เพลิงลุกไหม้โหมกระหน่ำในความมืดท่ามกลางสายฝนปรอยลงมาเป็นระยะ น้ำขังฉ่ำนองไปทั่วท้องถนนแต่ไม่อาจดับเพลิงถาโถมตามแรงลมกรรโชกสะบัดประกายไฟให้ขยายเป็นวงกว้างแดงฉานไปทั่วฟ้าไร้ดาว
นานนับครึ่งชั่วโมงกว่าเพลิงจะมอดสลายไปพร้อมสายฝนกลายเป็นควันดำพวยพุ่ง ความมืดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณถนนเลียบหน้าผา เบื้องล่างเป็นชะง่อนหินลดหลั่นสูงชันเต็มไปด้วยหญ้าสูงเทียมหัวรกเรื้อ เสียงสาดซัดรุนแรงของคลื่นทะเลดังพอ ๆ กันเสียงคำรามของท้องฟ้าจนแทบไม่มีรถคันใดที่ผ่านไปมาสังเกตเห็นความผิดปกติของรถที่บัดนี้กลายเป็นซากเหล็กสีดำสนิทในป่าหญ้าริมผา
ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ เงยหน้าจากกองหินมหึมาพลิกตัวหงายหลังนอนลงกับพื้นหญ้า ดวงหน้าโชกเลือดเกรอะกรังลืมตา มีเพียงท้องฟ้ามืดมิดไร้ดาว ไร้เรี่ยวแรงจะทำสิ่งใด เจ็บไปหมดทั่วทั้งสรรพางค์กาย มีเพียงเสียงที่เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา
“ช่วยด้วย... ใครก็ได้ช่วยด้วย... ช่วยที”
พยายามเปล่งเสียงเรียกแต่เหมือนว่ามันริบหรี่แผ่วเบาลงทุกทีจนแทบจะสงบนิ่ง ปลายหางตาพร่าเลือนเห็นเพียงเงาร่างทะมึนและเสียงสวบสาบของฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วหยุดลงใกล้จนได้ยินเสียงคุยกันสติสัมปชัญญะเริ่มรางเลือนลงอีกครั้งก่อนที่สติจะดับวูบ...
ร่างท้วมทรุดนั่งจับชีพจรก่อนจะเงยขึ้น ดวงตาฉายแววดีใจก่อนจะสลดลงเมื่อได้ยินคำถามตามมา
“มันตายรึยัง”
“ยังครับ แล้วเราจะทำยังไงกันดี” เสียงร้อนรนแทบจะกลายเป็นกระซิบ “ผมว่า... เราเรียกรถพยาบาลดีไหมครับ...”
“ไม่ต้อง! เอาตัวมันกลับ แล้วปิดปากให้สนิทห้ามบอกใครแม้แต่คนใกล้ชิดเข้าใจไหม...”
“ครับ... แต่ว่า...”
“ช่วยฉันแล้วฉันจะช่วยนาย”
ร่างเพรียวสั่งเสียงเฉียบขาดก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังทิศทางเดิมทิ้งร่างกำยำที่ก้มลงแบกร่างผอมโชกเลือดพาดบ่าพาออกเดินตาม...
ยี่สิบปีผ่านไป...
“สาวน้อย... ตื่นได้แล้ว ถ้าไม่ตื่น ฉันจะจูบเธอนะสาวน้อย… ได้ยินไหม... ถ้าไม่ตื่นฉันจะจูบเธอ... ”
เสียงกระซิบทุ้มนุ่มอ่อนโยนดังขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งอ่อนหวานพาเคลิบเคลิ้มและหวานแว่วเหมือนอยู่ในความฝันเมื่อครั้งนานมาแล้ว
เอรินสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงกระไอร้อนเหมือนลมแผ่วตกกระทบเปลือกตา รู้สึกระคายเคืองจนเปลือกตากะพริบปริบสู้แสงก่อนจะลืมตามอง
ภาพที่ปรากฏคือดวงหน้าขาว ปากอิ่ม จมูกเป็นสัน คิ้วเรียว ดูรวมๆ แล้วดูดีสมบูรณ์แบบฉบับชายชาวเอเชีย โดยเฉพาะดวงตาดำขลับกำลังจ้องมองหล่อนในระยะประชิด รอยยิ้มหยันยกมุมปากที่เห็นทำให้เอรินเผลอยกมือขึ้นปิดหน้าโดยอัตโนมัติ หน้านวลขึ้นสีเลือดฝาดทันทีที่เห็นรอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่ม
“ตื่นได้ซะทีนะ”
คำที่เปล่งออกจากปากคำแรกคล้ายขบขันแต่ไม่เหมือนเสียงที่หล่อนได้ยินในความฝันสักนิด
“คะ... คุณ! คุณจะทำอะไร”
หล่อนถึงกับผงะ ขยับตัวออกห่างจนแทบชิดทางเดิน สีหน้าตระหนกจนปิดไม่มิด
“ผมเรียกคุณตั้งนาน คนอะไรหลับลึกแล้วยังอ้าปากค้างทำน้ำลายหกอีก” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอทำปากแหลมล้อเลียน
“ฉันไม่ได้ทำนะคะ” เอรินแย้งหน้าตื่นรีบเช็ดมุมปากซ้ายขวาแต่ไม่มีอย่างที่เขาพูดสักนิด “คุณก็พูดแรงไป เราไม่รู้จักกันซะหน่อย”
“ขนาดนี้แล้วยังแก้ตัวได้อีกนะ”
“ฉันก็แค่ฝัน คุณต่างหากมาล้อเลียนคนหลับ บาปนะคุณ เรารู้จักกันรึไง” หล่อนตอบเสียงแผ่วลงด้วยความอายสายตาคนรอบข้าง เมื่อครู่ใหญ่เผลอทำเสียงดังจนคนหันมามองกันเป็นตาเดียว
แค่คิดก็อับอายจะแย่ ในที่แคบๆ แบบนี้จะให้หนีอายไปไหนได้ แต่ชายหนุ่มยังไม่หยุด!
“ก็ผมกำลังใช้ความคิดว่าที่คุณทำเสียงกระเส่า แถมยิ้มเชิญชวนซะชนาดนั้น กำลังฝันกลางวันหรือว่า...”
“คุณคะ ฉันไม่ได้!”
ไม่ทันจะได้แก้ข้อกล่าวหา ร่างสูงใหญ่เจ้าของคำพูดยียวน ก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยขบ แถมปรายสายตาตำหนิมาอีก เอรินถึงกับงงกับท่าทางแต่ก็เข้าใจทันทีเมื่อเขาเอ่ย
“ช่วยเขยิบให้หน่อย ผมปวดฉี่จะตายอยู่แล้ว คราวหน้าถ้าจะหลับลึกขนาดนี้กรุณาจองที่นั่งริมหน้าต่างเถอะนะ ผมขอร้อง จะได้ไม่มีใครขัดจังหวะเวลาคุณกำลังเข้าเฝ้าพระอินทร์หรือกำลังฝันถึงเจ้าชายหนุ่มรูปงามอยู่ รู้ตัวรึเปล่าว่าปากคุณเกือบจะจิ้มหน้าผมอยู่แล้ว”
“หา!”
“ไม่หาล่ะ ช่วยเขยิบให้ทีเถอะ” เขาส่ายหน้า ปรายตาอย่างเอือมๆ อีกครั้ง
เอรินถึงกับผงะ ตาโตแทบถลนออกมานอกเบ้า ผู้ชายหน้าทะเล้นคนนี้วางระเบิดหล่อนด้วยคำพูดลูกใหญ่แล้วชิงเบียดตัวออกไป ทำให้หล่อนต้องพิงหลังกับพนักตัวลีบมองไล่หลัง
“ปากจัดจังผู้ชายอะไร ฉันแค่หลับเพลินไปนิดเดียวเอง” บ่นพึมพำค้อนลมแล้งแล้วพลันนึกได้
เสียงของใครบางคนในความฝันที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขาคือคนที่หล่อนมักฝันถึงเสมอตั้งแต่เด็กมาแล้ว เหมือนจิตใต้สำนึกบ่งบอกว่าเจ้าของเสียงนั้นมีตัวตนอยู่ในโลกแห่งความจริง แต่เขาอยู่ที่ไหน...
“อะไร ไม่เอานะคะ ฉันต้องกลับบ้าน เมื่อกี้เราออกมาพ่อก็เห็น ขืนไม่กลับ พ่อด่าฉันตายแน่” “ไม่กลับ คืนนี้อย่ากลับเลยนะเอริน ฉันอยากนอนกอดเมียให้หายคิดถึง ” ชานนท์เสียงอ่อนลง เพราะนึกรู้ว่าเอรินต้องไม่พอใจ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด “คุณเอาแต่ใจแบบนี้ตลอด” หล่อนเสียงอ่อย “หายไปสองเดือนฉันยังไม่ได้บ่นคุณเลย” “ฉันไปจัดการธุระหลายอย่าง และตอนนี้ฉันฟรีไม่มีอะไรติดค้างอีกแล้ว ส่วนถ้าฉันไม่เอาแต่ใจจะได้เธอมาแบบนี้รึไง” เขาเถียงข้างๆ คูๆ “ถึงเราจะจดทะเบียนกันแล้ว แต่พ่อของฉัน และแม่ของคุณยังไม่รับรู้เรื่องของเรา ฉันว่ามันไม่ถูกต้องนะคะ” “มาจนขนาดนี้ ฉันก็ปูนนี้ เธอก็เกินยี่สิบห้าแล้ว ยังกลัวอะไรไม่เข้าเรื่องอยู่อีก” “คุณไม่คิดว่าเราควรทำให้ถูกต้องก่อนหรือคะ” “ก็แค่ลัดขั้นตอนไปหน่อย แต่ฉันจะโทรไปบอกแม่เธอเอง เถอะนะเอริน อย่าขัดใจฉันเลย วันนี้ฉันอยากเดทกับเมีย” ชานนท์ยิ้มให้เอรินตาเป็นประกาย แต่ดวงตากลับมีความหม่นหมองและไหวหวั่นซ่อนอยู่ลึกๆ อย่างน้อยก่อนที่เขาจะต้องไปเจอกับแม่พรุ่งนี้ เขาก็อยากจะทำอะไรเพื่อเอรินบ้า
กว่าจะเคลียร์เรื่องราวทุกอย่างกับพ่อของราเชลโดยนัดเจรจากันที่ลอนดอนลงตัวโดยที่ราเชลไม่รู้ เขาต้องเสียไปหลายอย่าง ทั้งหุ้นโรงแรมในลอนดอนและบ้านสีขาวหลังนั้นที่ทีแรกเขาคิดจะรีโนเวทเป็นโรงแรมในเครือสิทธรา แต่ที่นั่นมีความทรงจำเลวร้ายที่เขาอยากลืม... “ขอบใจนะมิน พี่ฝากโครงการนั้นให้เราสานต่อกับพ่อราเชลเลยก็แล้วกัน ไม่มีแต่ มินทำได้อยู่แล้วนึกว่าช่วยพี่” ชานนท์ยิ้มพึงใจก่อนวางหู สิมิลันยอมช่วยรับภาระบ้านสีขาวหลังนั้นไปแทนโดยที่เขาไม่ต้องเห็นมันให้รกตาอีก ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะบอกคนขับ “เร็วหน่อยครับ ผมมีธุระต่อ” ไม่เพียงแต่ตกลงกับพ่อราเชล เขายังเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูความทรงจำจากเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์กว่าสิบชั่วโมงภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ แล้วเขาก็ได้รู้ทุกอย่างเมื่อความทรงจำฟื้นคืนกลับมา ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดแม้แต่แม่บุญธรรมของเขา ถ้าหากเขาจะเจรจา... หวังว่าหล่อนคงยอม...เมื่อรถแท็กซี่จอดหน้าเรือนไม้บ้านสวน ชานนท์ก็วิ่งวุ่นตามหาเอรินไปทั่ว ในที่สุดเขาก็พบหญิงสาวเดินลงมาจากทางเดินบนเนินเขาทางไปบ้านต้น
“เดี๋ยว! ผมไม่เข้าใจ” กรณ์ยื้อไว้ เมื่อหล่อนจะลุกหนี “ได้แล้วทิ้งงั้นเหรอ ผมไม่ใช่ดอกไม้ริมทางของคุณนะ” “คำนั้นน่าจะหมายถึงฉันมากกว่า” ราเชลหันกลับมายิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ฝืดจนคนมองยังรู้สึก “ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ฉันไม่อยากไร้ค่าไปมากกว่านี้” “คุณไม่ไร้ค่า คุณเป็นเมียผมแล้วอย่าพูดแบบนี้ผมไม่ชอบ” “ฉันไม่ได้เป็นเมียนาย และไม่เคยอยากให้นายมาชอบ” ราเชลตอบแล้วก็ถึงกับนิ่วหน้ารู้สึกเจ็บหัวไหล่ เพราะกรณ์เม้มริมฝีปากกลั้นก้อนจุกในลำคอ และลืมตัวบีบหัวไหล่นวลเนียนแน่น“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะราเชล เราสองคนมาคบกันจริงๆ เถอะ”หญิงสาวถึงกับตะลึงพูดไม่ออก ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกพ่ายแพ้ต่ออะไรบางอย่างได้ขนาดนี้ หล่อนกำลังพ่ายแพ้เสียงอ่อนโยนห่วงใยที่ไม่เคยได้รับจากใครแม้แต่ชานนท์ ผู้ชายที่หล่อนรักที่สุด แต่... หล่อนไม่อยากแพ้“ไม่ต้องพูดมาก นายก็รู้เด็กนอกอย่างฉันจะอะไรกับใครก็ไม่เห็นจะต้องเรียกร้องให้ใครต้องมารับผิดชอบชีวิต ฉันไม่ใช่เอรินนะ" “ผมก็ไม่ได้คิดว่าคุณเป็นตัวแทนเอริน เข้าใจรึเปล่าราเชล คุณเชื่อใจผมนะ” “อย่ามาหลอกให้ดีใจเลย ไม่มีใครรักผู้หญิงที่ยอมนอนด้วยเพียงเพราะอารมณ์ชั
ราเชลเลิกคิ้วสูง มองคนถามด้วยสายตาแปลกๆ กรณ์เหลียวมองยิ้มมุมปากก่อนพูดต่อ“ไม่ใช่อะไร เป็นห่วง มีห้องนอนสองห้อง คุณไปพักที่นั่นก่อน ผมจะได้อยู่เป็นเพื่อนไม่ต้องตีรถกลับประจวบคืนนี้ โอเคไหม” “ไม่เอาหรอก เกิดใครเข้าใจผิดจะว่ายังไง” “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า คุณอายุมากกว่าผมตั้งเยอะ เป็นพี่สาวผมได้ ใครจะกล้าคิดอะไร เอาตามนี้เถอะ ผมขี้เกียจเทียวไปเทียวมาคอนโดกับโรงแรมเพื่อไปรับคุณอีก พักที่คอนโดผมเถอะคืนเดียวเอง โอเค๊” “ก็ได้”“บทจะตกลงก็ง่ายงี้เลย” เขาถามสีหน้าประหลาดใจ“ก็ใช่นะสิ สองหัวดีกว่าหัวเดียว ฉันยิ่งกลัวๆ อยู่ไม่รู้พรุ่งนี้จะเจออะไรบ้าง”“ไม่น่าเชื่อ คุณก็อ่อนแอเป็นเหมือนกัน” “ฉันไม่ใช่วันเดอร์วูแมนนะ” เพราะความเหงาว้าเหว่ที่จู่โจมหัวใจในยามนี้ ทำให้ราเชลเผลอจ้องเด็กหนุ่มคนข้างๆ ที่กำลังบาดเจ็บจากความรักเช่นเดียวกันกับหล่อน บางทีการมีใครสักคนที่พอจะเป็นที่พึ่งคอยอยู่เป็นเพื่อนปรับทุกข์ คงเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวทีเดียว... ท้องฟ้ายามค่ำไม่มีแสงดาวระยิบระยับเหมือนเคย มีเพียงแสงฟ้าแลบคำรามเป็นระยะ ราวกับกำลังจะเกิดพายุใหญ่ ราเชลยืนพิงราวเหล็กระเบียงคอนโดมิเนียมชั้นเกือบบนสุดปล
บ้านต้นไม้ยามพลบค่ำมีเพียงแสงโพล้เพล้ของดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าสาดลงมาให้เห็นเพียงรำไร ไฟทางเดินยังไม่เปิดให้แสง แต่กรณ์ก็อาศัยความเคยชินเดินมาจนถึงอาณาเขตบ้านต้นไม้จนได้ บรรยากาศรอบข้างเงียบเหงาสุดบรรยาย ร่างสูงโปร่งเหลียวมองหานางแบบสาวไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่เทอเรซกว้างที่ราเชลชอบมายืนมองหลังคาบ้านสวนสักพักประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมกับราเชลในชุดคลุมอาบน้ำสีขาว ผมยาวสลวยเป็นลอนเปียกปอนเพราะสระผมมาหมาดๆ ใบหน้าซีดเซียวไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มมีเพียงริ้วรอยแดงเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เมื่อเห็นชายหนุ่มก็เอ่ยทัก “เป็นห่วงฉันรึไง ยังไม่ตายหรอก” เสียงที่คุ้นเคยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เรียกรอยยิ้มของกรณ์ให้หันกลับมามองต้นเสียง ราเชลยิ้มน้อยๆ ให้คนตรงหน้าทั้งที่ยังยืนอยู่ในท่าเดิม “ก็... อืม... คุณเป็นยังไงบ้าง ผมว่าวันนี้คุณพักผ่อนเถอะ ทานอะไรรึยังถ้ายังผมจะสั่งมาให้ แล้วพรุ่งนี้คุณจะเข้ากรุงเทพกี่โมง ผมจะไปส่ง” กรณ์เดินเข้ามายืนตรงข้าม ราเชลหลบสายตาห่วงใยที่มองมาก่อนตอบ “ฉันจะไปวันนี้เลย”“เฮ้ย! เร็วไปไหมคุณ นี่ก็ค่ำแล้วนะ” ชายหนุ่มก้มดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
“เอรินตัวเล็กนิดเดียว แกติดเด็กคนนั้นมากเพราะเขาเป็นเด็กผู้ชายคนเดียวในละแวกบ้าน ตอนนั้นกรณ์ยังไม่ย้ายมาอยู่ข้างบ้าน น้าไม่เห็นว่าแกออกไปตอนไหนมารู้อีกทีก็โดนรถของเด็กคนนั้นชนจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล แกบาดเจ็บหลายแห่งเลือดตกภายใน เกือบไม่รอด โดยเฉพาะหัวใจบอบช้ำมากจนต้องผ่าตัด เรามีเงินรักษาไม่พอ ช่วงนั้นพ่อเอรินวิ่งเต้นหาเงินมารักษาแกจนวุ่นไปหมด แต่คนบ้านนั้นกลับนิ่งดูดาย”“แล้วพ่อแม่เด็กคนนั้นล่ะครับ”“ตายวันเดียวกันค่ะ” อติมาเล่าสีหน้าหดหู่ “อุบัติเหตุรถตกเหวระเบิดไฟคลอกทั้งผัวทั้งเมีย แถมลูกชายที่ขับตามกันไปก็รถคว่ำไหม้เป็นตอตะโก ว่ากันว่าเด็กคงตกเหวไปด้วย”ชานนท์มือไม้เย็น คุ้นเหตุการณ์นั้นเหมือนความทรงจำที่ขาดหายถูกเติมจนเต็ม... เขาคือเด็กชายคนนั้น!เป็นเขาเองที่ขับรถชนเอริน... ทำไมถึงจำไม่ได้!ชานนท์กุมขมับ หัวหมุนติ้วอย่างไม่เคยเป็น รู้แต่ว่าเขาต้องรักษาตัวอยู่นานมาก หลังจากอุบัติเหตุคราวนั้นทำให้ความทรงจำแรกเริ่มขาดหายไป มีเพียงแม่บุญธรรมที่ยืนมือเข้าช่วยเหลือและรับอุปการะ จนหายดีพ่อของสิมิลันก็ส่งเขาไปอยู่เกาหลีกับแม่บุญธรรมและสุดท้ายได้มาร่ำเรียนจนจบปริญญาที่อังกฤษ เขาไม่เ