เพราะใกล้สว่างแล้ว เวลานี้ผู้คนแถวบ้านคงตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันกันแล้วเป็นแน่ เธอให้หยุดรถตรงนี้เสียดีกว่าที่จะต้องไปรบรากับสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนบ้านที่คงมองมาทางหน้าบ้านเธอเป็นตาเดียว
ชุมชนหลังวัดคือละแวกบ้านที่ต้องรักอาศัยอยู่ เป็นชุมชนขนาดกลางที่มีบ้านหลังเล็กปลูกติดๆ กันรวมแล้วกว่าร้อยหลังคาเรือน ลักษณะเป็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ พื้นที่ด้านข้างมีพอแค่ให้วางราวตากผ้าได้เท่านั้น ส่วนด้านหน้าติดกับถนน ประตูบ้านส่วนใหญ่เป็นประตูไม้ธรรมดา เมื่อเปิดประตูออกมาก็จะเป็นพื้นที่บาทวิถีเล็กน้อยไร้สิ่งกำบัง ฉะนั้นหากเขาขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน ไม่แคล้วว่าคนแถวนั้นคงได้เห็นแล้วเอาไปพูดกันสนุกปากเป็นแน่
“ตรงนี้เลยใช่ไหมครับ”
ชัชวาลชะลอรถพลางถามหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลังพร้อมกับมองหน้าเธอผ่านกระจก ทว่ายังไม่ทันที่ต้องรักจะตอบรับออกไป เสียงราบเรียบติดจะเย็นชาของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ขับเข้าไปข้างใน”
ชนาธิปสั่งสั้นๆ ชัชวาลจึงเคลื่อนรถต่อไปโดยผ่านจุดที่หญิงสาวบอกให้จอด ต้องรักเหลือบมองเจ้าของคำสั่งอย่างหวาดๆ เพราะน้ำเสียงของเขาเมื่อครู่นั้นเหมือนเจือความไม่พอใจแทรกซึมอยู่ด้วย
ตาสองคู่สบกันราวกับตั้งใจ เพราะทันทีที่เธอหันไปก็เห็นเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่สายตาคมดุนั้นจะมองต่ำเลยไปยังข้อเท้าของเธอ เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็รู้แล้วว่าเขาไม่ประสงค์จะให้เธอเดินเข้าซอยไปทั้งที่ขายังคงเจ็บอยู่
จะว่าไปแล้ว ถ้าให้เลือกระหว่างการทนเจ็บ แต่ไม่ต้องโดนสายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้าน กับการที่นั่งรถหรูไปจอดถึงหน้าประตูสบายๆ พร้อมกับการถูกเอาไปนินทาทั่วทั้งซอยในระยะเวลาไม่นาน เธอขอเลือกอย่างแรกโดยไม่ลังเลสักนิด
แต่เธอจะพูดอะไรได้เล่า แค่ทำท่าจะอ้าปากค้าน เขาก็ตวัดสายตามาห้ามแล้ว
“จอดหน้าบ้านที่มีเก้าอี้ม้าหินนั่นน่ะค่ะ บ้านของรักเอง”
ประโยคหลังต้องรักหันไปมองชนาธิปราวกับต้องการรายงานให้เขารับทราบ ชายหนุ่มหันมองหน้าเธอเพียงนิดก่อนจะมองไปยังบ้านหลังที่เธอบอก กระทั่งรถเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าประตูบ้านเป็นที่เรียบร้อย ชัชวาลจึงปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถไปเปิดประตูให้หญิงสาวก้าวลงมา
มืออุ่นร้อนของเขาตบเบาๆ ที่หัวเข่าของหญิงสาวแทนการบอกลา ก่อนจะชักมือกลับไปวางไว้ที่ตักของตน ต้องรักยกมือไหว้ลาเขาแล้วค่อยๆ ก้าวขาลงจากรถ พยายามอย่างยิ่งที่จะเดินให้มั่นคงที่สุดจนสามารถเดินอ้อมหลังรถมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเองได้สำเร็จ
กระจกรถสะท้อนแต่เงาของเธอเอง เธอไม่สามารถมองเห็นชายหนุ่มที่นั่งเคียงคู่มากับเธอได้แม้แต่น้อย แต่เธอก็รู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังมองมาที่เธออยู่แน่นอน
นัยน์ตาคู่สวยมองเงาของตัวเองที่สะท้อนออกมาพร้อมกับคลี่ยิ้มให้คนที่นั่งอยู่หลังเงานั้น แม้จะเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เธอก็เดาได้ว่าเบื้องหลังกระจกติดฟิล์มดำนี้คงมีเพียงใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึก แต่สายตานั้นอบอุ่นเกินใคร
รถคันหรูเคลื่อนผ่านหน้าบ้านของเธอไป ต้องรักยืนมองส่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเห็นแต่ไฟท้ายสีแดงอยู่ไกลลิบๆ จึงหมุนตัวกลับเข้าบ้าน มือควานหากุญแจในกระเป๋าเพื่อไขประตู ทำทีเป็นไม่สนใจสายตาของหญิงแก่บ้านตรงข้ามที่กำลังเตรียมตัวเข็นรถไปขายหมูปิ้งที่ตลาดหน้าวัด เมื่อก้าวขาเข้าบ้านได้เธอก็ปิดประตูทันที
ต้องรักถึงกับผงะเมื่อเห็นสภาพภายในบ้าน ข้าวของระเนระนาดเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นราวกับเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆ เก้าอี้สำหรับนั่งรับประทานอาหารกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง มีเศษแก้วเกลื่อนพื้นตรงบันไดขึ้นชั้นสอง สิ่งแรกที่ต้องรักนึกถึงในยามนี้ก็คือมารดาที่นอนป่วยอยู่ข้างบน!
“แม่!”
หญิงสาวกัดฟันลืมความเจ็บ ค่อยๆ พาร่างของตัวเองกะเผลกขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้านโดยไม่ได้ถอดรองเท้าเพราะเกรงว่าจะเผลอเหยียบเศษแก้วเข้า เมื่อขึ้นไปได้เธอก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตนทันที
ตั้งแต่มารดาป่วย พ่อเลี้ยงก็ไล่ให้มารดามานอนห้องเดียวกับเธอโดยอ้างว่าเพื่อความสะดวกในการดูแล ซึ่งเธอก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเผื่อมารดามีไข้ขึ้นมาจะได้ดูแลกันได้ทันท่วงที อีกทั้งเป็นข้อดีในการดูแลตัวเธอเองด้วย โชคดีที่ดิลก พ่อเลี้ยงของเธอนั้นยังเห็นแก่หน้าเมียตัวเองบ้าง จึงไม่ทำอะไรรุ่มร่ามกับเธอต่อหน้าท่าน แม้ว่าลับหลังเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ลวนลามเธอก็ตาม
“แม่เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า มันทำอะไรแม่ไหม”
ต้องรักรีบเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงที่มารดากำลังนอนหันหลังให้อยู่ คนถูกถามหันมาหาบุตรสาวพร้อมกับส่ายหน้าให้เล็กน้อย ต้องรักจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟให้สว่างขึ้น
“มันไม่ได้ทำอะไรแม่หรอก มันเข้ามาแล้วไม่เห็นรักกลับมาสักทีก็เลยโมโหพาลเขวี้ยงนั่นโยนนี่ไปเรื่อย สงสัยมันจะเอาตังค์กับรักนั่นแหละ”
มารดาหยุดพูดไปชั่วครู่ มือผอมเกร็งยกขึ้นเกาะกุมใบหน้าของบุตรสาวพลางลูบเบาๆ
“รักไปอยู่ที่อื่นเถอะลูก ไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่อยู่ได้ หลกมันไม่กล้าทำอะไรแม่หรอก”
ตนหมายความอย่างที่พูด ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าสามีพยายามคิดหาทางรวบหัวรวบหางต้องรักมาหลายครั้งหลายครา แต่ตนทำได้ก็แค่ปรามและขอร้องเท่านั้น แม้เคยคิดว่าจะพากันหนีไปอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูก แต่ดิลกก็ขู่เอาไว้ว่าถ้าหากตามเจอเมื่อไรจะฆ่าทิ้งทันที อีกทั้งยังจะให้คนของเสี่ยหาญมาเอาตัวต้องรักไปอยู่ที่ร้านคาราโอเกะด้วย
ดิลกเป็นคนของเสี่ยหาญ ซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ของคนในละแวกนี้ และยังเป็นเจ้าของร้านคาราโอเกะที่มีการขายบริการอย่างลับๆ คนในซอยต่างรู้กันทั่วไม่เว้นแม้แต่ตำรวจท้องที่ที่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทุกคนจึงเกรงกลัวเสี่ยหาญด้วยกันทั้งนั้น ทำให้ตนไม่กล้าพาต้องรักหนีไปอยู่ที่ไหนเพราะกลัวคำขู่ของดิลก
“แม่ก็รู้ว่ารักทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้ารักจะไปก็ต้องพาแม่ไปด้วย เอางี้นะแม่ ขอเวลารักสองวัน ให้รักหาห้องเช่าถูกๆ แถวที่ทำงานรักก่อนนะ แล้วเราค่อยย้ายไปอยู่ที่นั่นกันดีไหมแม่”
ต้องรักตาเป็นประกายเมื่อมารดาพูดถึงเรื่องการออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอคิดเอาไว้นานแล้วแต่ติดที่มารดาไม่เคยยอมปริปากว่าจะไปอยู่ด้วยเลยสักครั้ง
“ตามใจรักเถอะ” มารดากัดฟันพูดอย่างเหนื่อยล้า แต่เพื่อให้บุตรสาวคลายความกังวลและสบายใจจึงจำต้องยอมรับปากออกไปส่งๆ ทั้งที่ตอนนี้ความคิดบางอย่างพุ่งวาบเข้ามาในหัว
ถ้าไม่มีหล่อนสักคน...ต้องรักคงไปได้ไกลกว่านี้...
ต้องรักพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือของดิลกก็เลื่อนขึ้นมาตรึงข้อมือไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวจึงก่นด่าพร้อมทั้งข่มขู่ด้วยความแค้นเคือง“ไอ้หลก แกฆ่าแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้ ไอ้เลว!”“กูไม่ได้ฆ่าแม่มึง นังจงมันตกบันไดลงมาเอง”ดิลกรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ต้องรักได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นร้อยเท่าพันทวี“กะอีแค่ทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง แม่มึงจะหวงไว้ทำไมนักหนา กูแค่ขอยืมไปหมุนหน่อยเดียวแต่มันไม่ยอมให้ กูก็ต้องขโมยเอาสิ แม่มึงวิ่งตามกูจะเอาคืนแล้วพลาดตกบันไดมาเองไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย”“ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยนะ ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน” ต้องรักดิ้นรนสุดแรงเท่าที่ตัวเองจะมี ปากก็ร้องด่าทอดิลก พ่อเลี้ยงไปด้วย“ปล่อยก็โง่แล้ว กูเล็งมึงมาตั้งนาน ตอนแม่มึงอยู่กูทำอะไรไม่ได้เพราะติดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่มึง แต่ตอนนี้แม่มึงมันก็ตายไปแล้ว ยอมๆ กูไปเถอะน่ากูรู้ว่ามึงเองก็ไม่ได้สดซิงอะไรนักหรอกทำงานกลางคืนอย่างนั้นน่ะ”ถ้อยคำต่ำทรามที่พ่นออกมาจากปากของดิลกทำเอาหญิงสาวแ
“ไปคุยกันที่บ้านเอ็งดีกว่า” พูดจบก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างเชื่องช้า ต้องรักจึงเดินไปข้างๆ พร้อมกับชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วยยายสาเป็นคนแก่คนหนึ่งที่คนในซอยมักไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าใกล้วัด นานๆ จึงจะมีลูกหลานมาเยี่ยมมาหาสักครั้ง ซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจลูกหลานของยายสานักว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ถึงได้ปล่อยปละละเลยให้คนชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่เพียงลำพังได้“ยายมีของมาคืนให้เอ็งน่ะ”เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงชราก็นั่งลงที่เก้าอี้แล้วรูดซิปล้วงหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าพลางยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าต้องรักเอื้อมมือไปรับมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างงุนงงสงสัย เห็นยายสาพยักพเยิดให้เธอเปิดถุงออกดูจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคือแหวนทองประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเดี่ยวๆ ไม่ใหญ่มากนัก แต่มันกลับทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาทันที เพราะจำได้ดีว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญกับมารดามากเพียงใด“นังจง แม่เอ็งน่ะเอามาฝากยายไว้ตั้งนานแล้ว เพราะขืนเอาเก็บไว้ที่บ้านไอ้หลกมันคงขโมยไปขายเอาเงิ
ร่างผอมบางของจงรักถูกลุงเพิ่มอุ้มพาไปยังเบาะรถสามล้ออย่างทุลักทุเล โดยมีต้องรักและนวลตามขึ้นไปนั่งอยู่บนพื้นด้วย จากนั้นรถก็มุ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้เพราะต้องรักไม่ได้สนใจ ตอนนี้สายตาของหญิงสาวจ้องเขม็งไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่มารดาเข้าไปอยู่ในนั้นได้พักใหญ่แล้ว การรอคอยช่างแสนทรมาน ยิ่งยาวนานก็ยิ่งรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบอัดให้เล็กลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายใจไม่ออก“รักเอ๊ย...แม่เอ็งถึงมือหมอแล้ว เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”นวลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาบีบหัวไหล่เบาๆ อย่างปลุกปลอบ ต้องรักหันมามองครู่หนึ่งก่อนน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กักเก็บไว้จะไหลทะลักออกมาจากหน่วยตาอีกครั้ง“รักไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รักกลับมาจากทำงานก็เห็นแม่นอนอยู่หน้าบันไดแล้ว” ต้องรักพูดปนสะอื้น ในขณะที่นวลนั้นทำท่านึกอะไรบางอย่าง“รู้สึกป้าจะได้ยินไอ้หลกมันทะเลาะกับแม่เอ็งนะ เหมือนมันจะเอาอะไรสักอย่างแล้วแม่เอ็งไม่ยอมให้น่ะ ป้าเองก็ไม่ได้สนใจเพราะเห็นทะเลาะกันเกือบทุกวันอยู่แล้ว”ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต
ต้องรักเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนพนักงานออกมาจากอาคารเพื่อกลับบ้านดังเช่นทุกวัน นัยน์ตาคู่สวยชะเง้อมองไปยังที่จอดรถทางฝั่งของผู้บริหารอย่างลืมตัว รถยุโรปคันหรูที่เธอเคยนั่งยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม อันเป็นการบอกว่าเขาคนนั้นยังไม่ได้ออกจากที่นี่ อยากหยุดยืนเพื่อรอส่งตอนที่รถของเขาแล่นผ่าน แต่ก็เกรงว่าหากทำอย่างนั้นเขาจะมองว่าเธอกำลังทอดสะพานให้เขา คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินตามกลุ่มเพื่อนออกไปทว่ายังไม่ทันเดินพ้นเขตลานจอดรถดี รถคันที่ต้องรักมองดูอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวแล่นผ่านหน้าของทุกคนไป ต้องรักมองไปยังกระจกของที่นั่งตอนหลังพร้อมกับคลี่ยิ้มให้ มองผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่าเธอกำลังยิ้มให้เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา แต่ใครเลยจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอกำลังยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นต่างหาก“รัก!”ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลัง แต่เจ้าของชื่อไม่ได้หันกลับไปเพราะมัวแต่มองส่งรถคนนั้นจนกระทั่งลับสายตา พร้อมกับที่ผู้ตะโกนเรียกมาหยุดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างๆ“รักขึ้นรถเราเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”อน
“ไม่เป็นไรหรอกบอย รักกลับเองดีกว่า อีกอย่างนะ ทางไปบ้านบอยกับบ้านรักมันคนละทางกันเลยนะ บอยไม่ต้องไปส่งเราหรอก”ต้องรักรีบปฏิเสธออกมาทันทีพร้อมกับยกแขนของยุวรรณดาขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเพื่อน“จะสี่โมงแล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ บาย”เมื่อเห็นว่าอีกสิบนาทีจะบ่ายสี่โมง ต้องรักจึงรีบตัดบทแล้วหาทางเลี่ยงออกมาทันที เพราะกลัวว่าอนุวัฒน์จะดึงดันขอไปส่งบ้านให้ได้ เพื่อนชายคนนี้คิดกับตนอย่างไรใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แม้ว่าเขาจะดีและมีน้ำใจกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถคิดกับเขาเกินเพื่อนได้จริงๆเดินห่างเพื่อนออกมาได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นเตือนขึ้นมาว่ามีคนโทร.เข้า ต้องรักเอามือควานหาโดยไม่หยุดเดิน เมื่อเจอแล้วก็กดรับสายทันที โดยไม่ต้องดูชื่อเพราะรู้ว่าใครโทร.มา“ค่ะ รักกำลังจะถึงหน้ามอแล้วค่ะคุณธิป...ได้ค่ะ”หลังจากวางสาย ร่างเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางหน้ามหาวิทยาลัย ยิ่งเขาบอกว่ากำลังจอดรถรออยู่ หญิงสาวก็ยิ่งลนลานรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้เขารอนาน จึง
ต้องรักตื่นนอนประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง รู้สึกว่าอาการปวดตึงที่ข้อเท้าเริ่มดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เล่าให้มารดาฟังว่าเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนเล็กน้อยจนข้อเท้าแพลง ท่านจึงนวดจับเส้นให้จนสามารถเดินลงน้ำหนักได้เต็มเท้ามากขึ้นหญิงสาวจัดการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เสร็จเรียบร้อยก็เดินลงไปชั้นล่าง ได้ยินเสียงตำน้ำพริกอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไปดูเผื่อมีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง“มีอะไรให้ช่วยไหมแม่”ร่างเล็กเดินเข้าไปยืนเมียงมองที่โต๊ะเล็กข้างเตาแก๊สปิกนิก เห็นมีไข่ไก่วางไว้ในชามใบเล็กสองฟอง มีต้นหอมที่ยังไม่ได้ซอยวางอยู่บนเขียง เธอจึงเดินเข้าไปจัดการต่อให้ทันที“งั้นรักเจียวไข่เองนะ” พูดพลางลงมือหั่นต้นหอมสำหรับใส่ไข่เจียว พอดีกับที่มารดาตำน้ำพริกเสร็จจึงหันมาถามบุตรสาวอย่างเอาใจใส่ เพราะเห็นเวลาเพิ่งจะเที่ยงเท่านั้น เท่ากับว่าต้องรักเพิ่งนอนไปได้แค่ห้าชั่วโมง“นอนอิ่มแล้วเหรอลูก น่าจะนอนอีกสักหน่อยไหนๆ ก็หยุดเรียนแล้ว”“ไม่ไหวละจ้ะแม่ ท้องร้องโครกครากเลยต้องลงมาหาอะไรกินนี่แหละ อีกอย่างนะ วันนี้รักจะไปแถวที่ทำงานเร็วกว่าเดิมสักหน่อย ว่าจะลองไปเดินดูห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์แถว