เข้าสู่ระบบเกือบเที่ยงคืน ข้อความจากดนุก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ของมีนา ไม่ต้องเปิดดูชื่อ เธอก็รู้ว่าเป็นเขา สองบรรทัดสั้น ๆ ที่ทำให้เธอหยุดนิ้วไว้กลางอากาศ ราวกับข้อความนั้นพูดออกมาได้ด้วยตัวเอง
"คืนนี้มาที่สนามแข่งฝั่งตะวันตก แถวตลิ่งชันได้มั้ย ผมไม่ได้ขออะไรมาก... แค่อยากให้คุณมาเห็นผมในอีกแบบ"
ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำขอร้อง ไม่มีแม้แต่เหตุผลให้ไว้ใจ แต่เพราะเป็นเขา... เธอจึงตัดสินใจไป
—
สนามแข่งอยู่ใต้สะพานขนาดใหญ่ ด้านล่างเป็นลานคอนกรีตโล่งที่เต็มไปด้วยรอยยางไหม้และคราบน้ำมันเก่า ๆ เสียงล้อรถเสียดกับพื้นดังสะท้อนอยู่ในอากาศเหมือนประกาศให้รู้ว่านี่คืออีกโลกหนึ่ง
ไม่มีป้าย ไม่มีไฟมาตรฐาน มีเพียงแสงไฟสปอร์ตไลต์ที่สาดเป็นจุด ๆ สว่างบ้าง มืดบ้าง ราวกับฉากในหนังที่เลือกเปิดเผยแค่บางมุมของเรื่อง
กลุ่มวัยรุ่นในเสื้อแจ็กเก็ตหนังยืนจับกลุ่มกัน บ้างหัวเราะ บ้างส่งเสียงเชียร์ เสียงเครื่องยนต์คำรามสนั่นเป็นจังหวะ ควันไอเสียเจือกลิ่นยางเบรกไหม้และน้ำมันลอยคละคลุ้งในอากาศ ไฟหน้ารถสาดส่องตัดผ่านความมืดเป็นสายสว่างสลับกับเงา ให้บรรยากาศโดยรอบดูสั่นไหวและอันตรายอย่างน่าหลงใหล
มีนาเดินเข้าไปช้า ๆ ชุดนักศึกษาที่เธอสวมดูไม่เข้ากับที่นี่เลยสักนิด แต่เธอกลับไม่ลังเลแม้แต่น้อย ในหัวของเธอมีเพียงคำเดียว... เขา
ลึก ๆ เธอรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ และเธอก็แค่เดินตรงไปโดยไม่หันกลับมามองทางที่มาเลย
เสียงเครื่องยนต์คำรามขึ้นอีกครั้ง รถสปอร์ตสีดำพุ่งเข้าโค้งอย่างแม่นยำและดุดัน ฝูงชนข้างสนามเบี่ยงตัวหลบกันตามจังหวะ แต่มีนาไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว
เธอรู้ว่าเป็นเขา
รถชะลอความเร็วลงอย่างมั่นคง แล้วเลื่อนมาหยุดตรงหน้าเธอพอดี หน้าต่างฝั่งคนขับเลื่อนลงอย่างช้า ๆ สายตาคมกริบของเขาทะลุออกมาจากเงาควัน
"ขึ้นมา... ผมอยากให้คุณเห็นผม ในแบบที่ไม่มีใครเคยได้เห็น"
เธอไม่ได้ตอบอะไร แค่เอื้อมมือเปิดประตู แล้วขึ้นไปนั่งข้างเขาอย่างเงียบ ๆ
ทันทีที่ปิดประตู รถก็ทะยานออกจากจุดสตาร์ต เสียงเครื่องยนต์พุ่งแหวกความเงียบรอบตัว ถนนโค้งที่ทอดไกลดูเหมือนถูกขีดไว้ด้วยมือคนที่รู้ทางนี้ดีกว่าใคร
แรงเหวี่ยงจากความเร็วทำให้ร่างของมีนาเอนไปตามแรงดึง มือเธอคว้าแขนเขาไว้โดยไม่ทันตั้งใจ
มือเธอสั่นนิด ๆ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะหัวใจของเธอมันเต้นแรงเกินไป
เขายังคงจดจ่อกับพวงมาลัยเหมือนเดิม แต่ริมฝีปากเขาโค้งเป็นรอยยิ้มบาง ๆ
ในกระจกมองหลัง ดวงตาของเขาเป็นประกาย ทั้งอบอุ่น... และแฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ควรระวัง
เมื่อจบรอบ เขาจอดรถชิดขอบสนาม เสียงเครื่องยนต์ดับลง ทิ้งให้บรรยากาศเงียบสงบผิดปกติ
ลมกลางคืนพัดผ่านเปิดหน้าต่างเล็กน้อย พัดปลายผมของมีนาเบา ๆ เหมือนมือของใครบางคนที่มองไม่เห็น
"คุณแข่งรถบ่อยเหรอ?" มีนาถาม พยายามทำเสียงให้มั่นคงที่สุด
เขาหันมาสบตาเธอ
"ถ้าผมบอกว่าไม่... คุณจะเชื่อไหม?"
เธอยักไหล่เบา ๆ
"ไม่รู้สิ... ฉันก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใครจริง ๆ กันแน่"
ทุกอย่างเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะกลั้นใจถามอีกครั้ง
"คุณรู้จักณภัทรใช่ไหม?"
คำถามนั้นเหมือนยิงตรงเข้าใจกลางของเขา เขาถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะดึงคอเสื้อให้ต่ำลง
ใต้เนื้อผ้า มีรอยสักลายเรขาคณิตเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ เส้นสายเหล่านั้นคล้ายกับที่เธอเคยเห็นในรูปเก่าของณภัทรไม่มีผิด
"บางอย่าง... คุณไม่รู้จะดีกว่า เรื่องบางเรื่องยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น"
น้ำเสียงของเขานิ่ง แต่ไม่เย็นชา มันเหมือนคำเตือนที่ปนด้วยความห่วงใยบางอย่างที่ไม่อาจพูดตรง ๆ
ใจเธอกระตุกเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่หยุด
"คุณเข้าหาฉัน... เพราะคุณต้องการเล่นงานเขาใช่ไหม?"
ดนุหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นฟังดูเหนื่อยและเศร้าจนเธอไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
"คุณฉลาดเกินไปแล้วนะ"
เขาเอื้อมมือไปกดกระจกหน้าต่างปิด เสียงลมจากภายนอกหายไปในพริบตา
เขาก้มมองพวงมาลัยนิ่ง ๆ แล้วพูดด้วยเสียงช้า ๆ
"บางที... ผมก็เริ่มลังเลเหมือนกัน"
มือของเขากำพวงมาลัยแน่นขึ้น ดวงตาไม่มองเธอ แต่คำพูดกลับตรงเข้าสู่ใจ
"ลังเลว่า... ผมอยากใช้คุณเป็นเครื่องมือ หรือแค่อยากให้คุณอยู่ข้าง ๆ เหมือนตอนนี้"
คำสารภาพที่ออกมาตรงๆ หนักแน่นจนเธอไม่รู้จะตอบกลับยังไง
มีนาได้แต่นั่งนิ่ง ปล่อยให้ทุกอย่างรอบตัวเงียบลงอีกครั้ง เธอกับเขาต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นแบบไหน หรือแม้แต่... หลังจากคืนนี้ เขากับเธอจะยังคุยกันอยู่ไหม หรือจะกลายเป็นคนแปลกหน้าที่เคยมีความทรงจำร่วมกันเพียงชั่วคืนเดียว
ข่าวใหญ่ระเบิดขึ้นมาโดยไม่มีใครตั้งตัว... มันเริ่มต้นจากสำนักข่าวออนไลน์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ได้รับไฟล์ข้อมูลนิรนามซึ่งถูกเข้ารหัสไว้อย่างแน่นหนา นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งใช้เวลาทั้งคืนในการถอดรหัสไฟล์นั้น... และสิ่งที่เขาค้นพบก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจมันคือหลักฐานชุดสุดท้ายที่หน่วยเงาของดนุรวบรวมไว้ก่อนที่จะยุติบทบาทลง... คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่หายไปของโศกนาฏกรรมตระกูลพัชรลักษณ์ทั้งเส้นทางการเงินที่โยงใยไปยังบุคคลลึกลับ, คลิปเสียงบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ถูกบันทึกไว้ในอดีต, และคำให้การของพยานที่เคยถูกข่มขู่ให้ปิดปาก... หลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่บุคคลคนเดียวกัน... คนที่ไม่มีใครเคยคาดคิดอำภา... อดีตภรรยาของพัชรลักษณ์ และผู้หญิงที่ณภัทรเรียกว่า ‘แม่’ มาทั้งชีวิตภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทุกสำนักสื่อ พาดหัวข่าวตัวใหญ่ปรากฏขึ้นบนทุกแพลตฟอร์ม: ‘อำภา: นางพญาหลังม่านเลือด?’, ‘เปิดโปงจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย: เบื้องหลังโศกนาฏกรรมตระกูลพัชรลักษณ์’, และ ‘จากเหยื่อ... สู่ผู้สมรู้ร่วมคิด?’สังคมตกอยู่ในความสับสน... ภาพลักษณ์ของหญิงสูงศักดิ์ที่น่าสงสารและถูกสามีกดขี่ บัดนี้ได้พังทลายลงในชั่ว
ความเย็นเยียบของห้องเก็บศพที่แผนกนิติเวชกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของดนุไปแล้ว เขากำลังใช้ผ้าชุบแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดเตียงสแตนเลสที่ว่างเปล่าอย่างเงียบๆ การทำงานบริการสังคมของเขาที่นี่คือการเผชิญหน้ากับความตายในรูปแบบที่สงบและเป็นธรรมดาที่สุด... มันคือการมอบเกียรติครั้งสุดท้ายให้กับร่างไร้วิญญาณที่ไม่เคยมีใครแสดงความอาลัยท่ามกลางความเงียบนั้นเอง... โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นขึ้นเบาๆ ในกระเป๋ากางเกงมันเป็นอีเมลฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาถึงเขาโดยตรง... คำเชิญจากรายการออนไลน์เล็กๆ ที่ชื่อว่า “เราคือคนที่เปลี่ยนได้ไหม”ดนุเหลือบมองชื่อรายการและรายละเอียดคร่าวๆ ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า... ‘รายการสนทนาเชิงลึกที่จะเชิญบุคคลที่เคยผ่านจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตมาพูดคุยถึงการเดินทางภายใน’... เขาไม่มีความปรารถนาที่จะกลับไปอยู่ใต้แสงไฟหรือตอบคำถามของใครอีกแล้ว โลกใบนั้นมันได้ตายไปจากเขาแล้ว... เขาจึงกดลบอีเมลนั้นทิ้งไปในทันทีแต่ในคืนนั้นเอง... ขณะที่เขากำลังนั่งอ่านรายงานความคืบหน้าของเด็กๆ ในโครงการทุนการศึกษา ‘ชีวิตใหม่’ ที่ออฟฟิศของมูลนิธิ เขาก็ได้เปิดอ่านจดหมายจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พ่อของ
ดนุลืมตาตื่นขึ้นก่อนที่แสงแรกของวันจะมาถึง เขานั่งนิ่งๆ อยู่บนระเบียงไม้ของ ‘เรือนเยียวยา’ ปล่อยให้สายลมเย็นๆ ของภาคเหนือลูบไล้ใบหน้า ในความเงียบสงบยามเช้า เขานึกย้อนไปถึงชีวิตที่ผ่านมา... ชีวิตที่เคยอยู่ในเงามืด, ชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยความแค้น, และชีวิตที่เพิ่งจะค้นพบความหมายที่แท้จริง เขานึกถึงคำพูดสุดท้ายของลุงกร... ‘พอได้แล้วกับการทำลาย... จากนี้ไป จงใช้ชีวิตเพื่อเยียวยา’ วันนี้... คือวันแรกของการ ‘สร้าง’ อย่างเป็นทางการแสงแดดในวันนั้นดูสว่างและอบอุ่นกว่าวันไหนๆ ทุ่งนาสีเขียวขจีรอบเรือนเยียวยาต้องแสงจนกลายเป็นสีทองอร่าม สายลมที่พัดผ่านนำพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงหัวเราะของผู้คนให้ลอยไปทั่วบริเวณวันนี้คือวันเปิดศูนย์เรือนเยียวยาอย่างเป็นทางการงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและเป็นกันเอง ไม่มีพิธีรีตองที่หรูหรา ไม่มีนักการเมืองหรือสื่อมวลชนกระแสหลัก มีเพียงผู้หญิงจากทั่วทุกสารทิศที่เดินทางมาที่นี่... ผู้หญิงที่เคยมีบาดแผล, ผู้หญิงที่กำลังมองหาความหวัง และผู้หญิงที่พร้อมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเธอนั่งพูดคุยกันบนเสื่อที่ปูไว้ตามลานดิน แลกเปลี่ยนเรื่องราวและมอบรอยยิ้มให้แก่กันและกัน
เช้าวันนั้นที่ ‘เรือนเยียวยา’ ดนุไม่ได้ตื่นขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดหรือเตรียมอาหารเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้เขามีภารกิจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตรออยู่ เขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เรียบง่ายที่สุดและกางเกงสีเข้ม ขับรถกระบะคันเก่าที่ใช้ในมูลนิธิออกเดินทางไปยังตัวอำเภอเพียงลำพังถนนหนทางที่เขาขับผ่านเต็มไปด้วยภาพชีวิตที่แสนจะธรรมดา... เด็กนักเรียนปั่นจักรยานไปโรงเรียน, ชาวบ้านที่ตั้งแผงขายของในตลาดเช้า, และข้าราชการที่กำลังเดินทางไปทำงาน... มันคือภาพที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคย ‘มอง’ อย่างแท้จริง วันนี้... ทุกอย่างกลับดูคมชัดและมีความหมายอย่างน่าประหลาดสำนักงานเขตในบ่ายวันนั้นอบอ้าว เสียงพัดลมเพดานหมุนเอื่อยๆ เจ้าหน้าที่นั่งทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ผู้คนเดินเข้าออกทำธุรกรรม... มันคือสถานที่ราชการที่แสนจะธรรมดา แต่สำหรับดนุแล้ว... วันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขานั่งรออยู่บนเก้าอี้พลาสติกอย่างสงบเสงี่ยม ไม่รีบร้อน ไม่หงุดหงิด เขาเพียงแค่มองดูทุกอย่างรอบตัว เขามองเห็นแม่คนหนึ่งที่กำลังปลอบลูกน้อยที่ร้องไห้งอแง, เห็นชายชราที่กำลังค่อยๆ บรรจงประทับล
เสียงออดเลิกเรียนคาบเช้าดังขึ้นบาดหู ณภัทรสะดุ้งเล็กน้อยกับความดังของมัน เขาหันไปมองภาพนักเรียนที่กำลังทยอยเดินออกจากห้องเรียนกันอย่างจอแจ เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังสะท้อนไปทั่วทางเดินของอาคารเรียนที่ดูเก่าแก่แต่สะอาดสะอ้านของโรงเรียนมัธยมเล็กๆ แห่งหนึ่งนอกกรุงเทพฯเขายืนนิ่งอยู่หน้าต่างห้องพักครูที่อบอ้าว ในมือยังคงถือแก้วกาแฟที่เย็นชืดไปแล้ว เขาไม่ได้แตะต้องมันเลยตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เขาเพียงแค่ยืนมองและรับฟัง... พยายามทำความคุ้นเคยกับโลกใบใหม่ที่เขาเลือกเดินเข้ามาด้วยตัวเองหลังจากการแถลงข่าวครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนั้น... เขาก็ได้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ทั้งตำแหน่ง ความมั่งคั่ง และเกียรติยศจอมปลอมของตระกูลพัชรลักษณ์ เขาใช้เวลาพักใหญ่จัดการเรื่องกฎหมายและช่วยถ่ายโอนข้อมูลต่างๆ ให้กับโครงการ ‘ฟอกระบบ’ ของดนุ ก่อนจะตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเอง... เส้นทางที่ไม่มีใครคาดคิดเขาไม่ได้หันไปเล่นการเมืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เหมือนที่เคยคิดไว้ แต่เขาเลือกที่จะกลับมาสู่จุดเริ่มต้นที่เล็กที่สุด... นั่นคือการเป็น ‘ครู’ณภัทรเริ่มต้นงานใหม่ในฐานะอาจารย์พิเศษสอนวิชา
ก่อนที่ประตูแกลเลอรีจะเปิดในเย็นวันนั้น มีนายืนอยู่กลางห้องที่เงียบสงัดเพียงลำพัง แสงไฟสีนวลถูกปรับให้ส่องกระทบผลงานแต่ละชิ้นอย่างลงตัว พื้นไม้ขัดมันสะท้อนเงาของเธออย่างเลือนราง เธอยกข้อมือซ้ายขึ้นมา... นิ้วโป้งลูบไล้ไปบนรอยสักรูปผีเสื้อเบาๆ มันคือเครื่องเตือนใจ... คือแผนที่การเดินทางที่ผ่านมาทั้งหมดของเธอสายลมแรกของฤดูใบไม้ร่วงในกรุงเวียนนาพัดพาความเย็นที่สดชื่นมาพร้อมกับเสียงระฆังจากโบสถ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป ประตูแกลเลอรีเปิดออก ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามา... ทั้งนักวิจารณ์ศิลปะ, นักศึกษา, จิตแพทย์ที่เธอรู้จักจากคลาสเรียน, และผู้คนทั่วไปที่สนใจในชื่อนิทรรศการที่เรียบง่ายแต่กลับสะดุดใจ“Wounds and Wings” มีนาถอยกลับไปยืนเงียบๆ ที่มุมหนึ่งของห้อง เฝ้ามองผู้คนที่เคลื่อนตัวไปตามผนังสีขาวสะอาดอย่างช้าๆ บรรยากาศในแกลเลอรีเต็มไปด้วยความเงียบที่ให้เกียรติ มีเพียงเสียงฝีเท้าเบาๆ และเสียงกระซิบกระซาบเป็นครั้งคราว เธอเห็นบางคนหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าภาพวาดเป็นเวลานาน, บางคนยกมือขึ้นปิดปากด้วยความสะเทือนใจ, บางคนหันไปกอดคนที่มาด้วยเบาๆ... เธอรู้สึกว่าความเจ็บปวดส่วนตัวของเธอ บัดนี้ได้กลายเป็นภาษาสากลที่ทุ







