หญิงสาวถึงกับบ่นอุบ นึกโมโหตัวเองที่อวดเก่งไม่ถามรายละเอียดห้องพักที่เพื่อนรักตรียมไว้ให้แม้แต่สำเนาการเข้าพักหล่อนก็ไม่ได้ขอเอาไว้ ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีทีท่าวินซ์จะกลับมา ท้องหล่อนเริ่มร้องประท้วงเพราะยังไม่มีอาหารตกถึงท้องตั้งแต่เช้า
ร่างสูงเพรียวทรุดนั่งบนโซฟาเนื้อนิ่มอย่างอ่อนแรง นึกจะไปหาอะไรรองท้องที่ร้านสะดวกซื้อก็กลัวจะคลาดกับเพื่อนรัก ได้แต่นั่งเพ่งสายตาหน้าประตูโรงแรมอย่างใจจดใจจ่อ หวังว่าวินซ์จะกลับมาโดยเร็วแต่ก็ไม่มีวี่แวว จนหล่อนเผลอสัปหงกเป็นพักๆ และสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล
เหมือนเสียงที่คุ้นเคยในความฝัน!
“สงสัยฉันต้องเมาเครื่องบินแน่ ได้ยินเสียงใครก็ไม่รู้เป็นเจ้าชายในฝันไปได้ ฉันบ้าไปแล้วเพราะเธอเลย... ยายวี”
หล่อนเผลอคิดดังกว่าจะรู้ตัวก็อับอายสายตาคนมอง หญิงสาวก้มหน้าก้มตางุดแต่ต้องสะดุดกับภาพชายหญิงคู่หนึ่งหน้าเคาน์เตอร์ ทั้งสองมองมาด้วยความสนใจแล้วสาวสวยก็ตรงเข้ามาทัก
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อมินนี่เป็นเลขาท่านประธาน ได้ยินว่าคุณยังไม่ได้ห้องพัก กรุณารอสักครู่นะคะ ดิฉันจะติดต่อคุณวิลเลียมแล้วจะจัดการให้โดยเร็วที่สุดค่ะ”
เสียงหวานนุ่มพูดจาภาษาเดียวกันของสาวสวยทำให้เอรินเงยหน้ามองด้วยความดีใจ ผุดลุกขึ้นจับมืออีกฝ่าย
“โอย! ดีใจจังเลยค่ะ ฉันนึกว่าจะแย่ซะแล้ว คืองี้ค่ะ คือ ฉัน”
“มีอะไรรึเปล่ามิน เราต้องรีบเข้าประชุมนะ”
ชายหนุ่มอีกคนเข้ามาสมทบมองนาฬิกาข้อมือสีหน้าเคร่งเครียด เขาปรายหางตามองหล่อนครู่หนึ่งก่อนจะมองผ่านราวกับหล่อนเป็นอากาศธาตุ
“เธอมีปัญหาค่ะ เราคงต้องช่วยติดต่อเพื่อนให้เธอก่อน พี่นนท์ขึ้นไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวมินตามไป”
“ก็คงต้องอย่างนั้น” ชายหนุ่มตอบเสียงนิ่ง
ทันทีที่เห็นหน้าชายหนุ่มเจ้าของเสียงชัดๆ เอรินถึงกับอ้าปากค้าง นิ่งงันจนเขานึกสงสัยจึงเอ่ยถาม
“เพื่อนที่คุณรอใช่มิสเตอร์วิลเลียม เจ้าของบ่อน้ำมัน กับมิสวินซ์ รึเปล่าครับ... คุณ?”
“เอรินค่ะ เอริน อสิราภักดิ์” หล่อนตอบตะกุกตะกัก หัวใจแทบวายเพราะมัวแต่ตะลึงมองดวงหน้าคมเข้มแต่แสนคุ้นตา น้ำเสียงนั้นช่างคุ้นหูอย่างประหลาด เสียงของเขากระตุกหัวใจหล่อนจนสะเทือนด้วยถ้อยคำและรอยยิ้มบาดใจ
“อสิราภักดิ์?”
“ใช่ค่ะ” หล่อนตอนเมื่อเห็นชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง “คุณเคยได้ยินหรือคะ”
“แค่คุ้นๆ ว่าแต่คุณยังไม่ตอบคำถามผม”
เขาถามย้ำดูหงุดหงิดเล็กน้อย เอรินถึงกับหน้าเจื่อนพยักหน้าแทนคำตอบ
“ก็แค่นั้น” เขาตอบแล้วหันไปสั่งพนักงาน “เปิดห้องที่วิลเลียมจองไว้ให้คุณเอรินได้เลย เขากลับมาค่อยติดต่อเธอที่ห้อง”
“เชิญคุณไปพักก่อนนะคะ ถ้าพวกเขากลับมา ฉันจะให้พนักงานโทรบอก คุณอยากให้ทางเราจัดการเรื่องซิมมือถือให้ระหว่างอยู่ที่นี่ไหมคะ เผื่อจะได้ติดต่อกันได้ง่าย”
สาวสวยถามอย่างมีน้ำใจ แต่เอรินไม่ทันฟังเพราะมัวแต่มองตามหลังชายหนุ่มร่างสูงเดินจากไปโดยไม่ทันได้ถามว่าเขาชื่ออะไร แต่ความสงสัยคงอยู่ได้ไม่นานเพราะอีกฝ่ายแนะนำตัวเองและชายหนุ่มที่เดินจากไปเมื่อครู่แทน
“ฉันชื่อสิมิลันเรียกว่ามินนี่ หรือเรียกมินก็ได้ค่ะ ส่วนคุณผู้ชายเมื่อครู่เป็นซีอีโอของโรงแรมเรา ชื่อคุณชานนท์ คิม หรือเรียกคุณอเล็กซ์ก็ได้ เขาเป็นตัวแทนของท่านประธานค่ะ”
“ชานนท์ คิม... อ๋อ... ” เอรินทวนคำสีหน้าครุ่นคิดแล้วหัวเราะเบาๆ “คงเพราะเป็นลูกครึ่งเกาหลีนี่เองถึงว่าสิคะ ดูโอปป้ามากเลย”
“ก็ดูคล้ายอยู่นะคะ” สิมิลันถึงกับหัวเราะขบขันมองเอรินด้วยสายตาเอ็นดู “คุณพ่อเขาเป็นคนเกาหลีส่วนคุณแม่เป็นคนไทย ฉันว่าฉันพาคุณไปส่งที่ห้องพักดีกว่านะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเองได้” หล่อนตอบพลางครุ่นคิดมองไปทางชายหนุ่มคนเมื่อครู่ ที่แท้ยังรีรอสาวสวยอยู่หน้าลิฟท์ พออีกฝ่ายมองตามสายตาหล่อนไปจึงขอตัว
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ขอบคุณคุณมินนี่มากๆ เลยค่ะ” หญิงสาวตอบพลางมองตามทั้งสองตาลอยครุ่นคิด “ชานนท์ อเล็กซ์ คิม คุณคือเจ้าชายในฝันของฉันรึเปล่า ทำไมฉันสังหรณ์ใจว่าเสียงในฝันคนนั้นคือคุณนะ”
เกือบสามทุ่มเอรินจึงขอตัวออกจากร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่วิลเลียมเลี้ยงอำลาความโสด เพราะว่าที่บ่าวสาวยังต้องรับรองเพื่อนฝูงอีกนานนับชั่วโมง หล่อนจึงเดินออกมาตามลำพัง
สะพานฮังเกอร์ฟอร์ดยามค่ำคืนสวยงามไปด้วยแสงไฟประดับสีนวลตาส่องสว่างตลอดแนวทางเดิน ผู้คนยังคงข้ามผ่านสะพานไปมาเป็นระยะ หญิงสาสวหยุดยืนช่วงกลางสะพาน แหงนมองลอนดอนอายที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมอย่างเพลิดเพลิน สีสันสวยงามหลากสีสลับกันทำให้หล่อนดื่มด่ำกับบรรยากาศจนเวลาผ่านไปนานพอสมควร กว่าจะรู้ตัวก็แทบจะไร้ผู้คนบนสะพาน
ร่างบอบบางกระชับเสื้อกำมะหยี่ตัวหนาก้าวเท้าไวขึ้นหลังได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ไล่มาตามหลัง พอหล่อนหยุดเสียงฝีเท้านั้นก็หยุดตาม พอเร่งเสียงฝีเท้าก็เร็วตาม
ฉับพลันก็รู้สึกถึงแรงกระชากจนเซ หล่อนสะบัดแขนออกวิ่งหน้าตั้งเกือบพ้นราวสะพานลงสู่ถนนใหญ่ แต่อีกฝ่ายเร็วกว่าวิ่งตามมารวดเร็วแล้วหยุดยืนขวางตรงทางเลี้ยวเล็กด้านหน้า เอรินหลับตาปี๋ทั้งทุบทั้งถองใส่ร่างที่ยืนเอามือกันราวสะพานไว้
“ช่วยด้วย! พ่อจ๋า แม่จ๋า”
ชายแปลกหน้ารวบข้อมือบางของหล่อนแน่นก่อนจะตวาด “จะบ้ารึไง ผมไม่ใช่คนร้าย”
“คุณ! คุณอเล็กซ์!” หล่อนสะบัดข้อมือแต่ไม่หลุด “คุณจะทำอะไรฉัน อย่าบอกนะว่ากลางวันเป็นนักธุรกิจส่วนกลางคืนเป็นเสือผู้หญิง”
“บ้ารึเปล่า”
“ก็แล้วคุณทำแบบนี้ทำไม!” หล่อนตวาดข่มขวัญแต่มือแข็งแรงกลับกระชับข้อมือหล่อนแน่นดึงเข้าหาตัว
“หุบปากเดี๋ยวนี้ คุณจะตะโกนให้ได้ยินทั้งถนนหรือไง” ชานนท์ตวาดเสียงอ้อแอ้
“ก็ปล่อยซี้! ไม่งั้นฉันร้องจริงๆ ด้วย ช่วยด้วย!”
เอรินส่ายหน้าไม่เชื่อสายตาจนต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง ชานนท์ยืนยิ้มขำขันอยู่ด้านหลังมือไพล่หลังเก็บงำบางอย่างไว้ก่อนจะยื่นมาตรงหน้า กลิ่นหอมของกุหลาบชมพูดอกตูมช่อใหญ่อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก เอรินยกมือขึ้นรับอย่างเก้กัง จับต้นชนปลายไม่ถูก ก่อนที่ชานนท์จะหยิบแก้วไวน์ที่ยึดมานั่งจิบที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน สีหน้านิ่งขรึมเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเหยเกจนต้องวางแก้ว “ใครใช้ให้สั่งเคียนติมาดื่ม... หือ นี่มันแรงนะ” สีหน้านิ่งขรึม น้ำเสียงขุ่นไหนจะท่านั่งไขว่ห้างยียวนกวนสายตาคนมอง เอรินยังคงจ้องไม่วางตา นึกเป็นคำพูดไม่ออกได้แต่อ้ำอึ้งจนชานนท์ต้องเอ่ยออกมาอีกคำรบหนึ่ง “พูดไม่ออกเลย นี่กำลังท้องกำลังไส้อยู่นะ สั่งเจ้านี่มาได้ไง ไม่ดีต่อลูกในท้องไม่รู้รึไง ทำอะไรไม่นึกถึงหน้าลูกก็นึกถึงหน้าพ่อของลูกบ้างสิ” “ก็ไม่เคยเห็นหน้าลูกนี่ จะนึกออกได้ไง แค่นี้ไม่เห็นต้องดุกันเลยนี่” เอรินเถียงเสียงอ่อยจากที่กำลังชื่นชมดอกกุหลาบงามอยู่เมื่อครู่ ถึงกับหุบยิ้มแล้ววางช่อกุหลาบลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจ มองค้อนคนตรงหน้าอย่างน้อยใจ “มีเมียดื้อก็งี้แหละ คงได้แ
เสียงใสที่เหมือนจะเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งดังมาจากด้านหลัง เอรินหันขวับไปมองคนเรียกชื่อสกุลใหม่ของเธอเสียเต็มยศอย่างฉงนใจ แล้วดวงหน้ากลมมีน้ำมีนวลก็แย้มยิ้มกว้างอย่างดีใจ “คุณสริน! มาได้ยังไงคะ” น้ำเสียงตื่นเต้น เรียกรอยยิ้มของสรินได้เป็นอย่างดีจนอดใจไม่ไหวที่จะแกล้ง “ก็ขับรถมาสิ ถามได้” สรินเอ่ยอย่างขบขันเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของหญิงสาวตรงหน้า เอรินดูเปลี่ยนไปมาก สวย อิ่มเอิบผิดหูผิดตาแต่ที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือความสดใส น่ารัก ที่ยังคงมีให้เห็น และแสดงออกทางแววตาสดใสอยู่เสมอ “เชื่อแล้วค่ะ ว่าคุณสองคนเป็นพี่น้องกัน คุณซึมซับพี่นนท์มาเต็มเปี่ยมเลย พูดเหมือนเขาเปี๊ยบตอนฉันเจอกับเขาที่บ้านคุณมินน่ะค่ะ” เอรินยู่ปากอย่างเคย แต่ก็พูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกไปถึงคราวนั้นที่เจอกันอีกครั้งที่บ้านริมทะเล “เราไปกันดีกว่าเดี๋ยวฉันจะพาเธอไปส่งถึงที่ วันนี้เธอพักก่อนนะ คืนนี้ฉันจะพาเธอไปทานข้าว” “ส่งที่ไหนคะ” “ก็ส่งที่บลูเนลเลสคีไง ฉันจองไว้ให้แล้ว เธอต้องพักที่นั่น” คำว่า ‘ต้อง’ ช่างสะดุดหูเอรินยิ่งนัก เป็นเหตุบังเอิญรึเปล่านะ ที่มันเผอิญไปพ้องกับชื่อโรงแรมที่เคยไป
“ฉันจะให้เธอไปฟลอเรนซ์ เป็นตัวแทนเข้าพบมิสเตอร์ซี เอ่อ..หุ้นส่วนใหม่ เขาเป็นนักธุรกิจที่กว้างขวางในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เราจะคอนแท็คกันด้านธุรกิจทัวร์ เธอต้องช่วยฉันนะเอริน ถ้าโปรเจคนี้ประสบความสำเร็จคุณแม่กรณ์จะได้ยอมรับ ฉันแก่ลงทุกวัน อยากแต่งงานแล้ว เธอช่วยฉันนะ” “คะ... ฉันก็อยากช่วยคุณกับกรณ์ แล้วฉันจะไหวหรือคะ ไปไกลถึงฟลอเรนซ์เลย อะไรก็ยังไม่ได้เตรียมอีกอย่างคือท้องฉัน” เอรินหยุดคำพูดเพียงเท่านั้นเมื่อเห็นสายตาเป็นประกายวิบวับราวขอร้องจากราเชล ก็ได้แต่อึกอักพูดไม่ออก ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เสียงตะโกนเรียกก็ดังมาจากในบ้าน เสียงที่ราเชลถึงกับถอนหายใจพรืด “ราเชล! ทำอะไรอยู่ อย่าอู้ ไปเรียกกรณ์มากินข้าวได้แล้ว บอกแม่ให้ลงมาอย่างด่วน ขี้เซาซะจริง นอนกินบ้านกินเมืองนัก” “นะเอริน นะ ช่วยฉันนะ ดูสิ แม่สามีดุอย่างกับจะฆ่ากันแล้วเนี่ย นะๆ” “ค่า... คุณแม่! เดี๋ยวหนูไปเรียกให้” ราเชลตะโกนตอบแล้วหันมาพยักเพยิด รีบลุกปัดฝุ่นทรายออกจากชุดแล้ววิ่งฉิวออกไป ปากก็ตะโกนตอบว่าที่แม่สามีไปด้วย สร้างความขบขันให้กับเอริน คิดถึงฟลอเรนซ์จัง... ว่าที่คุณแม่ได้แต่ครุ่นคิด...ราเช
บรรยากาศยามค่ำคืนของลอนดอน ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟสว่างหลากสีสันสะท้อนแข่งกับแสงไฟตึกรามอาคารบ้านช่อง ชานนท์เหม่อมองภาพเหล่านั้นอย่างลืมตัวไม่ทันได้สนใจรอบกายว่าจะมีใครเข้ามารบกวนในช่วงเวลาแห่งความดื่มด่ำและหวนระลึกถึง หลังเสร็จสิ้นภารกิจงานหลักในตอนกลางวัน ช่วงเวลาค่ำคืนจึงจะได้เป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง เกรนวิสกี้พร่องไปกว่าครึ่งแก้วยังคงตั้งอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะจนละลาย เอนกายพิงพนักเก้าอี้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างในจุดที่เห็นสีสันของลอนดอนอายชัดเจน ภาพในอดีตกลับเข้ามาวนเวียนอืกครั้งและอีกครั้งถึงแม้ไม่ได้นึกถึงมัน สาวน้อยหน้าตาน่ารักท่าทางลุกลี้ลุกลนที่เอ่ยทักสิมิลันด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างสุดแสน เขาจำได้ดีทั้งที่ไม่ได้สนใจไม่เคยใส่ใจ แต่กลับจำได้ ดวงตากลมโตสีสนิมดูตื่นตระหนกแต่น่ามองอย่างประหลาดชานนท์หัวเราะออกมาอย่างนึกขบขัน เอ็นดู ยามนึกถึงสาวน้อยที่วิ่งแจ้นตามเขาไปทุกที่ตลอดเวลาเดินทางไปด้วยกันตามลำพังที่ฟลอเรนซ์ ช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่เขาทั้งเสียใจเพราะสิมิลันปฏิเสธรัก แต่หัวใจถูกเติมเต็มเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว “ทำอะไรอยู่... อเล็กซ์” เสียงทักทายคุ้นหูดังมา
ภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษว่างเปล่าราวกับไม่มีใครพักอยู่ก่อน เตียงสีขาวถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวของในห้องมีเพียงของใช้พื้นฐานที่ไม่บ่งบอกว่ามีผู้ป่วยพักอยู่ เอรินถึงกับหน้าถอดสีทันทีที่เปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใจหายเมื่อไม่เห็นเขา “ยักษ์!... เขาหายไปไหน หรือว่าเขาไม่อยู่แล้ว หรือว่า...” “เฮ๊ย! ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งร้อง เดี๋ยวฉันไปถามพยาบาล” กรณ์พูดปลอบ แต่เอรินยังคงคร่ำครวญ “พี่นนท์! ฮือ ฮือ แล้วฉันกับลูกจะอยู่ยังไง” เอรินร่ำร้องอย่างลืมอายนึกไปสารพัดว่าเขาอาจจะเป็นอะไรไป หรือเธอมาไม่ทัน กรณ์โอบไหล่ประคองร่างบางที่กำลังเข่าอ่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นให้ยืนหยัดอยู่ในอ้อมแขนเขา “ฉันว่าเขาไม่เป็นไรหรอกมั้ง สงสัยเราเข้าห้องผิดแน่ๆ” คำพูดของกรณ์ไม่ช่วยให้ดีขึ้น กลับทำให้ใจหายหนักกว่าเก่า น้ำตาพร่างพรูพาลไหลอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหมด เสียงสะอึกสะอื้นสะท้อนดังก้องภายในห้อง จนคนในห้องน้ำเปิดประตูออกมา แล้วเขาก็พบเอรินกำลังซบหน้ากับอกกรณ์ร้องไห้สะอื้นเสียงดัง ชานนท์กระแอมออกมาเบาๆ เรียกสติ ทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคย หล่อนเหลียวมองหาที่มาจนพบเขาอยู่ในสายตาใกล้กันชนิดหล่อนเองยัง
บ้านต้นไม้เงียบเหงาวังเวง ใบไม้แห้งเกลื่อนนอกชานเพราะขาดการเอาใจใส่นับตั้งแต่วันที่สองพ่อลูกถูกหามส่งโรงพยาบาล เอรินมองสภาพของบ้านแล้วได้แต่ทอดถอนใจ มือคว้าจับราวบันไดยึดเป็นที่พึ่งยามร่างกายอ่อนแรงสูญเสียกำลังใจ ประตูกระจกถูกเลื่อนเปิดออก กลิ่นอับภายในห้องกระทบจมูกถึงกับนิ่วหน้า มองไปรอบบริเวณห้องแล้วได้แต่นึกถึง “บ้านนี้เหงาจัง... เมื่อไม่มีคุณ ต่อไปที่นี่คงไม่มีคุณอีกแล้ว” หญิงสาวล้มตัวนอนบนเตียงอย่างเดียวดาย ห้องที่มีความทรงจำและเปี่ยมด้วยความหวังมากมาย การได้กลับมาพบเจอได้พูดคุยปรับความเข้าใจ ถึงแม้ในช่วงเวลาอันสั้น แต่ทุกอณูภายในห้องก็ยังมีกลิ่นและร่องรอยความทรงจำของเขา น้ำตารินไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เสียงสะอื้นสะท้อนแผ่วเบาออกมายังนอกบริเวณบ้าน กรณ์ชะงักฝีเท้าขณะก้าวพ้นประตูกระจกเข้ามาภายในห้อง มือชะงักค้างอยู่กับบานประตูหมายจะเลื่อนเปิดกว้างให้อากาศถ่ายเท แต่เมื่อเห็นร่างบอบบางที่นอนคุดคู้สะอื้นหันหลังมาทางเขาก็ถึงกับถอนใจ สองเท้าก้าวแผ่วเบาเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงข้างๆ สัมผัสอ่อนยวบข้างเตียงทำให้คนนอนรู้สึกตัวหันขวับมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ดวงตากลมใสก็หม่นลง “ผ