ดอกไม้สีสันสวยงามหลากหลายสายพันธุ์ถูกจัดอยู่ในตะกร้าสานใบใหญ่โดยฝีมือเจ้าของร้านอย่างข้าวหอม เธอเป็นผู้หญิงที่สุภาพเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ เก่งเรื่องงานฝีมือ งานจัดดอกไม้ งานบ้าน และเรื่องต่างๆอีกมากที่แม่ศรีเรือนควรจะเป็น และเพราะเป็นเช่นนั้นแม่ๆหลายคนที่มาอุดหนุนดอกไม้จึงมักจะทาบทามข้าวหอมให้กับลูกชายของตนเป็นประจำ
ติดแต่เพียงว่าเธอขยันมากซะจนแทบไม่สนเรื่องภายนอก ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย วิทยุ โทรทัศน์ หรือแม้แต่กระทั่งเพศตรงข้าม ไม่ว่าหนุ่มคนไหนจะมาขายขนมจีบเธอก็มักจะเมินหน้าหนีเสมอ เพราะชีวิตเธอมีเพียงเหล่าดอกไม้แล้วก็แม่เท่านั้น
"เป็นไงบ้างลูก แม่รู้สึกว่าดอกไม้ที่มาจากเจ้านี้วันนี้มันช้ำแปลกๆ หรือแม่คิดไปเอง"
"แม่ไม่ได้คิดไปเองหรอกค่ะ เพราะคุณพ่อของคนดูแลดอกไม้พวกนี้กำลังป่วยหนัก หนูเห็นคนกำลังจะตายค่ะแม่"
ข้าวหอมวางดอกไม้ที่ช้ำที่สุดลงกับโต๊ะ ก่อนจะใส่ถุงมือแล้วจัดการกับดอกไม้ดอกอื่นๆต่อไปเหมือนทุกๆวัน อีกอย่างหนึ่งที่มีเพียงเธอและแม่ที่รู้ก็คือเธอมีพลังวิเศษบางอย่างที่มนุษย์คนอื่นไม่มี
"ดอกไม้บางดอกถ้ามันช้ำมากก็ปล่อยมันไว้เฉยๆเถอะลูก ลูกแม่ไม่จำเป็นต้องรู้ที่มาของดอกไม้ทุกๆดอกหรอก"
หญิงสาววัยกลางคนลูบหัวลูกสาวคนเดียวของเธอ เท่าที่จำได้เรื่องน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นกับข้าวหอมตั้งแต่แกอายุได้หกขวบ อาชีพในวัยสาวของเธอก็คือเปิดร้านดอกไม้ แน่นอนว่าลูกสาวตัวเล็กก็ต้องอาศัยอยู่ด้วยเป็นธรรมดา หากแต่มีวันหนึ่งที่ข้าวหอมซนจนนำมือไปจับดอกไม้ช้ำๆดอกหนึ่งที่ใกล้เน่า เด็กน้อยร้องไห้ตกใจและเล่าให้เธอฟังว่าเธอเห็นอะไร
"คุณแม่ขา เลือดเต็มไปหมดเลยค่ะ รถทับคุณลุง"
และไม่นานนักที่เจ้าของสวนดอกไม้ติดต่อเข้ามาเพื่อแจ้งข่าวร้ายกับเธอว่าต่อจากนี้ไปคนส่งดอกไม้จะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เพราะคุณลุงที่เพิ่งส่งดอกไม้เมื่อเช้านี้ถูกรถสิบล้อทับจนร่างแหลกไปกับพื้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของพลังบ้าๆนี่ที่เกิดขึ้นกับลูกเธอ ทุกครั้งที่ข้าวหอมจับดอกไม้ด้วยมือเปล่าเธอจะเห็นเรื่องราวบางอย่างของดอกไม้ดอกนั้น ที่บางครั้งก็อาจจะเป็นอดีตหรือไม่ก็อนาคต ทำให้ทุกวันนี้ลูกสาวสุดที่รักของเธอต้องใส่ถุงมือตลอดเวลา
"หนูกลัวจนหายกลัวแล้วล่ะค่ะแม่ บางทีก็ไม่ได้อยากเห็นแต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ"
ข้าวหอมหันไปกอดผู้เป็นแม่แล้วก็เอาใบหน้าซุกซบกับหน้าท้องอุ่นๆ เพราะเธอรักแม่มากเหลือเกินถึงได้ยอมสืบต่อกิจการร้านดอกไม้ที่แม่รักนักหนา เริ่มแรกแม่ก็ไม่ยอมแต่เป็นเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้เธอป่วยออดๆแอดๆ เพราะข้าวหอมไม่มีใครนอกจากแม่เธอเลยตัดสินใจยอมมอบกิจการนี้ให้ลูกสาวได้ดูแลต่อเพื่อที่จะได้อยู่กับลูกนานๆ
"เอ้อ แล้วเมื่อไหร่คุณคนนั้นเขาจะมาอีกล่ะลูก"
"คนไหนคะ"
"ก็คุณคนที่สวยๆไง นี่แม่รอคืนเงินเขามาหลายวันแล้วนะลูก ไหนจะเช็กเงินแสนนั่นอีก"
"ช่างเขาเถอะแม่ เดี๋ยวเขาจะมาก็มาเองแหละ"
"เอ้า ลูกคนนี้นี่"
ข้าวหอมทำหน้าไม่สบอารมณ์ทุกทีที่ได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงเอาแต่ใจคนนั้น ความจริงเธอจับสังเกตได้แล้วว่าหล่อนจะมาที่นี่ตอนไหน และตอนนั้นจะเป็นตอนที่เธอหนีไปเสมอ ทิ้งร้านไว้กับเจ้าน้ำหวานที่ชอบดาราคนนั้นนักหนา และแม้เธอจะฝากเช็กกับเงินที่เกินมาวันนั้นเพื่อคืนหล่อนแต่หล่อนก็บอกว่าจะไม่รับจนกว่าจะได้เจอเธอด้วยตัวเอง
"อย่าไปสนใจเขาเลยค่ะแม่ ลูกค้าน่ารักๆมีให้สนใจตั้งเยอะ"
"แหนะ ยังอีก แล้วเขาไม่น่ารักตรงไหนล่ะลูก ปกติลูกสาวแม่ไม่เคยว่าใครก่อนนี่นา"
"หนูก็พูดไปแบบนั้นแหละค่ะ ไปกินข้าวกันดีกว่า"
ข้าวหอมยิ้มอ่อนๆก่อนจะชวนคุณแม่สุดที่รักไปกินข้าวที่หลังร้าน เธอถอดถุงมือออกเตรียมจะเดินเข้าไปถ้าไม่ติดว่าแม่ทักใครบางคนที่กำลังจะเดินเข้ามา ใครบางคนที่เธอไม่อยากเจอสักเท่าไหร่
"อ้าว นี่ไง พูดถึงคุณก็มาพอดีเลย สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีค่ะคุณน้า หนูมาซื้อดอกไม้ค่ะ"
คนตัวสูงในชุดสายเดี่ยวสีดำกับกางเกงยีนส์ขาดๆพูดขึ้นอย่างนุ่มนวลราวกับว่าเป็นคนละคนกับที่เธอเจอในทุกวัน แล้วเพื่อนที่มารยาทดีคนนั้นไม่ได้มาด้วยหรือไง
"เอาดอกอะไรเลือกตามใจเลยลูก แล้วก็เงินน้าว่าจะคืนตั้งหลายวันแล้ว ไม่เจอแม่หนูสักที"
"อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณน้า หนูให้เพราะเต็มใจให้ค่ะ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร"
"ต๊ายตายดูพูดเข้า ทำอาชีพอะไรถึงได้มีเงินเยอะขนาดนั้นล่ะจ๊ะ เงินมันมากไป น้าคงไม่สบายใจที่จะรับไว้หรอกจ้ะ"
"หนูเป็นดาราค่ะ ที่ผ่านมางานเยอะมากแล้วค่าตัวก็สูงพอสมควร เพราะแบบนั้นหนูถึงไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินขนาดนั้นค่ะ คุณน้ารับไว้เถอะนะคะ ถือว่าเป็นค่าน้ำใจที่ช่วยหนูไว้ตอนเดือดร้อนค่ะ"
เจนน่าพูดแล้วก็มองหน้าลูกสาวของคุณน้าอย่างจิกกัด เพราะวันนี้เธอเจอคุณน้าใจดีเลยแผลงฤทธิ์ใส่แม่หล่อนไม่ได้มากนัก แล้วก็ไม่คิดว่าจะได้มาที่นี่อีกหลายๆครั้งด้วย แต่เพราะวันที่ผ่านมาเธอยังไม่ได้รับชัยชนะจากการชี้นิ้วสั่งคนข้างหลังน่ะสิ มันไม่สบายใจจนถึงขนาดที่จะต้องแวะมาทุกวันด้วยตัวของเธอเอง
"ที่แท้ก็เป็นดารานี่เอง เสียดายที่บ้านน้าไม่มีคนสนใจดูทีวีเลย แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้มาเจอหนูนอกจอนี่เนอะ"
"อ๋อ ค่ะ ฮ่าๆๆ"
ดาราสาวหัวเราะแบบฝืนๆเพราะนี่คงเป็นที่แรกที่เธอปรากฏตัวแล้วไม่มีใครมีท่าทีดีใจหรือตื่นเต้น เพราะแบบนี้นี่เองแม่นั่นถึงไม่รู้จักเธอ
"แล้วเงินแสนที่ให้ลูกน้ามาล่ะ ค่าตอบแทนน้ำใจอะไรจะเยอะขนาดนั้น"
"ค่าตอบแทนอะไรกันคะคุณน้า"
"ก็เห็นข้าวหอมบอกว่าคุณให้เงินมาเป็นค่าตอบแทนที่เขาทำแผลให้น่ะ"
"อ้าว นี่เธอยังไม่ได้เล่าให้คุณน้าฟังหรอกเหรอ เรื่องคืนนั้นน่ะ"
"..."
ข้าวหอมยืนนิ่งแล้วก็ได้แต่เจ็บใจที่อยู่ดีๆผู้หญิงคนนี้ก็มาพูดเรื่องนั้นต่อหน้าแม่ เธอเพียงบอกแม่ไปว่าเงินแสนที่หล่อนให้มาเป็นค่าตอบแทนสำหรับการทำแผล ใครมันจะไปเล่าเรื่องน่าอายแบบนั้นกัน
"มันยังไงกันแน่ลูก เงินเป็นแสนจะมาล้อกันเล่นไม่ได้นะ"
"คุณก็เล่าเองสิคะว่าคืนนั้นคุณทำอะไรฉัน"
วิถีนักแสดงอย่างเจนน่าก็ต้องมีไหวพริบการเอาตัวรอดเป็นธรรมดา แม่ตัวดีจ้องจะโยนขี้มาให้เธอเป็นคนเล่า แล้วใครมันจะไปยอมบอกว่าตัวเองไปฉวยโอกาสใส่ลูกสาวเขาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจน่ะ
"ก็ไม่ได้ทำอะไรนะคะ เราคุยกันแล้วไงว่าเงินแสนที่ให้ไปเป็นค่าจ้างให้เธอบอกว่าใช้น้ำหอมแบรนด์ไหนน่ะ"
เจนน่าชะเง้อคอมองแกล้งทำเป็นพูดกับข้าวหอมที่ยืนอยู่ด้านหลังคุณน้า ซึ่งความจริงแล้วคืนนั้นเราไม่ได้ตกลงอะไรกันสักอย่าง
"หื้ม เดี๋ยวนี้หนูใช้น้ำหอมด้วยเหรอลูก แม่ไม่เห็นจะได้กลิ่นแปลกไปตรงไหน"
ดาราสาวขมวดคิ้วสงสัย คนบ้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด นอกจากลูกสาวจะขี้โกหกแล้วคนเป็นแม่ยังจมูกไม่ดีด้วยเหรอเนี่ย เธอยืนอยู่ห่างจากหล่อนขนาดนี้ยังได้กลิ่นอยู่เลย
"หนูไม่ได้ใช้ค่ะแม่ แต่คุณเขาไม่เชื่อ"
"ก็เนี่ย ฉันยืนอยู่ตรงนี้ยังได้กลิ่นอยู่เลย คุณน้าไม่ได้กลิ่นเหรอคะ เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆติดหวานนิดๆน่ะ เหมือนกลิ่นเด็ก"
"อ๋อ ฮ่าๆๆๆ แม่หนูนี่ก็อธิบายกลิ่นซะละเอียดเลย น้านึกออกแล้วๆ"
"ใช่ไหมคะ คุณน้าได้กลิ่นเหมือนกันใช่ไหม"
เจนน่าหัวเราะออกมาก่อนจะยักคิ้วให้กับคนตัวเล็ก ในที่สุดคุณน้าก็ได้กลิ่นนี้สักที ทีนี้ก็บอกได้แล้วสิว่านี่มันยี่ห้อไหน
"จ้ะ ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมที่ไหนหรอก กลิ่นหอมจากตัวลูกสาวน้านี่แหละ"
"คะ"
"ไม่ใช่หนูคนแรกหรอกที่ถามถึงกลิ่นนี้น่ะ ลูกสาวน้าเป็นคนตัวหอมมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ ขนาดเหงื่อออกเยอะก็ยังหอมเลย แกเลยไม่จำเป็นต้องใช้พวกเครื่องหอมน่ะ ครีมทาตัวก็แทบจะไม่ได้ใช้เลยจ้ะ กลิ่นนี้แหละกลิ่นเดิมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
ยิ่งคุณน้าใจดีหัวเราะใส่เธอมากแค่ไหนเธอก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากแค่นั้น ภาพในหัวที่เธอเอาแต่หอมคนที่ยืนหน้าแดงอยู่ข้างหลังวกกลับเข้ามาทุกฉากทุกตอน ทำเอาหน้าร้อนไปหมด ชักจะอยู่ตรงนี้ไม่ได้ซะแล้ว
"อ่อ เรื่องเป็นแบบนี้นี่เองเนอะ งั้นเงินนั่นคุณน้าเก็บไว้ใช้เลยค่ะ ถือซะว่าเป็นค่าเข้าใจผิดของหนูเอง"
"อะไรกัน แม่หนูคนสวยนี่ก็จะจ่ายอย่างเดียวเลย น้าไม่เอาหรอกจ้ะ"
"งั้นคุณน้าหักออกจากค่าดอกไม้ของหนูก็ได้ค่ะ คิดซะว่าจ่ายครั้งเดียวแล้วก็หักไป จะได้สบายใจ"
ข้าวหอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหลังให้กับหญิงสาวสองคนแล้วกรอกตาขึ้นมองบนอย่างขัดใจ ทำไมไม่รู้เธอถึงได้รู้สึกไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้ว่าหล่อนจะพูดดีกับแม่เธอก็เถอะ
"โอเคๆ งั้นแล้วแต่แม่หนูแล้วกัน ยืนคุยกันซะนานเชียว เอาดอกอะไรดีจ๊ะ"
เจนน่ามองไปรอบๆร้านแล้วก็ได้แต่ทำหน้าเหยเกจนลืมไปว่ามีเจ้าของร้านถึงสองคนจับจ้องเธออยู่ เกลียดดอกไม้แต่ก็ต้องมาเลือกด้วยตัวเอง รู้สึกแย่ชะมัด
"เป็นอะไรหรือเปล่าหนู ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะจ๊ะ"
"อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ พอดีหนูไม่สบายนิดหน่อย"
"ตายแล้ว งั้นขออนุญาตนะจ๊ะ"
หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาใช้หลังมืออังเบาๆที่หน้าผาก เธอชะงักไปนิดหน่อยแล้วก็ยืนเกร็งจนตัวแข็งเพราะคุณน้าเป็นคนแรกที่ได้แตะต้องตัวเธอแบบนี้หากไม่จำเป็น
"ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา แต่ไม่เป็นไร เช้านี้น้าต้มข้าวต้มไว้หม้อใหญ่เลย ถ้าหนูไม่รังเกียจก็ทานข้าวกับน้าสักมื้อหนึ่งนะจ๊ะ"
"แต่แม่คะ!"
ตอนแรกเจนน่าคิดจะปฏิเสธให้ได้ แต่เพราะเสียงหวานๆของคนด้านหลังที่ขัดขึ้นมาทำให้เธอเปลี่ยนใจทันที ถ้าการทานข้าวร่วมโต๊ะกับเธอมันทรมานมากนักก็เชิญเจ็บปวดเจียนตายได้เลย
"ได้เลยค่ะคุณน้า หนูกำลังหิวอยู่พอดีเลย ขอรบกวนฝากท้องสักมื้อหนึ่งนะคะ"
'เตรียมตัวทานมื้อเช้าแสนอร่อยกับฉันได้เลยแม่ข้าวหอม!'
มือถือของคนตัวเล็กถูกจิ้มเข้าที่สัญลักษณ์นกฟ้าในทันทีหลังจากวางสาย แฮชแท็กผู้หญิงเสื้อขาวขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งแทนที่ชื่อดาราสาวทันที หญิงสาวสองคนเพ่งมองหน้าจออันเล็กจนศีรษะชิดติดกัน นิ้วเรียวต่างผลัดกันเลื่อนไถฟีดข่าวที่มีแต่ภาพเธอสองคน โดยเฉพาะภาพแผ่นหลังเล็กๆของข้าวหอมซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทุกคนกำลังตามหานอกจากนี้ยังมีภาพเธอที่ถูกถ่ายไว้เมื่อวันก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนเข็นวีลแชร์ให้เจนน่า หรือแม้แต่กระทั่งภาพที่เธอเดินอยู่ด้านหลังรถวีลแชร์โดยที่คนอื่นเป็นคนเข็นมัน โดยคอมเมนต์ส่วนใหญ่ไปในทางเดียวกันคือตามหาเธอ บ้างก็ว่าเธอสวย บ้างก็ว่าน่ารัก แต่ที่มากที่สุดคงจะเป็นความสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่ เพราะโดยปกติแล้วทุกคนมักจะเห็นแค่นับหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับเจนน่า การปารกฏตัวของเธอคงเป็นที่แตกตื่นสำหรับคนทั่วไป"แล้วฉันจะมีเพื่อนไม่ได้เลยหรือไง มาแอบถ่ายกันแบบนี้ฉันฟ้องได้นะ"เป็นดาราสาวที่พูดออกมาอย่างหงุดหงิด เธอถูกแอบถ่ายจนชินแล้ว แต่คนตัวเล็กที่นั่งข้างๆนี่เป็นเพียงคนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนสาธารณะแบบเธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงหงุดหงิดที่คนพวกนี้เอาข้าวหอมเข้ามาเกี่ยวด้วย ยิ่งภาพที่ถูกเผยแพร่ไ
"เรียบร้อยแล้วค่ะคุณตำรวจ ขอบคุณมากนะคะที่ให้เข้าเยี่ยม"เจนน่าเอ่ยบอกกับชายหนุ่มสองคนในเครื่องแบบหน้าห้องพักฟื้นแล้วยิ้มให้พวกเขาบางๆ ก่อนที่จะพยักหน้าบอกให้เพื่อนตัวเล็กเข็นวีลแชร์กลับห้องตัวเองโถงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นมีคุณหมอและคุณพยาบาลเดินกันให้ควั่ก รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางร้ายในชีวิตจริงด้วยความสะใจ"แกคิดดีแล้วเหรอวะที่ทำแบบนี้อะ"นับหนึ่งโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของดาราสาวในขณะที่ก็เข็นรถไปด้วย"แล้วมันไม่ดีตรงไหน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย"เพื่อนตัวเล็กเบ้ปากมองบนเช่นเคยกับความแสบของคนป่วย ที่จู่ๆหล่อนก็ออกคำสั่งให้เธอรีบไปหาซื้อขวดยาสีชาแบบกะทันหัน ซ้ำยังย้ำนักย้ำหนาว่าเอาให้เหมือนตามต้นฉบับที่เป็นหลักฐานแบบเด๊ะๆ ลำบากเธอต้องขับรถวิ่งหาไปทั่วแค่เพราะเพื่อนตัวแสบอยากจะล้างแค้นคนร้ายด้วยความสันติสำหรับเธอคิดว่าการใส่น้ำเปล่าลงไปในขวดยามันก็ดีแต่ถ้าไม่ทำมันคงจะดีกว่า แค่คุณรตีต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว นี่หล่อนเล่นให้เสียไปยังสุขภาพจิตด้วยการหลอกว่าในขวดนั่นเป็นยาพิษชนิดเดียวกับที่คนร้ายเคยใช้ปลิดชีพคุณน้าจิตรา แถมยังเอามันกรอกปากคนเจ็บอีก
"น้องเจนน่าคะตอบคำถามพี่ด้วยค่ะ"'แชะๆๆ'"อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ แล้วที่มีข่าวลือว่าหนีออกจากโรงพยาบาลจริงหรือเปล่าคะ""ตอบด้วยครับน้องเจนน่า สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดคือยังไงครับ"นักข่าวจำนวนมากรุมจ่อไมค์พร้อมกล้องตัวใหญ่อีกหลายตัวที่สาดแฟลชสว่างวาบใส่เจนน่า ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีคุณพ่อเป็นคนเข็นให้และนับหนึ่งที่คอยกันนักข่าวออกไปมือนุ่มข้างหนึ่งยกขึ้นเพื่อให้นรุตม์หยุดเข็น ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ตอนนี้กำลังพุ่งสูงปรี๊ด"ขอโทษนะคะพี่ๆ ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่ตลาดสดที่จะแหกปากได้ตามอำเภอใจ""..."ราวกับต้องมนต์สะกดเมื่อคำพูดกึ่งด่าหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ผู้คนอาชีพเดียวกันต่างหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตาคมเฉี่ยวที่หันมามองตำหนิราวกับคาดโทษเอาไว้แทบทุกราย"แล้วก็ให้เกียรติเจนน่าด้วยค่ะ ตอนนี้กำลังเจ็บอยู่นะคะ ถ้าเข็นรถหนีไม่ยอมตอบคำถามก็คือไม่พร้อมตอบค่ะ""แต่พวกเราก็ต้องทำงานนะครับน้องเจนน่า เห็นใจพี่หน่อยนะครับ"เป็นผู้ชายร่างโตที่ถือไมค์เป็นโลโก้ช่องโทรทัศน์ชื่อดังที่ใจกล้าพูดออกมา ทันใดนั้นดวงตาเฉี่ยวจับจ้องไปที่เขาทันที เพียงไม่กี่วิที่ตาสบตา ชายร่างโ
สุดท้ายที่หล่อนปล่อยโฮออกมาแล้วก็พูดไปด้วย น้ำเสียงยังดูเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างกันกับที่ผ่านมา และเป็นเธอเองที่ขอบตาร้อนผ่าวปล่อยน้ำตาเม็ดโตออกมาทั้งที่พยายามกลั้น ไม่ว่าหล่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าหาเธออย่างใจเย็นแค่ไหน เธอก็ก้าวถอยหลังหนีไม่ต่างกัน"อย่าเข้ามานะ"ดาราสาวกลืนน้ำลายลงคอแล้วเปล่งเสียงแข็งกร้าวออกมากับดวงตาที่จ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า"ทำไมล่ะ ไม่ไว้ใจน้าแล้วเหรอ น้าไม่ทำอะไรหนูหรอกนะ นี่น้าไง น้าเอง"หล่อนพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่สภาพตัวเองแทบจะดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าที่มีแต่รอยเปื้อนสิ่งสกปรกเต็มไปหมด ความจริงหล่อนควรจะขอโทษเธอตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วด้วยซ้ำ"นับหนึ่งอยู่ไหน"เจนน่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องเล่นตามน้ำโดยการถามถึงเพื่อน คนร้ายยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ฟังไม่ขึ้น"หนูนับหนึ่งกลับไปก่อนหนูมานี่เอง ไม่ได้สวนกันหรอกเหรอ""แต่คุณบอกว่าจะฆ่าเพื่อนหนู คุณต่อรองกับหนูว่าจะมาที่นี่หรือจะเสียเพื่อนไป แล้วแบบนี้จะให้หนูคิดยังไง""น้าก็แค่ล้อเล่นเพราะอยากให้หนูมาหา น้าถูกใส่ร้ายนะเจนน่า ช่วยน้าด้วยนะ"หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าซึ่งเบาม
"คุณน้าจับตัวนับหนึ่งไป โลเคชันไกลจากที่นี่พอสมควร แล้วก็บอกว่าห้ามแจ้งตำรวจ"เจนน่าบอกกับข้าวหอมและหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้วยกัน ทุกคนทำหน้าตกใจไม่ต่างกันจนกระทั่งข้าวหอมเหลือบตาเห็นดอกไม้ช่อเล็กๆ ที่วางไว้ใกล้ๆ กับกระเช้าผลไม้"เมื่อเช้านับหนึ่งเอาช่อดอกไม้มาเยี่ยม แต่คุณยังไม่ฟื้น""มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย รู้ว่าฉันกลัวดอกไม้แล้วเอาดอกไม้มาให้ทำไม"เจนน่าแหวออกมาเป็นคำติติงเพื่อนสาวราวกับหล่อนแกล้งกัน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นห่วงแทบขาดใจ"แน่ใจเหรอคะว่าคุณยังกลัวมันอยู่""..."ดาราสาวจ้องมองที่ช่อดอกไม้เล็กๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายเธอก็ไม่ได้รู้สึกขยะแขยงมันมากเท่าแต่ก่อนแล้ว ช่วงที่ข้าวหอมหลอกเอาดอกไม้ที่สวนนั่นมาเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะเอามันไปทิ้งหรือหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นมือนุ่มเอื้อมจับที่กลีบดอกไม้เบาๆ พร้อมกลั้นใจ ทว่าก็ไม่ได้ฝืนใจมากกว่าที่เคย เพราะสิ่งตรงหน้ามันก็แค่ดอกไม้ธรรมดาๆ ไม่ได้มีพิษภัยอะไร หรือการที่นับหนึ่งเอามันมาก็เพื่อจะให้เธอรู้ตัวเองว่าเธอไม่ได้รู้สึกกับพวกมันเหมือนเดิมอีกแล้ว"ฉันสามารถมองเห็นได้ทั้งอดีตและอนาคต คุณรอสักแปปหนึ่งนะคะ
หลังจากที่รตีย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังโตทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี เธอเริ่มคุ้นชินกับชื่อและนามสกุลใหม่ นรุตม์ก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ติดแต่เพียงว่าหนูน้อยไม่ยอมเรียกเธอว่าแม่สักที"เจนน่า น้าทำข้าวกล่องไว้ให้น่ะ"ทุกๆเช้าเธอมักจะบอกกับเจนน่าในวัยสิบแปดปีว่าทำข้าวกล่องไว้ให้ ในช่วงแรกเด็กสาวเกรงใจดูน่ารักน่าเอ็นดู ทว่านานวันเข้ายิ่งเปลี่ยนไปเมื่อเธอมักตามใจเขาทุกอย่าง"คุณน้าคะ พรุ่งนี้เจนน่าอยากกินผัดกะเพรา"เด็กสาวเอ่ยปากบอกกับแม่เลี้ยงตอนค่ำ เพื่อที่ข้าวกล่องในวันพรุ่งนี้จะได้เป็นเมนูที่อยากกิน คุณน้ารดาสุดใจดีหันมายิ้มบางๆให้กับเธอก่อนจะปฏิเสธ"ใบกะเพราหมด ไว้พรุ่งนี้กลับมาจากโรงเรียนแล้วค่อยกินได้ไหมคะ เดี๋ยวน้าจะทำไว้รอ""ไม่ เจนน่าจะกินตอนเที่ยงพรุ่งนี้ คุณน้ารดาต้องทำให้เจนน่าค่ะ"เพราะเธอรักเจนน่าเหมือนลูกในไส้ แม้ว่าเด็กสาวจะเอาแต่ใจหรือพูดจาไม่ดีกับเธอมากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดโกรธ มิหนำซ้ำยังพยายามหาสิ่งที่หล่อนอยากได้มาให้ทุกครั้งไปโชคดีเหลือเกินที่ฐานะทางการเงินของเธอนั้นดีมาก ดียิ่งกว่านรุตม์หลายเท่า ทำให้ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่หากจะหาของดีๆมีราคามาให้กับเด็กสาวจนห