ในคืนที่หัวใจแตกสลาย เธอใช้เงินหนึ่งล้านบาท ซื้อผู้ชายคนหนึ่ง…เพื่อ “ลืมเขา” แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เพราะชายคนนั้น...มีใบหน้าเหมือนณภัทร ผู้ชายที่เธอรักมาหลายปีทุกกระเบียดนิ้ว “ผมสามารถเป็นใครก็ได้…ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” และเธอก็เลือกจะหลอกตัวเอง…ว่ารักเขาในแบบที่เขาเป็น แม้ในใจจะรู้ว่า…เขาไม่ใช่คนเดิม เมื่อความจริงเปิดเผย ทั้งคู่คือ “ฝาแฝด” ที่ถูกพรากจากกันตั้งแต่เกิด หนึ่งเติบโตในเกียรติยศ อีกหนึ่ง...ในความเจ็บปวดและความอัปยศ ในที่สุด มีนาจะเลือกใคร?
view moreฝนตก...อีกแล้ว
เหมือนดั่งทุกค่ำคืนที่เธอรู้สึกว่าโลกทั้งใบไม่หลงเหลือใครอีก
กรุงเทพฯ ยังชุ่มด้วยสายฝน ภายใต้แสงไฟสีส้มหม่นที่สะท้อนเป็นเงารางบนกระจกใสของบาร์ลับบนชั้นดาดฟ้า "ลิโอจิน" ละอองฝนบาง ๆ ไหลย้อยเป็นทางลงบนบานกระจก กลิ่นอับชื้นของฝนเจือปนอยู่กับกลิ่นหวานขมของวิสกี้ และความหรูหราบางเบาจากน้ำหอมราคาแพงที่ลอยคลุ้งในอากาศ
มีนา นั่งอยู่เงียบ ๆ ที่มุมหนึ่งของห้องรับรองวีไอพี มือเรียวของเธอกำแน่นรอบแก้วไวน์สีแดงเข้ม แต่กลับไม่เคยยกจิบแม้เพียงหยดเดียว ริมฝีปากของเธอเพียงแตะแก้วไวน์ราวกับต้องการกลบความสั่นไหวภายใน สายตาไม่ได้มองสิ่งใดเลยนอกจากหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงเปิดค้างไว้
“ณภัทร ควงคู่หมั้นเปิดตัวกลางงานเลี้ยงของบริษัท”
ข่าวพาดหัวแทงลึกยิ่งกว่าคำพูดใด ภาพในข่าวทำให้ใจเธอชาวาป เพราะหญิงสาวในภาพนั้น...สวมนาฬิกาเรือนเดียวกับที่เธอเคยใช้เงินเก็บทั้งปีเพื่อซื้อให้เขา มีนาแตะปุ่มปิดหน้าจออย่างแน่นิ่ง ก่อนจะหันไปยังผู้จัดการบาร์ที่เดินเข้ามาโดยไม่มีเสียง
“ที่นี่มีอะไร...ที่ลบความรู้สึกเจ็บปวดตอนนี้ได้ดีกว่าเหล้าไหม?” เธอเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา จนแทบกลืนหายไปในลำคอ
ผู้จัดการหญิงยิ้มบาง อย่างรู้ทัน ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด เพียงแค่ยื่นแฟ้มหนังเล่มหนึ่งมาให้
มีนารับไว้ เปิดแฟ้มอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งสายตามาหยุดอยู่ที่หน้าใดหน้าหนึ่ง มือของเธอก็หยุดนิ่งไป...
ภาพถ่ายในแฟ้มเผยให้เห็นชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำ ยืนพิงผนังด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก ทว่าดวงตาของเขาในภาพนั้น เหมือนใครบางคนที่เธอรู้จัก...จนเกินไป"No.13 ของลึกลับ"
นักศึกษาปี ๔ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สูง ๑๘๓ เซนติเมตร มีรอยปานสีแดงที่ต้นคอด้านซ้าย
ปานแดง
หัวใจของเธอสั่นไหวโดยไร้เหตุผล
“ฉันขอประมูลเขา...เท่าไหร่ก็ได้”
บันไดวนแคบทอดลึกลงสู่ห้องลับใต้บาร์ “ลิโอจิน”
มีนาเดินตามผู้จัดการลงไปอย่างเงียบงัน เสียงส้นรองเท้าของเธอกระทบพื้นหินอ่อนเย็นเยียบ ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทราวกับเสียงหัวใจของเธอที่เต้นไร้จังหวะ ประตูบานหนักเปิดออกอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมทึบที่ตกแต่งด้วยม่านกำมะหยี่สีแดงเข้ม พื้นไม้เนื้อแข็งขัดเงาวาววับ โต๊ะไม้ยาวทอดตัวอยู่กลางห้องรับแสงจากโคมไฟสีทองที่แขวนอยู่เหนือศีรษะ ราวกับฉากหนึ่งในโรงละครลับ
ภายในห้องเงียบงันจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจเบา ๆ ของชายหญิงที่นั่งอยู่ประปรายสองฝั่งโต๊ะ แต่ละคนมีแฟ้มเอกสารวางอยู่ตรงหน้า ไม่มีการทักทาย ไม่มีคำถาม ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบของความสงสัย มีนาเดินไปนั่งอย่างมั่นคงที่เก้าอี้ตัวท้ายสุด เธอไม่มองใคร และไม่ต้องการให้ใครมองตอบ
ผู้จัดการหญิงเดินเข้ามาด้วยท่าทีสงบนิ่ง พลิกแฟ้มในมือแล้ววางลงบนแท่นไม้ตรงกลางห้อง
“คืนนี้...เรามีผู้เข้าร่วมใหม่หมายเลขสิบสาม ‘No.13 ‘ ’ของลึกลับ’
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังจากทั้งสองฝั่งของโต๊ะ มีนาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตากับภาพชายหนุ่มที่ปรากฏอยู่บนจอขนาดเล็กกลางแท่น
ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตสีเข้มยืนพิงผนังอย่างเฉยชา ไม่มองกล้อง ไม่ยิ้ม ดวงตานิ่งงัน เย็นเยียบ แต่ในความเย็นชานั้น มีแววบางอย่างที่คล้ายกับความเจ็บซ่อนอยู่ลึกสุดของม่านตา
เขาไม่มีชื่อ ไม่มีประวัติแน่ชัด มีเพียงรหัส นักศึกษาปีสี่ และรอยปานสีแดงที่ต้นคอ
หัวใจของมีนาสะท้านวูบ เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังแล่นเข้ามานั้นคือความเจ็บ ความหวัง หรือบาดแผลเก่าที่กำลังปริแตกขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงผู้จัดการหญิงเริ่มต้นกระบวนการ
“เริ่มต้นประมูลที่หนึ่งแสนบาท...”มือของผู้ร่วมประมูลฝั่งตรงข้ามยกขึ้นอย่างเป็นจังหวะ
“หนึ่งแสน”
“สองแสน”
มีนาเงียบ ไม่ไหวติง จนกระทั่งเสียงเรียก “สามแสน” ดังขึ้น
เธอจึงลุกขึ้นอย่างมั่นใจ เดินตรงไปยังแท่นไม้กลางห้อง วาง "บัตรแบล็กการ์ด" ลงอย่างชัดเจน
เสียงของเธอดังชัด หนักแน่นกว่าครั้งไหน ๆ“หนึ่งล้านบาท”
ห้องทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีเสียงท้าชิง ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบ มีเพียงบรรยากาศแน่นขนัดที่อบอวลไปด้วยแรงกดดัน ทุกคนต่างเงียบ...เหมือนยอมจำนนต่อแววตาของผู้หญิงที่ดูเหมือนจะ “ไม่กลัวความเจ็บปวดอีกต่อไป”
เสียงไม้เคาะดังขึ้น เป็นสัญญาณปิดการประมูล“ผู้หญิงท่านนี้ ชนะการประมูล No.13 ในราคา หนึ่งล้านบาท”
ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีคำยินดี มีเพียงเสียงหัวใจของเธอ...ที่เต้นอย่างสิ้นหวัง เพราะเธอไม่ได้ซื้อใครสักคนเพื่อรัก
แต่เธอกำลังจ่ายเงินล้าน เพื่อซื้อใครบางคน... ที่จะช่วยเธอลืมคนที่เธอรักจนเจ็บแทบตายห้อง VIP 007
แสงไฟสีทองนวลอ่อนตกกระทบลงบนใบหน้าของมีนาอย่างแผ่วเบา เธอนั่งนิ่งอยู่บนโซฟากำมะหยี่หรูหรา ภายในห้องที่เงียบเสียจนได้ยินเพียงเสียงฝนกระทบกระจกอย่างต่อเนื่อง ราวกับกล่อมให้หัวใจที่หนักอึ้งได้หยุดพัก
ประตูเปิดออกเบา ๆ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาเงียบงัน เขาสวมหน้ากากครึ่งหน้า ทว่ากิริยา การก้าวเดิน ลมหายใจ...ทุกอย่างเหมือณภัทรจนใจเธอสั่นไหวไม่สิ...ไม่ใช่เขา
“ผมสามารถเป็นใครก็ได้ ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” เสียงของเขาทำให้บางสิ่งในอกเธอเจ็บวาบ
“คุณก็พูดเหมือนเขา...” เธอพึมพำ “คนที่ฉันพยายามจะลืม...” มีนาเดินเข้าใกล้ ปลายนิ้วแตะเบา ๆ ที่ลำคอของเขา บริเวณนั้น...มีรอยปานแดงจาง ๆ เหมือนกับเด็กชายคนหนึ่งที่เธอเคยรู้จัก เธอสะดุ้งและชักมือกลับทันที ราวกับแตะต้องไฟร้อน
“คืนนี้...คุณไม่ต้องเป็นใครเลยก็ได้” เสียงของเธอเรียบแข็งราวกับไร้ความรู้สึก
“คุณแค่...ทำให้ฉันมีความสุข”
“ความสุขที่ ...ทำยังไงก็ได้”
รถแท็กซี่สีเขียวเหลืองค่อยๆ ลัดเลาะขึ้นสู่เนินเขาในจังหวัดเชียงใหม่ ถนนสายเล็กคดเคี้ยวราวกับกำลังพาเธอเดินทางย้อนกลับเข้าไปในความทรงจำของใครบางคน ทิวทัศน์สองข้างทางแปรเปลี่ยนจากตึกสูงและคาเฟ่ทันสมัย เป็นบ้านไม้เก่า ไร่กาแฟ และทิวไม้สูงที่ยืนตระหง่านเงียบงัน ราวกับผู้พิทักษ์ที่เฝ้ามองผู้มาเยือนมีนานั่งชิดริมหน้าต่าง สองมือกอดกระเป๋าสะพายไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวของมีค่าสูญหาย แต่เพราะหัวใจที่เต้นระรัวจนต้องหาที่ยึดเหนี่ยวไออุ่นจากแสงแดดที่ส่องลอดกระจกเข้ามาไม่อาจบรรเทาความเย็นเยียบในอกของเธอได้ ตั้งแต่ได้รับเบาะแสจากธนากรเกี่ยวกับชลธิชา เธอก็รู้ดีว่าการมาที่นี่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เธอเคยรู้... และอาจจะเปลี่ยนชีวิตของดนุไปตลอดกาลรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนบุคคลที่ปูด้วยหินกรวด ป้ายไม้เก่าที่สลักชื่อ “บ้านร่มลีลา” ปรากฏแก่สายตา ด้านหลังรั้วไม้เตี้ยๆ คืออาณาบริเวณที่สงบร่มรื่น สนามหญ้าสีเขียวสดดูสบายตา ต้นลีลาวดีต้นใหญ่กำลังผลิดอกสีขาวสะพรั่ง กลีบดอกบางส่วนร่วงหล่นโปรยปรายบนพื้นราวกับพรมธรรมชาติอาคารบ้านพักคนชราสีขาวชั้นเดียวดูเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่งและอบอุ่นมีนาจ่ายค่าโดยสาร
เสียงโห่ร้องและถ้อยคำก่นด่าในห้องประชุมยังคงก้องสะท้อน แต่พัชรลักษณ์กลับยืนนิ่งสงบอยู่บนโพเดียมอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าที่เคยเย็นชาดุจน้ำแข็ง บัดนี้เริ่มปรากฏรอยสั่นไหวที่ไม่อาจซ่อนเร้นดวงตาคมกล้าที่เคยกดข่มทุกคนจนสิ้นฤทธิ์ บัดนี้กลับสั่นพร่าราวกับม่านน้ำตาบางๆ กำลังก่อตัวขึ้น ต้านทานแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวอีกต่อไป เขาจ้องลึกลงไปที่ดนุ คู่ปรับคนสำคัญที่ยืนนิ่งอยู่กลางเวที... มุมปากของอีกฝ่ายกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับสู่ความเรียบเฉยที่น่าขนลุกแววตาของพัชรลักษณ์ที่เคยทอประกายแห่งอำนาจ บัดนี้เหลือเพียงร่องรอยความร้าวรานที่ซ่อนอยู่ลึกสุดใจ ริมฝีปากพยายามขยับราวกับอยากจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา มีเพียงความเงียบที่น่าอึดอัดแล้วจู่ๆ...ร่างสูงใหญ่ที่เคยสง่างามของพัชรลักษณ์ก็ซวนเซ มือหนากำขอบโพเดียมไม้เนื้อแข็งแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดฮวบลง... หมดสิ้นสภาพของราชันผู้ยิ่งใหญ่“พ่อ!”ณภัทรตะโกนสุดเสียง ทะยานฝ่าความวุ่นวายและกลุ่มนักข่าวที่เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะได้สัมผัสร่างของบิดา
รุ่งอรุณของวันถัดมา ดนุยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ภาพที่สะท้อนกลับมาคือชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบ แต่แววตากลับไม่ใช่คนเดิม มันคือดวงตาของคนที่ความเจ็บปวดได้หล่อหลอมให้กลายเป็นเหล็กกล้า... แข็งแกร่งและแน่วแน่เขาล้วงมือลงในกระเป๋า สัมผัสม้วนเทปของแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเก็บมันกลับใส่กล่องไม้อย่างทะนุถนอม มันคือคำมั่นสัญญากับตัวเองวันนี้… โลกทั้งใบจะได้ยินเสียงของชลธิชาในเวลาเดียวกัน คฤหาสน์พัชรลักษณ์ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด อากาศหนักอึ้งราวกับมีพายุก่อตัวอยู่ภายใน พัชรลักษณ์ในชุดสูทสั่งตัดอย่างประณีตราวกับชุดเกราะ ก้าวออกจากห้องทำงานด้วยท่าทีสงบนิ่ง แววตาคมกริบฉายชัดถึงความเย่อหยิ่งที่ฝังลึก เขารู้ว่าทุกสายตากำลังจับจ้อง แต่สำหรับเขา… นี่เป็นเพียงอีกเกมหนึ่งที่เดิมพันด้วยทุกสิ่ง และเขาไม่เคยคิดที่จะแพ้ณภัทรเดินตามหลังบิดาเงียบๆ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง “ตั้งสติไว้” พัชรลักษณ์เอ่ยเสียงต่ำ ราบเรียบแต่ก้องกังวาน “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้” ณภัทรทำได้เพียงพยักหน้ารับ โดยไม่กล้าแม้แต่จะสบตาช่วงบ่าย การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทพัชรลักษณ์เริ่มต้นขึ้น พร้อมการ
ตอนที่ 61: ปริศนาน้ำเสียงในเทปเก่าคำปฏิเสธของพัชรลักษณ์ยังคงตามหลอนอยู่ในความคิดของดนุ มันไม่ใช่แค่เสียงที่ก้องกังวาน แต่เป็นเหมือนเศษแก้วที่ทิ่มแทงซ้ำๆ ลงบนบาดแผลเดิม เขาเดินทางกลับมายังบ้านเก่าของแม่ สถานที่ซึ่งความทรงจำและความเงียบงันจับตัวกันแน่นในอากาศ จนแทบจะหายใจไม่เข้าห้องเก็บของที่กาลเวลาได้ผนึกไว้เปิดอ้าออก ฝุ่นละอองลอยวนในลำแสงอาทิตย์ซึ่งลอดผ่านรอยร้าวบนบานหน้าต่าง ดนุนั่งคุกเข่าลงบนพื้นไม้เก่า มือใหญ่ไล่สำรวจกล่องกระดาษทีละใบ จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดนิ่งอยู่ที่ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ...ตุ๊กตาที่ประดับด้วยรอยปะชุนจากฝีมือของแม่เขามองมันนิ่ง สายตาจมลึกลงในความว่างเปล่า... พาความคิดย้อนกลับไปเห็นภาพแม่กำลังนั่งซ่อมมันอย่างใจเย็น ก่อนที่ปลายนิ้วหนาจะค่อยๆ เลาะตะเข็บด้ายบริเวณต้นคอของตุ๊กตา และในโพรงเล็กๆ นั้น… ม้วนเทปคาสเซ็ตต์ขนาดเล็กซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบงันดนุหยิบมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ลมหายใจหนักหน่วงราวกับมีหินถ่วง เขาเสียบเทปลงในเครื่องเล่นเก่า เสียง “คลิก” ดังแผ่วเบา และทันทีที่มันเริ่มหมุน…เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็เล็ดลอดออกมา เสียงที่ขาดห้วงและสั่นพร่า ทุกพยางค์เปียกชุ่มด้วยคว
ตอนที่ 60: พิสูจน์สายเลือด ห้องแถลงข่าวแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ยืน แสงแฟลชสว่างวาบไม่หยุดหย่อนราวกับพายุสายฟ้า เสียงจอแจดังระงมจนอื้ออึง อุณหภูมิในห้องราวกับจะสูงขึ้นทุกวินาทีภายใต้แรงกดดันมหาศาลพัชรลักษณ์ก้าวขึ้นสู่โพเดียมด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง แต่แววตาคมกริบดุจมีดที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกคำถาม เขากวาดสายตามองทั่วห้อง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ชัดถ้อยชัดคำ“ในฐานะหัวหน้าตระกูลผมขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน... ชายที่ชื่อดนุ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดใดๆ กับตระกูลของเราแม้แต่น้อย”เสียงฮือฮาดังกระหึ่มราวกับระเบิดลง แต่พัชรลักษณ์ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง“เขาไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากมิจฉาชีพ ที่ใช้เอกสารปลอมเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยมีสิทธิ์!”คำประกาศิตนั้นถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว โลกออนไลน์ลุกเป็นไฟ#ดนุเป็นมิจฉาชีพพุ่งทะยานขึ้นอันดับหนึ่งในเวลาไม่ถึงชั่วโมงในอีกฟากหนึ่งของเมือง ดนุนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพังในห้องสี่เหลี่ยมเงียบสงัด สายตาจับจ้องอยู่ที่กล่องไม้เก่าบนโต๊ะ... กล่องที่กาลเวลาได้ทิ้งร่องรอยไว้เนิ่นนานมือใหญ่ของเขาค่อยๆ เผยอฝากล่องออกอย่างแผ่วเบาภายในมีเพียงฟันน้ำนมซี่เล็กที่ถู
มีนาก้าวออกจากคฤหาสน์ราวกับวิญญาณที่ถูกขับออกจากร่าง หลังจากเจ้าหน้าที่อายัดทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น เสียงรองเท้าของเธอกระทบพื้นหินเย็นเฉียบ ความเงียบรอบกายหนาหนักจนบีบหัวใจ ลมหนาวพัดกรีดผิวจนชา แต่ในอกกลับกลวงโบ๋... ว่างเปล่าจนน่าใจหายทุกอย่างจบสิ้นแล้ว… แต่ทำไมมันถึงไม่รู้สึกเหมือนได้เป็นอิสระเลยแม้แต่น้อยเสียงสั่นเตือนจากโทรศัพท์ฉุดเธอจากห้วงอเวจี ข้อความจากเบอร์ที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นบนหน้าจอ“มาเจอกัน”ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีสถานที่... และเธอก็ไม่จำเป็นต้องถาม เพราะมีเพียงที่เดียวเท่านั้นที่เขาจะเรียกเธอไปหาโกดังร้างนอกเมือง...ประตูเหล็กสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ผิวสนิมของมันสะท้อนแสงจันทร์ซีดเซียว กลิ่นฝุ่นและโลหะลอยคละคลุ้งจนแสบจมูก เสียงลมลอดผ่านช่องโหว่ดังโหยหวนคล้ายเสียงคร่ำครวญของอดีตมีนาผลักบานประตูด้วยแรงทั้งหมดที่มี เสียง “เอี๊ยด…” แหลมยาวกรีดผ่านความเงียบงันราวกับคำเตือนสุดท้าย… แต่เธอก็ยังก้าวเข้าไปภายในมืดสลัว เงาทอดยาวพันกันราวกับใยแมงมุมที่ดักรอเหยื่อ และณ ใจกลางเงานั้น... เขายืนอยู่ ดนุพิงเสาเหล็ก แผ่นหลังสูงใหญ่บดบังทุกสิ่ง แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับสว่างวาบ... เป็นแสงเด
Mga Comments