สี่นาฬิกา
อาการอ่อนเพลียเริ่มปรากฏ หลายครั้งที่เธอพยายามต่อสายถึงมินนี่ แต่ระบบยังคงบล็อกไว้และจำกัดการสื่อสารเพียงคนในกลุ่มเท่านั้น เธอสงสัยว่ามันบล็อกแต่กลุ่มอาสาเท่านั้น ถึงแม้พวกเขาต้องการกำลังคน ต้องการพลังของกลุ่มเสี่ยงเมื่อรัฐบาลไม่ส่งกำลังพลเพิ่ม แต่พวกเธอก็ยังเป็นอดัมกับอีฟในอีเดนที่ไม่ควรละเมิดกฎและอยากรู้มากเกินไปกว่าที่ทางการป้อนให้ และข้อนี้เองที่ทำให้หลายคนเริ่มไม่พอใจกับกระบวนการทำงานของคนที่นี่
ระหว่างค้นหาห้องอื่น ทั้งหมดเจอผู้ติดเชื้อสองคนแต่ทั้งสองถูกขังอยู่ในหลอดแก้วที่ให้ความรู้สึกเหมือนโลงศพ สองร่างนอนราบพร้อมเข็มขัดพันรัดรอบตัวจนถึงคอ ถึงแม้ข้อมูลจะถูกลบไปหมด แต่ระบบยังทำงานอยู่ พวกเจ้าหน้าที่เลือกปลิดชีพด้วยปุ่มเดียว ไม่ถึงนาที ไอร้อนขึ้นเป็นไปเกาะกระจก พื้นผิวแปรเปลี่ยนจากกระจกใสเป็นทึบมองไม่เห็นด้านในแต่ทุกคนเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น
“เผาสด” ฟีบี้ยักไหล่เมื่อเธอเหล่มองไม่ชอบใจ “ฉันพูดจริง”
“ใครถาม” ยิ่งเห็นสาวผมบลอนด์เดินทิ้งสะโพกเหมือนกวนประสาทอยู่ข้างหน้าแล้วยิ่งไม่สบอารมณ์ ถึงแม้อเล็กซิสจะ
สี่นาฬิกาอาการอ่อนเพลียเริ่มปรากฏ หลายครั้งที่เธอพยายามต่อสายถึงมินนี่ แต่ระบบยังคงบล็อกไว้และจำกัดการสื่อสารเพียงคนในกลุ่มเท่านั้น เธอสงสัยว่ามันบล็อกแต่กลุ่มอาสาเท่านั้น ถึงแม้พวกเขาต้องการกำลังคน ต้องการพลังของกลุ่มเสี่ยงเมื่อรัฐบาลไม่ส่งกำลังพลเพิ่ม แต่พวกเธอก็ยังเป็นอดัมกับอีฟในอีเดนที่ไม่ควรละเมิดกฎและอยากรู้มากเกินไปกว่าที่ทางการป้อนให้ และข้อนี้เองที่ทำให้หลายคนเริ่มไม่พอใจกับกระบวนการทำงานของคนที่นี่ระหว่างค้นหาห้องอื่น ทั้งหมดเจอผู้ติดเชื้อสองคนแต่ทั้งสองถูกขังอยู่ในหลอดแก้วที่ให้ความรู้สึกเหมือนโลงศพ สองร่างนอนราบพร้อมเข็มขัดพันรัดรอบตัวจนถึงคอ ถึงแม้ข้อมูลจะถูกลบไปหมด แต่ระบบยังทำงานอยู่ พวกเจ้าหน้าที่เลือกปลิดชีพด้วยปุ่มเดียว ไม่ถึงนาที ไอร้อนขึ้นเป็นไปเกาะกระจก พื้นผิวแปรเปลี่ยนจากกระจกใสเป็นทึบมองไม่เห็นด้านในแต่ทุกคนเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น“เผาสด” ฟีบี้ยักไหล่เมื่อเธอเหล่มองไม่ชอบใจ “ฉันพูดจริง”“ใครถาม” ยิ่งเห็นสาวผมบลอนด์เดินทิ้งสะโพกเหมือนกวนประสาทอยู่ข้างหน้าแล้วยิ่งไม่สบอารมณ์ ถึงแม้อเล็กซิสจะ
แสตนเนอร์สั่นหัวไปมา ท่าทางหัวเสีย เสียงของเขาดังขึ้นในหัว “แสตนเนอร์ พวกเธอทั้งหมดกลับมารวมกันที่เดิมเดี๋ยวนี้ ย้ำ ขอให้ทุกคนกลับมารวมกันที่เดิมที่เดี๋ยวนี้”“จอมออกคำสั่ง” เรมีเค้นเสียง“แล้วนายไปเถียงอะไรกับพวกข้างใน” เธอถาม“ฉันบอกให้ดึงแต่ส่วนที่เก็บข้อมูลออกมาก็สิ้นเรื่อง แต่พวกเขาไม่ยอมให้ฉันแตะ และสุดท้ายก็ทำตามที่ฉันบอก” เด็กหนุ่มส่ายหัว ดูแคลนผู้อาวุโสแต่สมองไม่ไวตามอายุประสบการณ์“ฉันได้มาหนึ่งชิ้น” อาคุสะกล่าวเปรย ๆ แต่มุมปากเชิดขึ้นเป็นรอยยิ้มเหนือกว่าเรมีฉีกยิ้มกว้าง “ดี”เทสซ่าสบตากับอเล็กซิสเมื่อสองหนุ่มคุยกันสองคน แต่ความสนใจของอเล็กซิสอยู่ที่แสตนเนอร์ “อเล็กซิส?”สาวผมสีน้ำตาลอ่อนเดินตรงไปยังหัวหน้ากลุ่มและเพื่อนร่วมงานของเขา เทสซ่าก้าวตาม “อเล็กซิส” ปากเรียก แต่เพื่อนสาวเพียงยกมือห้ามไม่ให้รั้ง“พวกมันจับคนพวกนี้มาทำไม ใครอยู่เบื้องหลัง”ทั้งสองอ้าปากค้างเมื่อเจอเด็กสาวซัดคำถามใส่ เทสซ่ากอดอกทัน
“อะไรวะเนี่ย”“ฉันไม่ได้ทำอะไรนะ” อเล็กซิสออกตัวเธอมองกลับเข้าไปในส่วนชั้นใน แต่ละคนวิ่งวุ่นแตกตื่น ดูเหมือนว่าทั้งระบบกำลังจะถูกล้างในไม่ช้านี้ บางส่วนพยายามระงับคำสั่งหากแต่ไม่เป็นผล “ไทรอนกลุ่ม เอ ข้อมูลกำลังถูกลบ ย้ำข้อมูลกำลังถูกลบ”“เบเลียนกลุ่มบี ฝั่งนี้ก็เหมือนกัน!”เทสซ่าสบตาอเล็กซิส พวกเธอไม่มีความสามารถพอที่จะช่วยพวกเขาได้ หากแต่ “ดับเครื่องซะ!” เรมีตะโกน เขาไม่พูดเปล่า หากแต่ใช้แขนตัวเองฟาดแผงวงจรพังกระจาย พรึ่บ หน้าจอดับสนิทยกเว้นแสงไฟ ก่อนที่ใครจะห้ามเรมี อาคุสะผลักประตูเพื่อเข้าไปยังชั้นข้างในแล้วทำแบบเดียวกัน แต่เขาออกแนวทำลายล้างมากกว่าเพราะเล่นยิงจนอุปกรณ์ต่าง ๆ พังกระจุยกระจาย พอเห็นทหารยกปืนเล็งเพื่อน เทสซ่าที่วิ่งตามไปซัดพลังเสียงของเธอใส่คนพวกนั้น “เขาพยายามจะช่วยพวกคุณ” ปากตะโกนชายหนุ่มพยักหน้าขอบคุณ วางปืนลงแล้วดึงปลั๊กออก เพิ่งคิดได้สินะ ทว่าเครื่องที่ยังทำงานอยู่ยังปรากฏตัวเลขนับถอยหลังลงเรื่อย ๆ “เจ็ดสิบเก้าเปอร์เซ็นต์” เธอหันซ้ายหันขวาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ เรมีวิ่งผ่านเข้าไปยังชั้นในสุดแล้วทำแบบเดิม พริบตาเดียวที่ทุกคนจดจ่อกับตัวเลขที่กำลังถอยหลัง อาค
ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจาใด ๆ ใบหน้าอเล็กซิสแดงจนไม่แน่ใจว่าอายหรือโกรธ หรือทั้งสองอย่าง เทสซ่าไม่อาจอ่านสายตาหรือจับผิดอากัปกิริยาของเพื่อนคนนี้ได้อีกต่อไป แม้อเล็กซิสจะยืนอยู่ข้างเธอ แต่นับวันเธอกลับยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองห่างกันมากขึ้นทุกที อเล็กซิสเหมือนกับเมฆที่ค่อย ๆ ลอยออกไป เทสซ่าจึงไม่กล้าแม้แต่เผยความรู้สึกหรือปรึกษาเรื่องของรีเวอร์ และเพราะอเล็กซิสไม่เคยถามถึง กลายเป็นว่าเธอกล้าที่จะเผยความในใจให้เบลินดารับรู้แทน และเพราะเทสซ่ากับเบลินดาสนิทสนมกันมากขึ้นจริง ๆ“ดูท่าอเล็กซ์ของพวกเราจะแย่นะ” ฟีบี้เปรยกับอาคุสะ“ฉันเตือนเขาแล้ว ช่วยไม่ได้นะ” ทั้งสองคนไม่ได้พูดเบาและอเล็กซิสต้องได้ยิน แต่เธอไม่พูดอะไร ขนาดโดนจูบจู่โจม กลับยังนิ่งเฉยไม่ยินดียินร้าย จนเทสซ่ามองไม่ออกว่าอเล็กซิสมีความสัมพันธ์กับบลูหรือเมื่อกี้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น แม้ตอนที่ถูกจูบโดยไม่ทันตั้งตัว เทสซ่าแน่ใจว่าเพื่อนสาวตกใจก็เถอะหลายครั้งเธอเห็นเด็กสาวเหม่อลอย หรือไม่ก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่คนเดียว มีเพียงไมเคิลที่เข้าถึงเธอได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาสองคนกำลังต่อแพแล้วพยายามลอยออกจากฝั่งด้วยกัน“เบเลียน กลุ่มบี ขณะนี้เรากำลัง
เธอพยักหน้า ไม่แย้มยิ้มซึ่งเป็นสีหน้าปกติ ลู ยัง คู่รักของเซน เอเดน พวกเขาถูกแยกจากกันเมื่อเซนต้องไปประจำหน่วยรุกกลุ่มเอ ส่วนตัวเธออยู่หน่วยสนับสนุนกลุ่มบี “พวกแกฉลาดนะ ตามยัยนี่มาช่วยฉัน”“ไปเถอะ” หญิงสาวตัดบทแล้วเดินนำทางออกไป ทั้งสามเดินตาม โอลิแวนกระซิบว่า “พวกเราคิดว่าแกตายแล้ว ตะโกนใส่หูฟังเท่าไรแกก็ไม่ตอบ”“มันพัง”“อย่างที่เด็กคนนั้นเดาจริงด้วย”“ใคร”เพียซยิ้มแห้ง “อเล็กซิส เพราะเด็กคนนี้ พวกเราจึงขอร้องลู” เขาพยักพเยิดไปทางผู้หญิงข้างหน้า สายตาบลูมองเอวบางของหล่อนแล้วอมยิ้มนิด ๆ“เด็กนั่นเกี่ยวไร” เขาเริ่มรู้สึกว่าพักหลัง ชีวิตเข้าไปเกี่ยวพันกับเด็กคนนี้มากขึ้นทุกทีเพียซถอนหายใจ “พอตึกถล่ม แต่ละคนพยายามติดต่อคนที่ตกลงไป ไม่มีใครตอบเลยรวมทั้งแก พวกฉันไม่เป็นอันทำอะไรเลยรู้ไหม ภาวนาให้แกส่งเสียงตอบ แต่แกไม่ตอบ”“ก็มันพัง” เขาย้ำ “มันพังโว้ย ฉันติดต่อพวกแกไม่ได้เหมือนกัน ลองใช้ระบบแจ้งข่าวก็ไม่ได
ใครจะไปรู้วะ ก็ยัยทหารคนนั้นบอกเองว่าใช้งานได้ แถมไม่อธิบายฟังก์ชันอีก หากใครลงมาเห็นคงนึกว่าคนบ้าสวมหมวกอวกาศชกกำแพงอยู่คนเดียว “สัตว์เอ๊ย ไอ้เอไอ มึงช่วยหาทางออกได้ไหม”แถบกระจกปรากฏลายเส้นขึ้นกลายเป็นแผนที่ บลูเห็นจุดที่ตัวเองยืนอยู่เป็นแสงสีขาวกลม ๆ กะพริบถี่ ๆ “หาทางออกให้ด้วยสิเว้ยเฮ้ย ดูไม่รู้เรื่อง”“ผมต้องสแกนก่อนนะครับ”“เร็ว ๆ”เสียงจากระบบเงียบไป เขาโมโหหันตัวเตะกำแพงอีกรอบ “โง่ฉิบ...” ทว่าเมื่อจ้องดี ๆ ยามแสงสว่างบนหน้าผากจ่อเข้ากับตัวกำแพงจึงเห็นว่ามีตัวอักษรขีดเขียนไว้มากมาย ดวงตาตาชายหนุ่มเบิกกว้าง “นี่มันอะไรกัน” ทั้งคำและข้อความ...อิสรภาพ เขาเลื่อนตาไปอีก ตามกระแสน้ำไป บางประโยคเหมือนปลุกระดม เราจะออกไปให้ได้ เขาเอามือทาบบนกำแพง บางคำถูกสลัก บางคำถูกเขียนขึ้นแม้มันเป็นเพียงตัวอักษร แต่กลับส่งพลังบางอย่างที่ทำให้ตัวเขาตกตะลึงอยู่อย่างนั้น มันเหมือนกับว่าบางสิ่งที่หลับใหลมานานแสนนานถูกสะกิด คนพวกนี้...อาจเป็นคำปลุกระ
หลังของเขากระแทกปืนที่ห้อยอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าเพราะบอดี้สูทหรือเป็นเพราะตกลงมาไม่สูงมากนัก เพียงแค่ลงไปชั้นล่าง ทว่าแผ่นคอนกรีตขนาดเท่าตัวคนกำลังจะทับ โชคดีหรือร้าย เขาไม่รู้เพราะพื้นที่รองรับทรุดลงทำให้เขาตกลงมาอีกครั้ง คราวนี้เหมือนบลูตกลงมาพร้อมโครงสร้างคอนกรีตทั้งยวง แขนของเขาคว้าขอบชั้นไรสักอย่าง ของแข็งตกวืดผ่านไหล่ มือของเขาหลุดจากขอบ ร่างดิ่งลงชายหนุ่มร้องเจ็บปวดเมื่อร่างแตะพื้น ไม่ทันได้พัก เขากลิ้งอีกหลายรอบเพื่อหลบแท่งเหล็กแหลมเฟี้ยวที่ตกตามกันมา มันเสียบปักข้างกายห่างกันเพียงสองเซนติเมตร พรึบ หน้ากากกระจกเต็มไปด้วยเลือด มือปัดป่ายไปตามร่างกาย ไม่ใช่เรา เขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร ทว่าเลือดสีแดงข้นมาจากศพทหารที่ตกลงมาด้วยกันและเสียบเข้ากับเหล็กเมื่อครู่ มีเสียงดังตุบอีกสองสามทีพร้อมกับโครมใหญ่ เขาปัดเลือดออกแต่เห็นเพียงฝุ่นควันโขมง แต่ก่อนที่จะยืนตั้งหลักได้ พื้นที่ยืนอยู่ทรุดอีกทีแม่งเอ๊ย ชายหนุ่มพลิกตัวนอนหงาย เห็นรูโหว่ด้านบนพร้อมกับเสียงโครมดังสนั่นจนพื้นสะเทือน รูนั้นถูกปิดทับเรียบร้อยและเขาตกอยู่ในความมืดมิด“สัตว์เอ๊ย กูดิ่
เขาไม่รู้ว่าควรเรียกว่าศพเดินได้หรือผู้ป่วยติดเชื้อกันแน่ ทีแรก บลูคิดว่าพวกมันเป็นคนตายที่ถูกทำให้กลายเป็นปีศาจแบบที่เขาเคยเจอในด่านทดลอง แต่หากใช้คำว่าผู้ป่วยติดเชื้อ ก็ยากที่จะทำใจให้เห็นว่าเป็นคนปกติตอนยืนมองหัวที่หลุดออกจากร่างหนึ่ง เหมือนถูกมนต์สะกดให้มองแต่มัน ทั้งพิศวง ทั้งหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ดวงตาของมันกะพริบ ไม่ใช่เพราะกล้ามเนื้อกระตุก แต่เพราะมันยังมีชีวิตอยู่ เจ้าสิ่งนั้นขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า ขบฟันลงกับพื้นเพียงเพื่อช่วยให้มันเคลื่อนตัวได้ และเป้าหมายของมันก็คือบลูที่ยืนอยู่ ศีรษะเขยิบเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ขบฟันลงบนพื้นทีละนิด ทีละนิดหัวของมันพลันแตกโพละ มันสมองกระจัดกระจายราวกับลูกแตงโมเพียงเขาเหนี่ยวไกหัวใจข้างในดิ้นเหมือนคนตีกลองในอก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นภายในเสื้อบอดี้สูท เขากลืนน้ำลายลงคออันแห้งผาก ห้าปีแล้วที่ไม่ได้เห็นพวกมัน ลืมไปว่าเคยพบกับฝันร้ายที่สุด เหตุการณ์เหล่านั้นเหมือนควันจางหายไป แต่หัวที่ขยับเมื่อกี้ตอกย้ำว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ใช่แค่ฝันร้าย นรกไม่ได้อยู่แค่ในตึกทดลอง แต่มันกำลังแผ่อารยธรรมสู่โลกภายนอกและครั้งนี้มันน่ากลัวกว่าซอมบี้พวกนั้นเสียอีกซ่าช
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาขึ้น “อื้อ”“ฉันหมายถึง...” หางตาเด็กหนุ่มเห็นเงาคนแอบฟังอยู่ และคนคนนั้นเป็นผู้หญิง จึงเดินออกมาให้ห่างเพื่อไม่ให้อยู่ในรัศมีที่ได้ยิน “ไม่ใช่เพราะว่าเธอคือคนคนเดียวที่นายเหลืออยู่อะไรแบบนั้นนะ” นี่คือสิ่งที่เขากังวล...เขากลัวว่าอเล็กซ์จะยึดอเล็กซิสแบบที่เขายึด“ไม่ใช่แบบนั้น” ครั้งนี้แววตาของเขาแน่วแน่ ไม่มีลังเล ไมเคิลพยักพเยิดไปทางขวา อเล็กซ์ขยับปากเป็นคำว่า คิตแคต แล้วยักไหล่ไม่ให้สนใจ ไมเคิลจึงขยับเท้าให้เกิดเสียง เงานั้นหายไปเหมือนรีบหลบเขาถอนหายใจ ลังเลที่จะวางมือบนไหล่ชายหนุ่ม แต่สุดท้ายก็วาง “ที่นายสงสัยฉันกับเธอ ไม่มีอะไรนะ ก่อนหน้านั้นฉันไม่ได้คิดกับอเล็กซิสมากกว่าเพื่อน แต่เพราะพวกเราสนิทกันเรื่อย ๆ มันเหมือนมีบางสิ่งที่ดึงดูดฉันให้เข้าไปหาเธอ เธอเป็นคนอบอุ่นมาก”แก้มของชายหนุ่มกระตุกนิดหนึ่ง “อาคุสะบอกว่านายกับเธอมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น มันมากกว่าเพื่อน” ชายหนุ่มว่า“ฉันไม่รู้หรอกว่าอาคุสะจะเห็นอะไร” เขาส่ายหัว