ต้องรักตื่นนอนประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง รู้สึกว่าอาการปวดตึงที่ข้อเท้าเริ่มดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เล่าให้มารดาฟังว่าเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนเล็กน้อยจนข้อเท้าแพลง ท่านจึงนวดจับเส้นให้จนสามารถเดินลงน้ำหนักได้เต็มเท้ามากขึ้น
หญิงสาวจัดการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เสร็จเรียบร้อยก็เดินลงไปชั้นล่าง ได้ยินเสียงตำน้ำพริกอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไปดูเผื่อมีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง
“มีอะไรให้ช่วยไหมแม่”
ร่างเล็กเดินเข้าไปยืนเมียงมองที่โต๊ะเล็กข้างเตาแก๊สปิกนิก เห็นมีไข่ไก่วางไว้ในชามใบเล็กสองฟอง มีต้นหอมที่ยังไม่ได้ซอยวางอยู่บนเขียง เธอจึงเดินเข้าไปจัดการต่อให้ทันที
“งั้นรักเจียวไข่เองนะ” พูดพลางลงมือหั่นต้นหอมสำหรับใส่ไข่เจียว พอดีกับที่มารดาตำน้ำพริกเสร็จจึงหันมาถามบุตรสาวอย่างเอาใจใส่ เพราะเห็นเวลาเพิ่งจะเที่ยงเท่านั้น เท่ากับว่าต้องรักเพิ่งนอนไปได้แค่ห้าชั่วโมง
“นอนอิ่มแล้วเหรอลูก น่าจะนอนอีกสักหน่อยไหนๆ ก็หยุดเรียนแล้ว”
“ไม่ไหวละจ้ะแม่ ท้องร้องโครกครากเลยต้องลงมาหาอะไรกินนี่แหละ อีกอย่างนะ วันนี้รักจะไปแถวที่ทำงานเร็วกว่าเดิมสักหน่อย ว่าจะลองไปเดินดูห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์แถวนั้นน่ะ”
หญิงสาวตอบมารดาพลางจัดการเทไข่เจียวลงในกระทะ จึงไม่ทันได้เห็นสีหน้าหนักใจของมารดาที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“แม่กลัวไอ้หลกมันจะตามเจอน่ะสิ หูตามันยังกะสับปะรด ขืนมันรู้ขึ้นมาเราได้ตายกันแน่”
ลำพังหล่อนนั้นไม่เคยกลัวอยู่แล้วเรื่องความตาย ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับดิลก อีกทั้งยังมารู้ว่าตนเองเป็นโรคร้ายอย่างมะเร็งด้วยแล้วยิ่งไม่เคยหวั่น แต่ที่หล่อนห่วงแสนห่วงก็เห็นจะเป็นลูกสาวคนเดียวอย่างต้องรัก ซึ่งถ้าหากหล่อนสิ้นบุญไปแล้วก็ไม่รู้ว่าต้องรักจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของพ่อเลี้ยงอย่างดิลกได้หรือไม่
ที่หล่อนไม่สามารถพาลูกหนีไปไหนได้ก็เพราะคำขู่ที่ดิลกพูดกรอกหูอยู่ทุกวัน ทั้งขู่จะขายต้องรักให้ซ่องของเสี่ยหาญที่เบื้องหน้าเป็นคาราโอเกะ หรืออาจจะหาเรื่องยัดยาเพื่อให้ต้องรักโดนจับหากหล่อนกับต้องรักคิดหนีไปอยู่ที่อื่น ยังดีที่ดิลกยังกลัวคำสาบานต่อหน้าพระที่เคยให้ไว้ว่าจะไม่ล่วงเกินหรือข่มเหงน้ำใจต้องรักในเชิงชู้สาว
“บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะแม่ ถ้ามันทำอย่างนั้นแล้วตำรวจทำไม่รู้ไม่ชี้ก็เกินไปหน่อยแล้วมั้ง”
พูดแล้วก็อดฉุนไม่ได้ ตำรวจท้องที่นี้เกรงใจเสี่ยหาญกันแทบทั้งสน. ใครที่ไม่อยากมีปัญหาหรืออยากใช้ชีวิตแบบสงบสุขก็ต้องยอมให้เขาเอาเปรียบอยู่ร่ำไป ไม่มีปากมีเสียงไปกล่าวโทษหรือทวงสิทธิ์ของตนเอง
“รักจะพาแม่ออกไปอยู่ที่อื่นให้ได้”
น้ำเสียงอ่อนหวานนั้นย้ำชัดอย่างหนักแน่น เธออยากหนีไปให้พ้นจากละแวกนี้ ไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก เธออยู่ที่นี่มานานเกินไป นานเสียจนรู้สึกเต็มกลืนกับความเหลวแหลกของที่นี่ บางวันเธอต้องเดินหลบเลี่ยงเด็กวัยรุ่นที่มานั่งพี้ยากันข้างวัด บางคืนเธอต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงทะเลาะด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายของคู่ผัวเมียที่อยู่บ้านติดกัน และที่สำคัญที่นี่ไม่มีคนจริงใจ มีแต่พวกปากหวานก้นเปรี้ยวที่พอถึงเวลาจะขอความช่วยเหลือจริงๆ แล้วกลับไม่มีสักคน
ต้องรักแอบออกมานับเงินค่าทิปที่ได้เช่นทุกวัน หญิงสาวเบะปากเมื่อเห็นยอดของคืนนี้ไม่ได้ตามเป้า สมองเริ่มคิดคำนวณถึงค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเนื่องจากใกล้สิ้นเดือนเข้ามาทุกที หักลบกลบหนี้แล้วเงินก็ยังไม่พอจ่ายค่ามัดจำอพาร์ตเมนต์ล่วงหน้าสามเดือนที่เธอเพิ่งไปติดต่อมาเมื่อช่วงเย็นนี้ได้
หญิงสาวยืนเอาหลังพิงกำแพงพร้อมกับถอนหายใจแผ่ว วันนี้เธอเบื่อที่ต้องมาคอยตอบคำถามของเพื่อนพนักงานที่ต่างพากันมาถามไถ่ถึงเหตุการณ์เมื่อวานไม่ขาดสาย ข่าวไปไวเสียจริง แต่นั่นก็ไม่เท่ากับบางคนที่มีสีหน้าตื่นตกใจเมื่อยังเห็นเธอมาทำงานได้ตามปกติ เพราะคิดว่าเธอถูกลากไปรุมโทรมเข้าให้แล้ว สุดท้ายจึงต้องคอยอธิบายเรื่องเมื่อคืนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามีคนมาช่วยไว้ได้ทัน ใครถามก็ต้องเริ่มต้นเล่าใหม่ราวกับฉายภาพยนตร์เรื่องเดิม
ระหว่างที่กำลังสอดเงินเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง เงาร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ทอดยาวลงมาทาบทับบนตัวเธอจากทางด้านหลัง หญิงสาวจึงรีบหันไปมองเจ้าของเงาทันที
“อุ๊ย! คุณชนาธิป”
เพียงแค่เห็นหน้า ใจก็เต้นกระหน่ำจนมือสั่นตามไปด้วย แต่ก็ต้องยกมือขึ้นไหว้เขาผู้เป็นนายจ้างตามธรรมเนียม สายตาเจ้ากรรมอดมองไปที่มือของเขาไม่ได้ ใครจะเชื่อว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเธอได้สัมผัสกับมือใหญ่ที่แสนอบอุ่นคู่นี้อย่างใกล้ชิด
“หายดีแล้วหรือถึงมาทำงานได้”
น้ำเสียงคนถามช่างราบเรียบจนเป็นเอกลักษณ์ของเขา แต่ต้องรักกลับรู้สึกได้ถึงการตำหนิอยู่กลายๆ จากปลายเสียงนั้น
“ก็...ดีขึ้นมากแล้วค่ะ แม่นวดจับเส้นให้ตอนที่กลับไปถึงบ้านก็เลยดีขึ้น”
หญิงสาวเงยหน้าตอบเขาไปตามตรงอย่างไม่อ้อมค้อม เห็นสายตาคมปลาบของเขามองมานิ่งๆ แล้วก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน และที่สำคัญ ไม่รู้ว่าตอนนี้ผิวแก้มร้อนๆ ของเธอจะแดงขึ้นมาบ้างหรือเปล่า
“ดีขึ้นก็ดีแล้ว ไปทำงานต่อเถอะ”
น้ำเสียงทอดอ่อนของเขาทำให้ต้องรักเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครา แต่คราวนี้เธอกลับถอนสายตาออกมาจากเขาไม่ได้เมื่อเห็นเรียวปากได้รูปนั้นยกยิ้มขึ้น แม้มันจะแค่เล็กน้อยแต่สำหรับเธอแล้วถือว่าวันนี้ได้กำไรสุดๆ เพราะไม่เพียงแต่ปากของเขาเท่านั้นที่แย้มยิ้ม ดวงตาของเขาก็ยิ้มส่งมาให้ด้วย
ร่างสูงหมุนตัวเดินกลับไปทางอาคารของผู้บริหาร ทิ้งสายตาของต้องรักให้มองตามไปด้วยหัวใจที่พองฟูจนคับอก วันนี้ถึงจะได้เงินมาน้อยแต่เธอก็ได้อย่างอื่นมาทดแทนแล้ว นั่นก็คือรอยยิ้มของเขา...
ว่าแต่ทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงนี้ได้หนอ ในเมื่อห้องผู้บริหารก็อยู่ชั้นบน หนำซ้ำบันไดและประตูทางเข้าก็ไม่ได้ผ่านบริเวณที่เธอยืนอยู่สักนิด
ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลยว่าที่เห็นเขามายืนคุยด้วยเมื่อครู่นั้น เป็นเพราะเขาตั้งใจลงมาหาเธอโดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่บังเอิญผ่านมาอย่างที่เข้าใจ เพียงแค่คิดหัวใจก็สั่นไหวขึ้นมาอีกครั้งจนอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้
ต้องรักพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือของดิลกก็เลื่อนขึ้นมาตรึงข้อมือไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวจึงก่นด่าพร้อมทั้งข่มขู่ด้วยความแค้นเคือง“ไอ้หลก แกฆ่าแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้ ไอ้เลว!”“กูไม่ได้ฆ่าแม่มึง นังจงมันตกบันไดลงมาเอง”ดิลกรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ต้องรักได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นร้อยเท่าพันทวี“กะอีแค่ทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง แม่มึงจะหวงไว้ทำไมนักหนา กูแค่ขอยืมไปหมุนหน่อยเดียวแต่มันไม่ยอมให้ กูก็ต้องขโมยเอาสิ แม่มึงวิ่งตามกูจะเอาคืนแล้วพลาดตกบันไดมาเองไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย”“ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยนะ ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน” ต้องรักดิ้นรนสุดแรงเท่าที่ตัวเองจะมี ปากก็ร้องด่าทอดิลก พ่อเลี้ยงไปด้วย“ปล่อยก็โง่แล้ว กูเล็งมึงมาตั้งนาน ตอนแม่มึงอยู่กูทำอะไรไม่ได้เพราะติดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่มึง แต่ตอนนี้แม่มึงมันก็ตายไปแล้ว ยอมๆ กูไปเถอะน่ากูรู้ว่ามึงเองก็ไม่ได้สดซิงอะไรนักหรอกทำงานกลางคืนอย่างนั้นน่ะ”ถ้อยคำต่ำทรามที่พ่นออกมาจากปากของดิลกทำเอาหญิงสาวแ
“ไปคุยกันที่บ้านเอ็งดีกว่า” พูดจบก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างเชื่องช้า ต้องรักจึงเดินไปข้างๆ พร้อมกับชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วยยายสาเป็นคนแก่คนหนึ่งที่คนในซอยมักไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าใกล้วัด นานๆ จึงจะมีลูกหลานมาเยี่ยมมาหาสักครั้ง ซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจลูกหลานของยายสานักว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ถึงได้ปล่อยปละละเลยให้คนชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่เพียงลำพังได้“ยายมีของมาคืนให้เอ็งน่ะ”เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงชราก็นั่งลงที่เก้าอี้แล้วรูดซิปล้วงหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าพลางยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าต้องรักเอื้อมมือไปรับมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างงุนงงสงสัย เห็นยายสาพยักพเยิดให้เธอเปิดถุงออกดูจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคือแหวนทองประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเดี่ยวๆ ไม่ใหญ่มากนัก แต่มันกลับทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาทันที เพราะจำได้ดีว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญกับมารดามากเพียงใด“นังจง แม่เอ็งน่ะเอามาฝากยายไว้ตั้งนานแล้ว เพราะขืนเอาเก็บไว้ที่บ้านไอ้หลกมันคงขโมยไปขายเอาเงิ
ร่างผอมบางของจงรักถูกลุงเพิ่มอุ้มพาไปยังเบาะรถสามล้ออย่างทุลักทุเล โดยมีต้องรักและนวลตามขึ้นไปนั่งอยู่บนพื้นด้วย จากนั้นรถก็มุ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้เพราะต้องรักไม่ได้สนใจ ตอนนี้สายตาของหญิงสาวจ้องเขม็งไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่มารดาเข้าไปอยู่ในนั้นได้พักใหญ่แล้ว การรอคอยช่างแสนทรมาน ยิ่งยาวนานก็ยิ่งรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบอัดให้เล็กลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายใจไม่ออก“รักเอ๊ย...แม่เอ็งถึงมือหมอแล้ว เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”นวลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาบีบหัวไหล่เบาๆ อย่างปลุกปลอบ ต้องรักหันมามองครู่หนึ่งก่อนน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กักเก็บไว้จะไหลทะลักออกมาจากหน่วยตาอีกครั้ง“รักไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รักกลับมาจากทำงานก็เห็นแม่นอนอยู่หน้าบันไดแล้ว” ต้องรักพูดปนสะอื้น ในขณะที่นวลนั้นทำท่านึกอะไรบางอย่าง“รู้สึกป้าจะได้ยินไอ้หลกมันทะเลาะกับแม่เอ็งนะ เหมือนมันจะเอาอะไรสักอย่างแล้วแม่เอ็งไม่ยอมให้น่ะ ป้าเองก็ไม่ได้สนใจเพราะเห็นทะเลาะกันเกือบทุกวันอยู่แล้ว”ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต
ต้องรักเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนพนักงานออกมาจากอาคารเพื่อกลับบ้านดังเช่นทุกวัน นัยน์ตาคู่สวยชะเง้อมองไปยังที่จอดรถทางฝั่งของผู้บริหารอย่างลืมตัว รถยุโรปคันหรูที่เธอเคยนั่งยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม อันเป็นการบอกว่าเขาคนนั้นยังไม่ได้ออกจากที่นี่ อยากหยุดยืนเพื่อรอส่งตอนที่รถของเขาแล่นผ่าน แต่ก็เกรงว่าหากทำอย่างนั้นเขาจะมองว่าเธอกำลังทอดสะพานให้เขา คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินตามกลุ่มเพื่อนออกไปทว่ายังไม่ทันเดินพ้นเขตลานจอดรถดี รถคันที่ต้องรักมองดูอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวแล่นผ่านหน้าของทุกคนไป ต้องรักมองไปยังกระจกของที่นั่งตอนหลังพร้อมกับคลี่ยิ้มให้ มองผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่าเธอกำลังยิ้มให้เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา แต่ใครเลยจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอกำลังยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นต่างหาก“รัก!”ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลัง แต่เจ้าของชื่อไม่ได้หันกลับไปเพราะมัวแต่มองส่งรถคนนั้นจนกระทั่งลับสายตา พร้อมกับที่ผู้ตะโกนเรียกมาหยุดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างๆ“รักขึ้นรถเราเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”อน
“ไม่เป็นไรหรอกบอย รักกลับเองดีกว่า อีกอย่างนะ ทางไปบ้านบอยกับบ้านรักมันคนละทางกันเลยนะ บอยไม่ต้องไปส่งเราหรอก”ต้องรักรีบปฏิเสธออกมาทันทีพร้อมกับยกแขนของยุวรรณดาขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเพื่อน“จะสี่โมงแล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ บาย”เมื่อเห็นว่าอีกสิบนาทีจะบ่ายสี่โมง ต้องรักจึงรีบตัดบทแล้วหาทางเลี่ยงออกมาทันที เพราะกลัวว่าอนุวัฒน์จะดึงดันขอไปส่งบ้านให้ได้ เพื่อนชายคนนี้คิดกับตนอย่างไรใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แม้ว่าเขาจะดีและมีน้ำใจกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถคิดกับเขาเกินเพื่อนได้จริงๆเดินห่างเพื่อนออกมาได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นเตือนขึ้นมาว่ามีคนโทร.เข้า ต้องรักเอามือควานหาโดยไม่หยุดเดิน เมื่อเจอแล้วก็กดรับสายทันที โดยไม่ต้องดูชื่อเพราะรู้ว่าใครโทร.มา“ค่ะ รักกำลังจะถึงหน้ามอแล้วค่ะคุณธิป...ได้ค่ะ”หลังจากวางสาย ร่างเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางหน้ามหาวิทยาลัย ยิ่งเขาบอกว่ากำลังจอดรถรออยู่ หญิงสาวก็ยิ่งลนลานรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้เขารอนาน จึง
ต้องรักตื่นนอนประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง รู้สึกว่าอาการปวดตึงที่ข้อเท้าเริ่มดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เล่าให้มารดาฟังว่าเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนเล็กน้อยจนข้อเท้าแพลง ท่านจึงนวดจับเส้นให้จนสามารถเดินลงน้ำหนักได้เต็มเท้ามากขึ้นหญิงสาวจัดการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เสร็จเรียบร้อยก็เดินลงไปชั้นล่าง ได้ยินเสียงตำน้ำพริกอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไปดูเผื่อมีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง“มีอะไรให้ช่วยไหมแม่”ร่างเล็กเดินเข้าไปยืนเมียงมองที่โต๊ะเล็กข้างเตาแก๊สปิกนิก เห็นมีไข่ไก่วางไว้ในชามใบเล็กสองฟอง มีต้นหอมที่ยังไม่ได้ซอยวางอยู่บนเขียง เธอจึงเดินเข้าไปจัดการต่อให้ทันที“งั้นรักเจียวไข่เองนะ” พูดพลางลงมือหั่นต้นหอมสำหรับใส่ไข่เจียว พอดีกับที่มารดาตำน้ำพริกเสร็จจึงหันมาถามบุตรสาวอย่างเอาใจใส่ เพราะเห็นเวลาเพิ่งจะเที่ยงเท่านั้น เท่ากับว่าต้องรักเพิ่งนอนไปได้แค่ห้าชั่วโมง“นอนอิ่มแล้วเหรอลูก น่าจะนอนอีกสักหน่อยไหนๆ ก็หยุดเรียนแล้ว”“ไม่ไหวละจ้ะแม่ ท้องร้องโครกครากเลยต้องลงมาหาอะไรกินนี่แหละ อีกอย่างนะ วันนี้รักจะไปแถวที่ทำงานเร็วกว่าเดิมสักหน่อย ว่าจะลองไปเดินดูห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์แถว