ห้องสมุดยามเย็นเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงแอร์ที่แผ่วเบากับแสงไฟขุ่นมัวที่เริ่มจางลงตามเวลา
มีนานั่งอยู่ในมุมลึกสุดของห้อง ใกล้ชั้นหนังสือที่แทบไม่มีใครเดินผ่าน โต๊ะไม้ตรงนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นที่หลบซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้ชั่วคราว
หนังสือเรียนคณิตเปิดอยู่ตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านจริงจัง มือแค่พลิกหน้ากระดาษช้า ๆ ขณะที่สายตาเหม่อลอยไปไกล
ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจบทเรียน แต่เพราะหัวใจยังไม่สงบพอจะรับอะไรเข้ามาได้ เธอแค่อยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องเจอ ไม่ต้องพูด และไม่ต้องรู้สึก
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามา เธอชะงัก เงยหน้าขึ้นอย่างระแวดระวัง เงาทอดผ่านหน้าโต๊ะ บดบังแสงไฟเหนือศีรษะ
ดนุยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีคำทัก ไม่มีรอยยิ้ม สายตาของเขานิ่งสงบแต่แน่วแน่ จนเธอไม่แน่ใจว่าเขามาเพราะตั้งใจหรือบังเอิญ
“มีอะไร?” เธอถามเรียบ ๆ ไม่หลบสายตา
“เปล่า เดินผ่านมา แล้วเจอเธอ” เขาตอบเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ
เธอกลับไปมองหนังสือ พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ภายในใจกลับปั่นป่วน ราวกับทุกอย่างที่พยายามซ่อนไว้ถูกเขาเปิดออกหมดแล้ว
เขาเดินอ้อมมาฝั่งตรงข้ามโต๊ะ หยิบแว่นตาของเธอขึ้นมาหมุนเล่นด้วยปลายนิ้ว
“ขอคืนเถอะ อย่ามาเล่นแบบนี้” เธอยื่นมือไปคว้า แต่เขาหลบอย่างง่ายดาย แล้วยังสวมมันเข้ากับหน้าตัวเองอย่างหน้าตาเฉย
“แล้วเธออยากให้ฉันเป็นใครล่ะ?” เขาเลียนเสียงกวน ๆ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“พอเถอะ!” เธอลุกพรวดขึ้น เท้าสะดุดขาโต๊ะจนเสียหลักเซไปข้างหน้า
มือเธอปัดโดนกองหนังสือที่วางซ้อนกันอยู่จนร่วงลงมาดังกราว
“โอ๊ย!”
เสียงหลุดออกจากปากเมื่อข้อเท้าพลิกจากการเหยียบหนังสือ เธอล้มลงนั่งพับเพียบ หายใจแรง พยายามไม่ให้แววตาเผยความเจ็บ
ดนุเข้ามาช่วยโดยไม่พูดอะไร เขาทรุดตัวลงข้าง ๆ ตรวจดูข้อเท้าเธออย่างรวดเร็ว
เธอพยายามลุกเอง แต่ยิ่งขยับ ความเจ็บก็ยิ่งชันขึ้นจนแสดงออกมาผ่านสีหน้า
“ไม่ต้องช่วย ฉันโอเค...”เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ไม่โอเคเลย” เสียงของเขาราบเรียบ แต่หนักแน่น
เธอยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็ช้อนตัวเธอขึ้นมาเต็มสองแขน เธอสะดุ้งด้วยความตกใจ พวงแก้มสองข้างร้อนวูบ
“เดี๋ยวก่อนสิ! ฉันเดินเองได้!”
“อย่าดื้อ” เขาพูดสั้น ๆ
ห้องสมุดเงียบสนิท ทุกก้าวที่เขาเดินพาเธอผ่านแถวหนังสือเหมือนเสียงในหัวเธอจะดังขึ้นเรื่อย ๆ
ทำไมต้องเป็นเขาอีกแล้ว?
ทำไมเธอถึงรู้สึกไม่มั่นคงเวลาที่เขาอยู่ใกล้? เขากำลังจะทำให้เธอสับสนอีกแล้วหรือเปล่า...ห้องพยาบาลอยู่ไม่ไกล แต่การเดินทางดูเหมือนยาวนานเกินไป
เขาวางเธอลงบนเตียงข้างหน้าต่างที่เปิดรับลมจาง ๆ จากด้านนอก ก่อนจะเดินไปหยิบถุงเจลเย็นจากตู้เล็ก แล้วกลับมาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
มือหนาวางเจลประคบอย่างเบามือ สายตาจับจ้องอยู่แค่ข้อเท้าของเธอ ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมา
เธอมองเขานิ่ง ๆ แล้วพูดเสียงเรียบ แต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่เธอเองก็ไม่เข้าใจดีนัก
“ทำแบบนี้เพราะอะไร...เพราะเราสองคนต่างมีผลประโยชน์ด้วยกันใช่ไหม?”
เธอไม่ได้ถามเพื่อเอาคำตอบ เธอถามเพราะกลัวว่าคำตอบนั้นจะจริง
เขาเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง ไม่พูดทันที แล้วค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้ ลมหายใจเขาเฉียดแก้มเธอ กลิ่นโคโลญจาง ๆ ทำให้เธอต้องกลั้นใจนิ่ง เสียงของเขาต่ำ ชิดหู
“ครั้งนี้...เธอหนีฉันไม่ได้อีกแล้วมีนา ไม่ว่าเธอจะหนีไปไหน ฉันจะตามเธอไปทุกที เหมือนเงาตามตัว
สายฝนพรำลงมาไม่ขาดสาย ราวกับฟากฟ้ากำลังพรั่งพรูความเศร้าที่อัดแน่นในอกออกมาอย่างเงียบงัน เสียงหยาดฝนกระทบพื้นซีเมนต์เปียกชื้นดังก้องในความว่างเปล่า ประสานกับลมที่พัดกรูเอากลิ่นสนิมจากรางน้ำเก่าและกลิ่นฝนหม่นเศร้ามาห่มคลุมอากาศให้เย็นเยียบยิ่งขึ้นบนถนนสายแคบในย่านที่เงียบเกินไปสำหรับค่ำคืนนี้ หญิงสาวก้าวเดินฝ่าสายฝนด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะเดินไปทางไหน หรือกำลังหนีจากอะไรแต่ในความเงียบที่ปกคลุมเมือง...เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนมีใครบางคนกำลังเดินตามเธอมาเสียงฝีเท้าแผ่วเบา แต่มั่นคง ไม่เร็วไม่ช้า ไม่ใกล้ไม่ไกล ราวกับตั้งใจย่ำอยู่ในช่องว่างระหว่างความกลัวกับความเงียบ เหมือนจะบอกให้รู้ว่าไม่ต้องวิ่งหนี...เพราะไม่มีวันหลุดพ้นหัวใจของมีนาเต้นถี่รัว เสียงดังนั้นก้องสะท้อนอยู่ในอก เธอกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก สองมือที่กำกระเป๋าแน่นเริ่มสั่นไหว ลมหายใจหอบสั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายในและโดยไม่หันหลังกลับไปมอง เธอก็รู้...คนคนนั้น...กำลังจะถึงตัวเธอเบี่ยงร่างหักเลี้ยวเข้าซอยแคบระหว่างอาคารที่สูงชิดจนอากาศแทบไม่ไหลผ่าน ไฟจากถนนใหญ่เลือนหายอยู่เบื้องหลัง เหลือเพียงเงามืดแทรกต
บ้านหลังใหญ่ที่เคยอบอวลด้วยเสียงหัวเราะและแสงไฟ บัดนี้กลับเงียบงันราวกับไร้ชีวิต ทุกมุมมืดเย็นชืดเหมือนถูกกลืนไปกับราตรีที่ไม่มีแสงดาว และในความเงียบนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น แผ่วเบา แต่เย็นชา ราวกับคมมีดที่แทงทะลุเข้าไปในหัวใจสำหรับมีนา... เสียงนั้นไม่ใช่แค่คำตำหนิ แต่มันคือความเจ็บที่สะสมมาทั้งชีวิต มันไม่ตะโกน แต่กระแทกใจเธอจนแทบยืนไม่อยู่ และในวินาทีนั้น หัวใจของเธอเหมือนแตกร้าวเป็นเสี่ยงเล็ก ๆ ทุกชิ้นส่วนกระจายออก โดยไม่มีใครพยายามจะประสานกลับมาเลยสักครั้ง“นังลูกไม่ดี... ทำตัวต่ำ ๆ ไม่ต่างจากแม่แกเลย ไร้หัวสมอง ไม่มีความคิด ใฝ่ต่ำที่สุด...”น้ำเสียงราบเรียบ ไม่ตะโกน ไม่กระโชก แต่กลับเจ็บลึก ราวกับคมมีดที่ถูกลับมาอย่างดีและค่อย ๆ กรีดลงกลางใจภาพในโทรศัพท์ถูกยื่นมาตรงหน้า ภาพที่เธอกับดนุยืนอยู่เคียงกันในห้องทำงาน ไม่มีคำพูด ไม่มีการแตะต้อง มีเพียงระยะห่างที่ใกล้เกินไปในสายตาของผู้เป็นพ่อ และนั่น... เพียงพอจะกลายเป็นหลักฐานสำหรับเขา... เธอกำลังลดตัวลงไป ก้าวเข้าไปอยู่ในเกมที่เธอไม่ควรเข้าไปใกล้ กลายเป็นหมากตัวหนึ่งในกระดานของใครบางคน เพื่อแลกกับบางสิ่งที่เขาเชื่อว่า “ไม่ควรถูกไขว
แสงไฟจากเพดานสูงส่งลำแสงสีขาวทะลุม่านฝุ่นจางในอากาศ กระทบลงบนโมเดลโลหะขนาดครึ่งโต๊ะเรียนซึ่งยังต่อไม่เสร็จ สายไฟบางเส้นสั่นไหวตามแรงสั่นสะเทือนที่ไม่มีผู้ใดสังเกต กลิ่นควันบัดกรีผสมกลิ่นกาแฟเย็นที่ถูกวางทิ้งไว้ริมโต๊ะลอยคละคลุ้งไปทั่วห้องบนเวทีใจกลางฮอลล์ ณภัทรยืนสง่าภายใต้สูทเรียบง่าย ข้างกายเขาคือวินัย พ่อของมีนา ท่าทีเงียบสงัด ไร้รอยยิ้มและแววตาสะท้อนความคิดใด ๆ“โครงงานปีนี้เราไม่มองแค่ว่าใครทำได้ดีที่สุด แต่เลือกคนที่กล้าคิดต่างจนเปลี่ยนโลกได้จริง” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น เปล่งออกด้วยจังหวะมั่นคงเหมือนผ่านการฝึกฝน ทุกถ้อยคำหล่อหลอมจากริมฝีปากด้วยน้ำหนักที่หนักแน่นยิ่งเสียงปรบมือเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง แต่สำหรับมีนา โลกทั้งใบกลับเงียบกว่าที่เคย เธอยืนนิ่ง ปลายนิ้วแนบแฟ้มแน่นแนบอก เพราะรู้ดีว่า…ไม่เคยมีถ้อยคำใดจากพ่อที่จะกล่าวถึงเธอเลยชื่อทีมจากมหาวิทยาลัย S ปรากฏบนหน้าจอขนาดใหญ่ ชื่อหัวหน้าทีมโดดเด่นอยู่บรรทัดแรก “ดนุ ศิระเวช” เธอขมวดคิ้วหนักหน่วง ไม่ใช่ด้วยความประหลาดใจ แต่มั่นใจว่าไม่ได้สมัครเอง แล้วชื่อของเธอก็ตามมาเป็นลำดับถัดไป “มีนา วินัยพงศ์”เธอยังคงนิ่ง สายตาปล่อ
เกือบเที่ยงคืน ข้อความจากดนุก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ของมีนา ไม่ต้องเปิดดูชื่อ เธอก็รู้ว่าเป็นเขา สองบรรทัดสั้น ๆ ที่ทำให้เธอหยุดนิ้วไว้กลางอากาศ ราวกับข้อความนั้นพูดออกมาได้ด้วยตัวเอง"คืนนี้มาที่สนามแข่งฝั่งตะวันตก แถวตลิ่งชันได้มั้ย ผมไม่ได้ขออะไรมาก... แค่อยากให้คุณมาเห็นผมในอีกแบบ"ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำขอร้อง ไม่มีแม้แต่เหตุผลให้ไว้ใจ แต่เพราะเป็นเขา... เธอจึงตัดสินใจไป—สนามแข่งอยู่ใต้สะพานขนาดใหญ่ ด้านล่างเป็นลานคอนกรีตโล่งที่เต็มไปด้วยรอยยางไหม้และคราบน้ำมันเก่า ๆ เสียงล้อรถเสียดกับพื้นดังสะท้อนอยู่ในอากาศเหมือนประกาศให้รู้ว่านี่คืออีกโลกหนึ่งไม่มีป้าย ไม่มีไฟมาตรฐาน มีเพียงแสงไฟสปอร์ตไลต์ที่สาดเป็นจุด ๆ สว่างบ้าง มืดบ้าง ราวกับฉากในหนังที่เลือกเปิดเผยแค่บางมุมของเรื่องกลุ่มวัยรุ่นในเสื้อแจ็กเก็ตหนังยืนจับกลุ่มกัน บ้างหัวเราะ บ้างส่งเสียงเชียร์ เสียงเครื่องยนต์คำรามสนั่นเป็นจังหวะ ควันไอเสียเจือกลิ่นยางเบรกไหม้และน้ำมันลอยคละคลุ้งในอากาศ ไฟหน้ารถสาดส่องตัดผ่านความมืดเป็นสายสว่างสลับกับเงา ให้บรรยากาศโดยรอบดูสั่นไหวและอันตรายอย่างน่าหลงใหลมีนาเดินเข้าไปช้า ๆ ชุดนักศึกษาที
ห้องสมุดยามเย็นเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงแอร์ที่แผ่วเบากับแสงไฟขุ่นมัวที่เริ่มจางลงตามเวลามีนานั่งอยู่ในมุมลึกสุดของห้อง ใกล้ชั้นหนังสือที่แทบไม่มีใครเดินผ่าน โต๊ะไม้ตรงนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นที่หลบซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้ชั่วคราวหนังสือเรียนคณิตเปิดอยู่ตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านจริงจัง มือแค่พลิกหน้ากระดาษช้า ๆ ขณะที่สายตาเหม่อลอยไปไกลไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจบทเรียน แต่เพราะหัวใจยังไม่สงบพอจะรับอะไรเข้ามาได้ เธอแค่อยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องเจอ ไม่ต้องพูด และไม่ต้องรู้สึกเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามา เธอชะงัก เงยหน้าขึ้นอย่างระแวดระวัง เงาทอดผ่านหน้าโต๊ะ บดบังแสงไฟเหนือศีรษะดนุยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีคำทัก ไม่มีรอยยิ้ม สายตาของเขานิ่งสงบแต่แน่วแน่ จนเธอไม่แน่ใจว่าเขามาเพราะตั้งใจหรือบังเอิญ“มีอะไร?” เธอถามเรียบ ๆ ไม่หลบสายตา“เปล่า เดินผ่านมา แล้วเจอเธอ” เขาตอบเหมือนมันเป็นเรื่องปกติเธอกลับไปมองหนังสือ พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ภายในใจกลับปั่นป่วน ราวกับทุกอย่างที่พยายามซ่อนไว้ถูกเขาเปิดออกหมดแล้วเขาเดินอ้อมมาฝั่งตรงข้ามโต๊ะ หยิบแว่นตาของเธอขึ้นมาหมุนเล่นด้วยปลายนิ้ว“ขอคืนเถอะ อย่ามาเล่นแบ
สามวันต่อมาเช้านั้นท้องฟ้าสีขาวนวล แดดอ่อน ๆ โรยตัวลงมาทาบพื้นถนนหน้าอาคารเรียน พื้นซีเมนต์สะท้อนแสงจาง ๆ มีนาเดินอยู่บนทางเท้าท่ามกลางแถวต้นหูกวางที่ใบเล็ก ๆ ค่อย ๆ ร่วงลงมาทีละใบกระเป๋าผ้าสีเรียบถูกสะพายไว้ข้างตัว มือข้างหนึ่งถือแผนผังตึกเรียน อีกข้างกำโทรศัพท์แน่น หน้าจอเปิดค้างอยู่ที่ข้อความล่าสุดในกลุ่มไลน์รับน้องบนหน้าอกเสื้อนักศึกษายังไม่มีชื่อปัก คอเสื้อแข็งเพราะยังใหม่ กระโปรงทรงเอพอดีตัว รองเท้าหนังสีดำเงาวับ ทั้งหมดดูเรียบร้อยเกินไปจนรู้สึกแปลก ๆ กับการสวมใส่เธอเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ที่บ้านเคยถามว่าแน่ใจแล้วเหรอ แต่เธอก็ยืนยันหนักแน่น เธอชอบอะไรที่ดูยากแต่มีเหตุผล ชอบสมการ ชอบคิดแก้โจทย์ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าปัญหาบางอย่างในชีวิตจะแก้ได้ด้วยสูตรหรือไม่ก็ตามวันนี้เป็นวันรวมรุ่นของเด็กปีหนึ่งในคณะ รุ่นพี่เรียกกันง่าย ๆ ว่า "วันน้องรับ" แต่ชื่อทางการคือ "ปฐมนิเทศ"ลานหน้าอาคารเรียนกลางถูกตกแต่งด้วยผ้าสีฟ้าขาวสดใส มีป้ายไวนิลขนาดใหญ่ที่พิมพ์คำว่า "WELCOME FRESHY" ติดไว้กลางเวที เสียงเพลงป๊อปคลอเบา ๆ ดังมาจากลำโพง เสียงหัวเราะ เสียงคุยกัน และเสียงรองเท้ากระทบพื้นคละกันไปหมดมีนา
ลมกลางคืนบนดาดฟ้าของลิโอจินพัดแรงกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ไม่ได้หนาวจัด...แต่อากาศเย็นเฉียบแทรกผ่านผิว ราวกับตั้งใจจะเตือนให้หัวใจตื่นรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ยังค้างคา กลิ่นควันบุหรี่ผสมกับกลิ่นแอลกอฮอล์บางเบาเจือจางอยู่ในอากาศ ชวนให้รู้สึกเหมือนกับว่าคืนนี้ไม่ใช่แค่เงียบ แต่ยังเต็มไปด้วยสิ่งที่ยังไม่ได้รับการเอ่ยถึงดนุยืนพิงราวเหล็ก ปล่อยให้ลมตีผิวแก้มและปลายเสื้อเชิ้ต เสื้อของเขาปลิวสะบัดเป็นจังหวะเงียบงัน เหมือนจะเต้นไปกับความคิดของเขาเอง แก้ววิสกี้ในมือหนึ่งสั่นน้อย ๆ เพราะแรงลม มืออีกข้างคีบบุหรี่ที่ไหม้เกือบหมด ดวงตาเขามืดครึ้มและลึกเกินกว่าที่ใครจะอ่านออกแสงไฟจากถนนฝั่งตรงข้ามกระพริบสลับแผ่วเบา ราวกับจะบอกว่าโลกภายนอกยังหมุนไป แต่สำหรับเขา บนดาดฟ้าแห่งนี้ เวลาคล้ายจะหยุดอยู่ตรงจุดที่เธอหายไป เสียงความเงียบแทรกซึมทุกอณูความรู้สึก มิใช่ความว่างเปล่า หากแต่เต็มไปด้วยคำถามที่เขาไม่กล้าถามใครอีกเขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เสียงเข็มวินาทีกระทบกันเบา ๆ ฟังดูชัดเกินเหตุ สองทุ่ม... สามทุ่ม... สี่ทุ่ม...ไม่มีเงาของเธอบนบันได ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีแม้แต่ความหวังที่หลงเหลือ สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู
เช้าวันใหม่มาถึงอย่างเงียบสงบ มีนาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ รู้สึกถึงร่างกายที่หนักอึ้งผิดปกติ เธอยังไม่ได้ลุกขึ้นทันที แต่เลือกที่จะนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงอีกสักพัก ปล่อยให้ตัวเองค่อยๆ ปรับตัวกับความรู้สึกที่ยังสับสนอยู่ในหัวผ่านไปพักใหญ่ เธอค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น ผ้าห่มเลื่อนหลุดจากไหล่ เผยให้เห็นรอยจางๆ บนผิวเนียนเหนือเนินไหล่ รอยที่ชัดเจนพอจะย้ำว่า...สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่ใช่ความฝันมีนาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยุดที่หน้ากระจกบานใหญ่ ร่างสะท้อนตรงหน้าทำให้เธอชะงัก ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแดงระเรื่อ และเส้นผมยุ่งเหยิงอย่างที่ไม่ได้เกิดจากแค่การนอนหลับธรรมดา แต่เป็นร่องรอยจากเรื่องราวที่เธอไม่อยากนึกถึงแต่ก็ไม่อาจลบเลือนไปจากใจได้ง่ายๆเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัวเธอ เป็นเสียงของดนุที่ยังคงสะท้อนชัดเจนอยู่ในความทรงจำ“ก็แค่ตัวแทน…แล้วทำไมเราถึงรู้สึกมากขนาดนี้”เธอหลับตาลงช้าๆ ถอนหายใจเงียบๆ พยายามบอกตัวเองว่านี่คือความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมีความหมายอะไรเลย แต่คำว่า “แค่” กลับไม่เคยช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเลยสักนิดมีนาเดินกลับมานั่งลงที่เตียงอีกครั้ง สายตาของเธอสะดุดเข้ากับกระดาษโน้ตเล็กๆ ที่
แสงไฟสีส้มอบอุ่นจากเพดานสะท้อนระยิบระยับในแก้ววิสกี้ทรงเตี้ยที่วางนิ่งสนิทอยู่บนโต๊ะกระจก ในนั้นมีน้ำแข็งที่เริ่มละลายช้าๆ สะท้อนแสงเป็นริ้วคล้ายภาพวาดสีทองอ่อนโยน แต่บรรยากาศภายในห้องวีไอพีแห่งนี้กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงณภัทรเอนหลังลงบนโซฟาหนังสีดำเนื้อดีอย่างผ่อนคลาย ดวงตาคมกริบที่ดูสงบนิ่งนั้นกำลังจับจ้องไปยังภาพในจอมอนิเตอร์ด้านหน้าอย่างไม่วางตาผู้หญิงคนที่เขาเฝ้ามองและคอยตามติดชีวิตมานานหลายปี นานเกินกว่าจะเรียกว่าคนรู้จักกันธรรมดาๆ ได้ กำลังนอนใต้ตัวผู้ชายแปลกหน้า และผู้ชายคนนั้น กลับมีใบหน้าคล้ายเขาอย่างน่าประหลาดจนเขาแทบจะรู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองเงาตัวเอง แต่เขาก็มั่นใจว่าไม่ใช่เขาแน่ๆเพียงแค่คิดว่าเธอกำลังยิ้มหวานและหัวเราะเบาๆ ให้กับชายคนนั้น ไฟที่ซุกซ่อนอยู่ภายในอกก็ร้อนระอุขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ มันลามจากหัวใจสู่สมองจนทำให้เขาแทบขาดสติ “ไปสืบให้หน่อยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร มาจากไหน มีความเกี่ยวข้องกับเธอยังไง”เขาออกคำสั่งเสียงต่ำที่แฝงด้วยความเย็นชาบอดี้การ์ดก้มหน้าลงเล็กน้อยรับคำสั่งโดยไม่มีข้อสงสัย แล้วเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร...” ณภัทรพูดต่อ