้ารุนแรงและภาวะว่างเปล่าที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ ในช่วงเวลานั้นหัวใจของเธอแตกสลายจนกว่าจะเยียวยาให้เหมือนเดิมได้อีก ไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องผ่านช่วงเวลาอันแสนโหดร้ายเพียงลำพังนั้นทรมานมากแค่ไหน มีเพียบหมอกับพยาบ
ฝนตก...อีกแล้วเหมือนในทุกคืนที่เธอรู้สึกว่าโลกนี้ไม่เหลือใครกรุงเทพฯ ยังคงเปียกปอนไปด้วยแสงไฟสลัว น้ำฝนไหลเป็นเส้นเล็ก ๆ บนกระจกบานใหญ่ของบาร์ลับชั้นดาดฟ้า “ลิโอจิน” กลิ่นเปียกชื้นผสมกับความหรูหราเบาบางของเหล้าวิสกี้และน้ำหอมแพง ๆ คลุ้งอยู่ในอากาศมีนา นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง VIP มือของเธอกำแน่นรอบแก้วไวน์แต่ไม่ได้จิบสักหยด ริมฝีปากแตะแก้วเพียงเพื่อกลบอาการสั่นไหวของความรู้สึก แววตาของเธอไม่มองอะไรเลยนอกจากจอโทรศัพท์ที่ยังเปิดอยู่“พัทธดนย์ ควงคู่หมั้นเปิดตัวกลางงานแฟชั่นวีค”ภาพข่าวบาดตา บาดลึกยิ่งกว่ามีดเล่มไหน เพราะผู้หญิงคนนั้น...ใส่นาฬิกาเรือนเดียวกับที่มีนาเคยใช้เงินเก็บทั้งปีซื้อให้เขาเธอกดปิดหน้าจอ แล้วหันไปทางผู้จัดการบาร์ที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ“ที่นี่มีอะไร...ที่ลบความรู้สึกเจ็บปวดตอนนี้ได้ดีกว่าเหล้าไหม?” เธอถามเสียงแผ่ว เบาเสียจนแทบกลืนลงคอไม่หมดผู้จัดการหญิงยิ้มบางอย่างรู้ทัน เธอไม่พูดมาก เพียงยื่นแฟ้มหนังสือเล่มหนึ่งให้มีนาเปิดแฟ้มอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งมาถึงหน้า ๆ หนึ่ง... มือของเธอก็หยุดนิ่งในรูปถ่าย ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตดำยืนพิงผนังอย่างไม่ใส่ใจ แววตาในภาพเหมือนก
Komen