ชายหนุ่มเสียงเข้ม ดวงตาคมจ้องมาด้วยความเคลือบแคลงอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่า...”
“ฉันไม่ใช่สตอล์กเกอร์จริงๆ ค่ะ” หล่อนส่ายหน้าพลางโบกมือ “ก็ฉันเห็นชื่อคุณที่แท็กกระเป๋าก็เลยจำได้ว่าคุณคือคุณอธิปก ราชรัตน์ แห่งเดอะเกร็ทแทรเวลบริษัททัวร์ที่โด่งดังที่สุดในเมืองไทย” หล่อนร่ายยาว “ที่บ้านฉันก็ส่งแขกให้บริษัททัวร์ของคุณบ่อยๆ”
“ที่บ้านคุณเป็นรีสอร์ต?” อธิปกถามกลับแสดงความสนใจทันที
“เปล่าค่ะ แค่โฮมสเตย์เล็กๆ ทำกันเองในครอบครัวไม่มีชื่อเสียงอะไรหรอกค่ะ” หล่อนตอบสีหน้าภูมิใจ “ฉันถึงอยากเป็นไกด์จะได้เปิดบริษัททัวร์เพิ่มเติมช่วยรายจ่ายที่บ้าน”
อธิปกพยักหน้ารับฟังสีหน้าครุ่นคิด “งั้นผมช่วยครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”
“ขอบคุณมากนะคะ”
เอรินฉีกยิ้มกว้างดีใจจนปิดไม่มิด อธิปกได้แต่ส่ายหน้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความลื่นไหลของหญิงสาว บอกรถแท็กซี่ให้แล่นไปยังเป้าหมายที่หล่อนต้องการ ก่อนจะเมินหน้าหนีหลับตาพิงพนักเบาะปัดความรำคาญ
เอรินมองเสี้ยวหน้าชายหนุ่ม ใบหน้านวลเห่อร้อนจนต้องเบือนหน้าออกนอกหน้าต่างอีกทางมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่แท็กซี่จึงแล่นเข้าสู่ย่านตึกสูงบนถนนยอร์ค มองเห็นลอนดอนอาย[1]โผล่พ้นมุมตึกอยู่ลิบๆ เอรินกวาดตามองหาที่พักอย่างกระวนกระวาย
ตึกระฟ้าหน้าตาคล้ายกันไปหมด หล่อนจำได้ว่าศึกษาเส้นทางจากแผนที่เอาไว้คร่าวๆ แต่พอเจอสถานที่จริงหล่อนก็ถึงกับงงปะติดปะต่อไม่ถูกแม้จะถือแผนที่อยู่ในมือก็ตาม
ที่นี่คือลอนดอน... เมืองแห่งฝน คนหลากเชื้อชาติ และมากมายศิลปวัฒนธรรม
แต่ไหนเลยจะเท่า ‘ฟลอเรนซ์’ ที่หล่อนอยากไปนักหนา เพียงแต่ยังไม่มีโอกาส และที่สำคัญครอบครัวของหล่อนก็ไม่มีเงินมากพอสำหรับใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ดวงหน้านวลเคร่งเครียดคิ้วเรียวขมวดมุ่นมองแผนที่ในมือสลับกับมองหาป้ายชื่อโรงแรม อธิปกนั่งมองอยู่เงียบๆ ต้องเอ่ยถาม
“ตกลงคุณจะลงที่ไหน แล้วพักโรงแรมอะไร”
“เดี๋ยวนะ ฉันขอดูชื่อโรงแรมก่อนค่ะ” หล่อนตอบพร้อมเปิดกระเป๋าสะพายหานามบัตร เปิดไปมากลับหาไม่เจอจนหล่อนนึกหงุดหงิด “หาไม่เจอเลยคุณ รอแป๊บนะ”
พูดจบหล่อนก็ก้มหน้าก้มตาค้นหาแต่ท่าทีชักช้าดูเหมือนไม่ทันใจทำให้ชายหนุ่มต้องแย่งแผนที่ในมือมาดูเสียเอง
“โรงแรมที่คุณจะไปใช่ที่วงสีแดงไว้นี่รึเปล่า” เขาถามพลางชี้ให้ดู “โรงแรมพาร์ค พลาซ่า?”
“อ้อ! ใช่แล้วค่ะ!” เอรินพยักหน้าตื่นเต้น “คุณรู้จักหรืออคะ เขาว่ากันว่าเป็นโรงแรมระดับห้าดาว คืนละเป็นหมื่น”
“ใช่ที่ไหนกัน โรงแรมนี้สี่ดาวตะหาก แต่ถ้าพักที่นี่จริงก็ทางโค้งที่ผ่านมานั่นไง เลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานนั่นไปหอนาฬิกาบิ๊กเบน แต่นี่เรามาเกือบถึงลอนดอนอายแล้ว คุณคงต้องเดินย้อนกลับไปสักนิดเพราะผมจะไปอีกทาง” เขาตอบก่อนจะบอกแท็กซี่ให้จอดชิดขอบทางก่อนถึงสี่แยกไฟแดง
เอรินหันกลับไปมองด้วยความตกใจก่อนจะหันกลับมาหน้าตื่น “โห เกือบไปแล้วเชียว ฉันเดินย้อนกลับไปได้ค่ะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจครั้งนี้นะคะ เอาไว้คงมีโอกาสตอบแทนคุณบ้าง”
“ไม่เป็นไรแค่เรื่องเล็กน้อย” เขาตอบแต่ดึงแขนหล่อนไว้และยื่นนามบัตรให้ “มีโทรศัพท์มือถือมาใช่ไหม หาซิมใส่ซะแล้วถ้ามีอะไรก็โทรมาเบอร์นี้”
“เบอร์คุณ?”
“ใช่ เป็นเบอร์ที่ผมใช้ระหว่างอยู่ที่นี่ ผมพักที่โรงแรมเดอะรอยัลเฮ้าส์การ์ดอยู่ฝั่งตรงข้ามใกล้สะพานฮังเกอร์ฟอร์ดนะ”
“ก็ไม่ไกลกันมาก ขอบคุณคุณมากนะคะ” เอรินมองนามบัตรในมือด้วยความซาบซึ้ง เงยหน้ามองสบตาคมเข้ม “คุณใจดีจริงๆ เลยค่ะ ถ้ามีโอกาสฉันขอเลี้ยงตอบแทนคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไร” อธิปกโบกไม้โบกมือไม่ใส่ใจ
พอรถแท็กซี่แล่นจากไปพร้อมชายหนุ่มที่ถึงจะปากจัดไปนิดแต่ใจดีกว่าที่เห็นมาก ทำให้เด็กสาวได้แต่มองตามด้วยความประทับใจ ครู่หนึ่งจึงรู้สึกตัวกวาดตามองรอบบริเวณ
ได้เวลาผจญโลกกว้างตามลำพังแล้วสินะ... เอริน
หญิงสาวคิดพลางนึกกระหยิ่มในใจ ทั้งตื่นเต้นสับสนแต่ก็เจือความอยากรู้อยากเห็น ร่างสูงเพรียวลากกระเป๋าขึ้นบนบาทวิถีแล้วเดินย้อนกลับไปตามทางที่เขาบอก
โรงแรมพาร์ค พลาซ่า สูงตระหง่านกว่าสิบชั้นป้ายด้านหน้าเป็นแผงยาวตัวหนังสือสีน้ำเงินเข้มใหญ่โต หญิงสาวถึงกับตาโตกับความโอ่อ่าภายนอกก่อนจะลากกระเป๋าเข้าไปที่ล็อบบี
พนักงานสาวสวยผมบลอนซ์เอ่ยต้อนรับ หล่อนจึงถามออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะ ฉันมาขอพบมิสวินซ์ เจย์ ห้อง ๒๐๔ ค่ะ ไม่ทราบเธอกลับมาถึงรึยังคะ” เอรินส่งภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นไปและได้รับคำตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็วจนหล่อนแทบตามไม่ทัน
นาทีนี้นอกจากคำพูดสื่อสารแล้วที่สำคัญที่สุดคือภาษามือ พนักงานต้อนรับรับฟังอย่างใจเย็นก่อนจะต่อสายตรงขึ้นไปยังห้องพัก แต่เอรินถึงกับหน้าเสียเมื่อพนักงานส่ายหน้าและปฏิเสธนุ่มนวล
“ขอโทษด้วยค่ะ ห้อง ๒๐๔ ไม่มีคนรับสาย”
“หรือคะ?” เอรินพรูลมหายใจอัดอั้น เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย หญิงสาวได้แต่บ่นลำพัง “แล้วฉันจะทำยังไงดีเนี่ย ยายวีเอ๊ย! ติดต่อไม่ได้ ไปไหนไม่ได้อีก”
[1] (อังกฤษ: London Eye) หรือ มิลเลเนียมวีล (อังกฤษ: Millennium Wheel) เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป มีความสูง ๑๓๕ เมตร (๔๔๓ ฟุต)
“ถ้าฉันใส่ชุดนี้มีหวังยายวีแหกอกฉันสิคะ” เอรินบ่นพึมพำแต่เจือรอยยิ้มเหยเกเมื่อสบประกายตาวิบวับของอีกฝ่าย“ไม่เป็นไรหรอกอย่างมากก็แค่โดนเพื่อนแหกอกดีกว่าชุดแหวกทั้งหน้าเว้าทั้งหลังนั่นตั้งเยอะ”เอรินฟังคำพูดชายหนุ่มพลันหน้าแดงก่ำ รู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงแดกดันของเขาอย่างไม่มีสาเหตุดวงตากรุ้มกริ่มคู่นั้น...ทั้งรอยยิ้มบาดทีเลือดซิบ...และที่สำคัญเสียงที่คล้ายกับเจ้าชายในฝันของหล่อนจนแทบจะแยกไม่ออก หรือจริงๆ แล้วมันคือความฝันที่กลายเป็นจริง หรือที่จริงหล่อนเคยพบเขามาก่อนหญิงสาวไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้...บีเอ็มดับบลิววันซีรีย์สีดำสนิท แล่นไปบนถนนมุ่งหน้าสู่โรงแรมพาร์กพลาซ่า เอรินนั่งตัวลีบข้างคนขับที่สีหน้าเคร่งขรึมผิดไปจากเมื่อครู่ ช่างน่าอึดอัดจนอดใจไม่ถามไม่ได้“ฉันรอที่ห้างก็ได้ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยาก” “ผมก็โทรบอกวินซ์ให้แล้วไง จะต้องเรื่องมากทำไมกลับกับผมมันเป็นยังไง” เขาย้อนเหลือบมองหญิงสาวข้างกาย สีหน้ารำคาญ“ก็เปล่า ฉันก็แค่เกรงใจ แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนี่นะ เราเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า ตกลงชุดที่คุณมารับให้เป็นของคุณมินคนสวยหรือคะ”เขาเหลือบมองก่อนตอบ “ถามทำไม?”“ก็... ฉันได้ยินคุณ
“ผมว่าชุดนี้มันเซ็กซี่ไปไม่เหมาะกับคุณเลยนะ... เด็กน้อย”“เอ๊ะ!” เอรินชักสีหน้า พอหันกลับมาเห็นว่าเป็นใครหล่อนถึงกับตะลึง “คุณ!”“ก็ผมนะสิ นึกว่าใคร” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงเอือมๆ ยังคงจ้องหน้าหล่อนด้วยแววตาเหมือนจับผิด“หรือว่าคุณมารับฉัน! นี่คงเป็นบริการเสริมสำหรับลูกค้าโรงแรมคุณใช่ไหม ถึงขนาดซีอีโอต้องมารับแขกแทนเลยหรือนี่”คำถามของหญิงสาวทำให้ซีอีโอโรงแรมใหญ่เช่นเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพียงตากลมโตของหล่อนฉายแววขุ่นข้อง เขาถึงกับหัวเราะเบาๆ ด้วยความระอา “ผมจะมารับคุณทำไม” “ก็แล้วคุณมาที่นี่ทำไมละคะ” หล่อนถามเสียงขุ่นเมื่อเจอน้ำเสียงล้อเลียนเข้า แต่อีกฝ่ายกระตุกยิ้มมุมปากราวขบขันจนหล่อนนึกเคือง“ผมมารับชุดต่างหาก” เขาตอบก่อนจะหันไปยิ้มกับพนักงานที่พินอบพิเทาให้การต้อนรับเป็นพิเศษต่างกับที่ปฏิบัติกับหล่อนลิบลับ ชุดทักซิโด้สีดำบรรจงแขวนและใส่ถุงเรียบกริบคู่กับชุดราตรียาวสีเบจที่เห็นทำให้เอรินลอบมองด้วยความสนใจ ที่แท้มารับชุดให้แฟน... หล่อนคิดในใจ แต่เมื่อเห็นสายตาอีกฝ่ายก็เลยถามแก้เก้อ “คุณคงมารับชุดให้แฟนสินะคะ ชุดสวยจังฉันชักจ
อีกฝ่ายตะครุบตัวหล่อนรวบเข้าหาจนแผ่นหลังชนแผงอกล่ำแล้วเอามือปิดปากกระซิบข้างหู“ฟังผม!”“ไม่ฟัง!”เอรินสะบัดหน้าหนีแต่ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายพูดคำต่อมา“ถ้าไม่ฟัง ผมจะจูบคุณนะ... สาวน้อย”“หะ... หา!”เอรินหยุดชะงักยืนแข็งทื่อตามสั่งจนชานนท์คลายวงแขน พอตั้งสติได้หล่อนจึงหันมาเผชิญหน้าสีหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้ แต่ไม่มีคำพูดใดเล็ดรอด จนชายหนุ่มเอามือปัดไปมาหน้าหล่อนเพื่อเรียกสติ“นี่! เป็นอะไรไป ผมแค่พูดเล่น เห็นเดินคนเดียวเปลี่ยวใจกลัวใครจะมาลากไปซะก่อน... นี่ก็ดึกแล้วด้วย”“ฉะ... ฉัน แค่นึกอะไรเพลินไปหน่อยค่ะ” หล่อนเสียงสั่นยังตะลึงกับคำพูดเมื่อครู่ไม่หายมันช่างเหมือนกับในฝันราวกับไม่ได้ฝัน...“แล้วไป ก็นึกว่าอยากเล่นเอ็มวีก็เลยทำตัวเป็นพระเอกให้นี่ไง” เขาตอบหน้าตาเฉยกลิ่นเหล้าคลุ้งจนเอรินหน้ามุ่ย“โผล่มาแบบนี้เขาเรียกว่าผู้ร้ายบ้ากามมากกว่ารึเปล่าคะ คุณเล่นทำอย่างกับตัวร้ายดักฉุดนางเอกในนิยาย นี่ถ้าฉันไม่โวยวายคุณอาจจะทำมิดีมิร้ายฉันก็ได้” หล่อนเถียงไปข้างๆ คูๆชายหนุ่มฟังแล้วหัวเราะพรืดพลางหรี่ตามองร่างเพรียวบางตรงหน้าแล้วถอนใจ“ไม่มีใครอยากทำอะไรเด็กแบบคุณหรอก ผมก็แค่พูดเล่นสนุกๆ ไปง
หญิงสาวถึงกับบ่นอุบ นึกโมโหตัวเองที่อวดเก่งไม่ถามรายละเอียดห้องพักที่เพื่อนรักตรียมไว้ให้แม้แต่สำเนาการเข้าพักหล่อนก็ไม่ได้ขอเอาไว้ ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีทีท่าวินซ์จะกลับมา ท้องหล่อนเริ่มร้องประท้วงเพราะยังไม่มีอาหารตกถึงท้องตั้งแต่เช้าร่างสูงเพรียวทรุดนั่งบนโซฟาเนื้อนิ่มอย่างอ่อนแรง นึกจะไปหาอะไรรองท้องที่ร้านสะดวกซื้อก็กลัวจะคลาดกับเพื่อนรัก ได้แต่นั่งเพ่งสายตาหน้าประตูโรงแรมอย่างใจจดใจจ่อ หวังว่าวินซ์จะกลับมาโดยเร็วแต่ก็ไม่มีวี่แวว จนหล่อนเผลอสัปหงกเป็นพักๆ และสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกลเหมือนเสียงที่คุ้นเคยในความฝัน! “สงสัยฉันต้องเมาเครื่องบินแน่ ได้ยินเสียงใครก็ไม่รู้เป็นเจ้าชายในฝันไปได้ ฉันบ้าไปแล้วเพราะเธอเลย... ยายวี”หล่อนเผลอคิดดังกว่าจะรู้ตัวก็อับอายสายตาคนมอง หญิงสาวก้มหน้าก้มตางุดแต่ต้องสะดุดกับภาพชายหญิงคู่หนึ่งหน้าเคาน์เตอร์ ทั้งสองมองมาด้วยความสนใจแล้วสาวสวยก็ตรงเข้ามาทัก“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อมินนี่เป็นเลขาท่านประธาน ได้ยินว่าคุณยังไม่ได้ห้องพัก กรุณารอสักครู่นะคะ ดิฉันจะติดต่อคุณวิลเลียมแล้วจะจัดการให้โดยเร็วที่สุดค่ะ”เสียงหวานนุ่มพูด
ชายหนุ่มเสียงเข้ม ดวงตาคมจ้องมาด้วยความเคลือบแคลงอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่า...”“ฉันไม่ใช่สตอล์กเกอร์จริงๆ ค่ะ” หล่อนส่ายหน้าพลางโบกมือ “ก็ฉันเห็นชื่อคุณที่แท็กกระเป๋าก็เลยจำได้ว่าคุณคือคุณอธิปก ราชรัตน์ แห่งเดอะเกร็ทแทรเวลบริษัททัวร์ที่โด่งดังที่สุดในเมืองไทย” หล่อนร่ายยาว “ที่บ้านฉันก็ส่งแขกให้บริษัททัวร์ของคุณบ่อยๆ”“ที่บ้านคุณเป็นรีสอร์ต?” อธิปกถามกลับแสดงความสนใจทันที“เปล่าค่ะ แค่โฮมสเตย์เล็กๆ ทำกันเองในครอบครัวไม่มีชื่อเสียงอะไรหรอกค่ะ” หล่อนตอบสีหน้าภูมิใจ “ฉันถึงอยากเป็นไกด์จะได้เปิดบริษัททัวร์เพิ่มเติมช่วยรายจ่ายที่บ้าน”อธิปกพยักหน้ารับฟังสีหน้าครุ่นคิด “งั้นผมช่วยครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”“ขอบคุณมากนะคะ”เอรินฉีกยิ้มกว้างดีใจจนปิดไม่มิด อธิปกได้แต่ส่ายหน้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความลื่นไหลของหญิงสาว บอกรถแท็กซี่ให้แล่นไปยังเป้าหมายที่หล่อนต้องการ ก่อนจะเมินหน้าหนีหลับตาพิงพนักเบาะปัดความรำคาญเอรินมองเสี้ยวหน้าชายหนุ่ม ใบหน้านวลเห่อร้อนจนต้องเบือนหน้าออกนอกหน้าต่างอีกทางมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกด้วยความตื่นตาตื่นใจผ่านไปครู่ใหญ่แท็กซี่จึงแล่นเข้าสู่ย่านตึกสูงบนถนนยอร์ค มองเห็นลอนดอนอา
เอรินมองแผ่นหลังสูงใหญ่ด้านหน้าระหว่างเข้าคิวรอกระเป๋าอีกใบที่ลำเลียงลงมาจากเครื่องแล้วหล่อนได้แต่หน้ามุ่ย ชายหนุ่มคนเดิมคล้องกระเป๋าเป้ล้อเลื่อนใบใหญ่ขึ้นไพล่หลัง มืออีกข้างจับโทรศัพท์มือถือแนบหูคุยกับปลายสายด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “ครับพี่ ผมเพิ่งถึงได้ครู่ใหญ่ กำลังจะจับแท็กซี่ไปโรงแรม ไม่ต้องมารับ ใช่ครับ ผมจองรอยัลเฮาส์การ์ดไว้ ไม่ได้พักโรงแรมพี่ พอดีผมมีธุระต่อ”เดอะรอยัลเฮาส์การ์ด!นั่นมันคือโรงแรมระดับห้าดาวสุดหรูริมแม่น้ำเทมส์นี่นา...สาบานได้ว่าหล่อนไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง เขากำลังจะไปโรงแรมนั้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแค่แม่น้ำกั้นกับโรงแรมที่หล่อนพักท่าทางภูมิฐานแต่งกายสะอาดสะอ้านแสดงว่าภูมิหลังคงดีพอดูถึงจะปากร้ายไปหน่อยแต่ก็ดูใจดี เมื่อได้คุยกันยาวหลังจากที่เขาออกจากห้องน้ำมา ทำให้รู้ว่าชายหนุ่มขาวจัดมาดเนี๊ยบคนนี้มีภารกิจคล้ายกันกับหล่อนคือต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าสาวเหมือนกันแต่คงไม่บังเอิญขนาดงานเดียวกับหรอก... เอรินครุ่นคิดถึงเงินในกระเป๋าแล้วได้แต่ถอนใจ ว่ากันว่าค่าแท็กซี่ลอนดอนแพงมหาโหดขนาดไหน ถ้าไม่ติดที่รอให้เพื่อนมารับหล่อนจะขอติดรถชายหนุ่มเข้าเมืองด้วยแ