LOGINอีกฝ่ายตะครุบตัวหล่อนรวบเข้าหาจนแผ่นหลังชนแผงอกล่ำแล้วเอามือปิดปากกระซิบข้างหู
“ฟังผม!”
“ไม่ฟัง!”
เอรินสะบัดหน้าหนีแต่ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายพูดคำต่อมา
“ถ้าไม่ฟัง ผมจะจูบคุณนะ... สาวน้อย”
“หะ... หา!”
เอรินหยุดชะงักยืนแข็งทื่อตามสั่งจนชานนท์คลายวงแขน พอตั้งสติได้หล่อนจึงหันมาเผชิญหน้าสีหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้ แต่ไม่มีคำพูดใดเล็ดรอด จนชายหนุ่มเอามือปัดไปมาหน้าหล่อนเพื่อเรียกสติ
“นี่! เป็นอะไรไป ผมแค่พูดเล่น เห็นเดินคนเดียวเปลี่ยวใจกลัวใครจะมาลากไปซะก่อน... นี่ก็ดึกแล้วด้วย”
“ฉะ... ฉัน แค่นึกอะไรเพลินไปหน่อยค่ะ” หล่อนเสียงสั่นยังตะลึงกับคำพูดเมื่อครู่ไม่หาย
มันช่างเหมือนกับในฝันราวกับไม่ได้ฝัน...
“แล้วไป ก็นึกว่าอยากเล่นเอ็มวีก็เลยทำตัวเป็นพระเอกให้นี่ไง” เขาตอบหน้าตาเฉยกลิ่นเหล้าคลุ้งจนเอรินหน้ามุ่ย
“โผล่มาแบบนี้เขาเรียกว่าผู้ร้ายบ้ากามมากกว่ารึเปล่าคะ คุณเล่นทำอย่างกับตัวร้ายดักฉุดนางเอกในนิยาย นี่ถ้าฉันไม่โวยวายคุณอาจจะทำมิดีมิร้ายฉันก็ได้” หล่อนเถียงไปข้างๆ คูๆ
ชายหนุ่มฟังแล้วหัวเราะพรืดพลางหรี่ตามองร่างเพรียวบางตรงหน้าแล้วถอนใจ
“ไม่มีใครอยากทำอะไรเด็กแบบคุณหรอก ผมก็แค่พูดเล่นสนุกๆ ไปงั้นเอง ไป... กลับโรงแรมได้แล้ว”
พูดจบชายหนุ่มก็ถูมือไล่ความเหน็บหนาวก่อนจะออกเดินนำไป เอรินค้อนขวับมองตามแผ่นหลังสูงใหญ่เดินไหล่ห่อ สองมือล้วงกระเป๋าท่าทางโงนเงนเดินไม่ค่อยตรงทาง
ต้องเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ...
หล่อนได้กลิ่นจากตัวเขาเมื่อครู่ที่ใบหน้าแทบจะสัมผัสกัน มโนภาพว่าชายหนุ่มเป็นเจ้าชายในฝันหายวับไปกับตา
‘ฉันขอถอนคำพูด คุณไม่ใช่เจ้าชายในฝันของฉัน... ไม่ใช่ ไม่ใช่!”หล่อนพึมพำกับตัวเองรีบเดินจ้ำตามหลังชายหนุ่มไปติดๆ
ร่างสูงเพรียวหมุนตัวไปมามองภาพสะท้อนในกระจกแล้วถึงกับถอนใจเพราะชุดเพื่อนเจ้าสาวที่วินซ์เตรียมไว้ให้ใหญ่เกินกว่าที่คิดไว้มาก โดยเฉพาะแผ่นหลังเปิดเปลือยถึงบั้นเอวคล้องด้วยสายลูกปัดห่างๆ ดูหลวมโพรกจนทรงด้านหน้าที่เกาะอกเผยอเกือบเห็นทรวงอกด้านข้าง ยังดีที่มีสายคล้องคอที่ยังช่วยกระชับกันเอาไว้อีกชั้น
“ไม่สวย มันหลวมเกินไป”
“แต่ฉันว่า...” เอรินแย้งแต่อีกฝ่ายโบกมือห้าม
“ห้ามขัดใจ! ไม่ต้องคิดจะเปลี่ยนชุดยายป้าเลยนะ ที่เธอเลือกมันยังสวยไม่พอฉันอุตส่าห์จองชุดนี้ไว้ให้ แต่อกเธอมันเล็กกว่าชุดตั้งเยอะ จะทำยังไงดีเนี่ยฉันมีธุระด้วยสิ”
วินซ์กอดอกมองเพื่อนรักแล้วส่ายหน้าก่อนจะหันไปเจรจากับช่างเสื้อแต่ตกลงกันไม่ได้สุดท้ายว่าที่เจ้าสาวก็เดินหน้าง้ำกลับมากระซิบกับหล่อนด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“นี่ขนาดเป็นแบรนด์ดัง ราคาเท่าไหร่ฉันก็ไม่เกี่ยงนะ ยังไม่ยอมแก้ด่วนให้เลย แก้แค่นิดเดียวแต่ยายนั่นจะให้รอสามชั่วโมงบอกช่างแก้ไปกินข้าว จะทำยังไงดีละเอริน ฉันต้องไปรับพ่อแม่วิลเลียมที่สนามบินด้วย กลัวจะกลับมาไม่ทันร้านปิดซะก่อน พรุ่งนี้ก็วันงานแล้ว ฉันตายแน่เลยถ้าชุดเธอไม่ทันเสร็จ”
“ใจเย็นๆ ก่อน อันที่จริงเลือกชุดอื่นก็ได้”
“ไม่เอ๊า!” ว่าที่เจ้าสาวขึ้นเสียงสูงหน้าตาขึงขัง “เธอต้องเพอร์เฟกต์ที่สุดให้สมกับที่อิมพอร์ตมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของฉันสิ”
“แต่ฉันว่าชุดนี้มันโป๊ไปนิด ใส่แล้วไม่มั่นใจเลย”
“ได้ไง ชุดนี้แหละสวย ใส่แล้วรับรองเธอขายออกแน่”
“ก็เว่อร์เกินไป ฉันไม่ใช่สินค้าที่จะขายออกเพราะแค่ชุดสวยหรอกนะ เอาเป็นว่าฉันอยู่รอจนชุดเสร็จแล้วจะเดินกลับเอง ที่นี่ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าไหร่เดินข้ามสะพานไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว”
“ใครว่าไม่ไกลนี่จัดว่าไกลเลยนะ” วินซ์หน้านิ่วคิ้วขมวด “ฉันกลัวเธอจะหลงนะสิ”
“ไม่เป็นไร มีปากเป็นแผนที่นำทาง หาไม่เจอก็ถามเอาก็ได้ไม่มีอะไรที่ไกด์มือใหม่อย่างฉันทำไม่ได้ ยิ่งเรื่องเอาตัวรอดฉันทำได้สบายมาก”
เอรินปลอบแต่หน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ เมื่อสบตาดุของพนักงานคนที่ที่วินซ์มีปัญหาเมื่อครู่ รู้ดีว่าคงไม่พอใจมากที่ว่าที่เจ้าสาวใช้คำพูดราวออกคำสั่งเมื่อครู่
“ไม่ได้ เดี๋ยวแม่เธอรู้ ยิ่งขอร้องแทบตายกว่าป้าจะปล่อยมาได้ เกิดเป็นอะไรไปมีหวังฉันซวยโดนพ่อด่าตาย เอาเป็นว่าเธออยู่รอที่นี่แหละ อีกสามชั่วโมงจะรีบมารับ ถ้ามาไม่ทันจะให้รถโรงแรมมารับแทน”
“เฮ้อ! เอางั้นก็ได้” หญิงสาวตอบรับพลางดันหลังเพื่อนรักให้รีบไปก่อนให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ “เอาเป็นว่าฉันรอ ไม่ต้องห่วงถ้ารถโรงแรมไม่มารับ เจ้าหญิงจะไม่ยอมเสด็จออกจากร้านเป็นอันขาด”
วินซ์ค้อนขวับแต่สีหน้าดีขึ้นเป็นกอง รีบล้วงกระเป๋าสะพายหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองส่งให้เอรินก่อนย้ำอีกครั้ง
“เอาโทรศัพท์ฉันไปก่อนค่อยติดต่อกัน”
เอรินได้แต่พยักหน้ามองตามเพื่อนรักที่หมุนตัวเดินแกมวิ่งออกไปจากห้องเสื้อด้วยความเร่งรีบ
เกือบสองชั่วโมงที่ต้องนั่งรออย่างอดทนกว่าชุดจะเสร็จเรียบร้อย เอรินถึงกับสัปหงกรับชุดจากพนักงานเดินเข้าเข้าห้องแต่งตัวอย่างเนือยๆ เมื่อลองชุดที่แก้ไขพอดีตัวไม่มีส่วนคับส่วนหลวมอีก หล่อนถึงกับพรูลมหายใจโล่งอกรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาหาพนักงานคนเดิม
“ชุดเรียบร้อยสวยมากเลยค่ะ ขอฉันถ่ายรูปส่งให้เพื่อนดูสักนิด รบกวนคุณช่วยถ่ายให้ด้วยนะคะ”
เอรินยื่นโทรศัพท์ส่งให้ช่างถ่ายภาพหล่อนในอิริยาบถต่างๆ หลายท่า โดยไม่สนใจคนที่เพิ่งเข้ามาและมองเห็นหล่อนกำลังโพสท่าราวกับนางแบบก่อนจะเข้ามาทักทาย
เอรินส่ายหน้าไม่เชื่อสายตาจนต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง ชานนท์ยืนยิ้มขำขันอยู่ด้านหลังมือไพล่หลังเก็บงำบางอย่างไว้ก่อนจะยื่นมาตรงหน้า กลิ่นหอมของกุหลาบชมพูดอกตูมช่อใหญ่อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก เอรินยกมือขึ้นรับอย่างเก้กัง จับต้นชนปลายไม่ถูก ก่อนที่ชานนท์จะหยิบแก้วไวน์ที่ยึดมานั่งจิบที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน สีหน้านิ่งขรึมเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเหยเกจนต้องวางแก้ว “ใครใช้ให้สั่งเคียนติมาดื่ม... หือ นี่มันแรงนะ” สีหน้านิ่งขรึม น้ำเสียงขุ่นไหนจะท่านั่งไขว่ห้างยียวนกวนสายตาคนมอง เอรินยังคงจ้องไม่วางตา นึกเป็นคำพูดไม่ออกได้แต่อ้ำอึ้งจนชานนท์ต้องเอ่ยออกมาอีกคำรบหนึ่ง “พูดไม่ออกเลย นี่กำลังท้องกำลังไส้อยู่นะ สั่งเจ้านี่มาได้ไง ไม่ดีต่อลูกในท้องไม่รู้รึไง ทำอะไรไม่นึกถึงหน้าลูกก็นึกถึงหน้าพ่อของลูกบ้างสิ” “ก็ไม่เคยเห็นหน้าลูกนี่ จะนึกออกได้ไง แค่นี้ไม่เห็นต้องดุกันเลยนี่” เอรินเถียงเสียงอ่อยจากที่กำลังชื่นชมดอกกุหลาบงามอยู่เมื่อครู่ ถึงกับหุบยิ้มแล้ววางช่อกุหลาบลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจ มองค้อนคนตรงหน้าอย่างน้อยใจ “มีเมียดื้อก็งี้แหละ คงได้แ
เสียงใสที่เหมือนจะเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งดังมาจากด้านหลัง เอรินหันขวับไปมองคนเรียกชื่อสกุลใหม่ของเธอเสียเต็มยศอย่างฉงนใจ แล้วดวงหน้ากลมมีน้ำมีนวลก็แย้มยิ้มกว้างอย่างดีใจ “คุณสริน! มาได้ยังไงคะ” น้ำเสียงตื่นเต้น เรียกรอยยิ้มของสรินได้เป็นอย่างดีจนอดใจไม่ไหวที่จะแกล้ง “ก็ขับรถมาสิ ถามได้” สรินเอ่ยอย่างขบขันเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของหญิงสาวตรงหน้า เอรินดูเปลี่ยนไปมาก สวย อิ่มเอิบผิดหูผิดตาแต่ที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือความสดใส น่ารัก ที่ยังคงมีให้เห็น และแสดงออกทางแววตาสดใสอยู่เสมอ “เชื่อแล้วค่ะ ว่าคุณสองคนเป็นพี่น้องกัน คุณซึมซับพี่นนท์มาเต็มเปี่ยมเลย พูดเหมือนเขาเปี๊ยบตอนฉันเจอกับเขาที่บ้านคุณมินน่ะค่ะ” เอรินยู่ปากอย่างเคย แต่ก็พูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกไปถึงคราวนั้นที่เจอกันอีกครั้งที่บ้านริมทะเล “เราไปกันดีกว่าเดี๋ยวฉันจะพาเธอไปส่งถึงที่ วันนี้เธอพักก่อนนะ คืนนี้ฉันจะพาเธอไปทานข้าว” “ส่งที่ไหนคะ” “ก็ส่งที่บลูเนลเลสคีไง ฉันจองไว้ให้แล้ว เธอต้องพักที่นั่น” คำว่า ‘ต้อง’ ช่างสะดุดหูเอรินยิ่งนัก เป็นเหตุบังเอิญรึเปล่านะ ที่มันเผอิญไปพ้องกับชื่อโรงแรมที่เคยไป
“ฉันจะให้เธอไปฟลอเรนซ์ เป็นตัวแทนเข้าพบมิสเตอร์ซี เอ่อ..หุ้นส่วนใหม่ เขาเป็นนักธุรกิจที่กว้างขวางในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เราจะคอนแท็คกันด้านธุรกิจทัวร์ เธอต้องช่วยฉันนะเอริน ถ้าโปรเจคนี้ประสบความสำเร็จคุณแม่กรณ์จะได้ยอมรับ ฉันแก่ลงทุกวัน อยากแต่งงานแล้ว เธอช่วยฉันนะ” “คะ... ฉันก็อยากช่วยคุณกับกรณ์ แล้วฉันจะไหวหรือคะ ไปไกลถึงฟลอเรนซ์เลย อะไรก็ยังไม่ได้เตรียมอีกอย่างคือท้องฉัน” เอรินหยุดคำพูดเพียงเท่านั้นเมื่อเห็นสายตาเป็นประกายวิบวับราวขอร้องจากราเชล ก็ได้แต่อึกอักพูดไม่ออก ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เสียงตะโกนเรียกก็ดังมาจากในบ้าน เสียงที่ราเชลถึงกับถอนหายใจพรืด “ราเชล! ทำอะไรอยู่ อย่าอู้ ไปเรียกกรณ์มากินข้าวได้แล้ว บอกแม่ให้ลงมาอย่างด่วน ขี้เซาซะจริง นอนกินบ้านกินเมืองนัก” “นะเอริน นะ ช่วยฉันนะ ดูสิ แม่สามีดุอย่างกับจะฆ่ากันแล้วเนี่ย นะๆ” “ค่า... คุณแม่! เดี๋ยวหนูไปเรียกให้” ราเชลตะโกนตอบแล้วหันมาพยักเพยิด รีบลุกปัดฝุ่นทรายออกจากชุดแล้ววิ่งฉิวออกไป ปากก็ตะโกนตอบว่าที่แม่สามีไปด้วย สร้างความขบขันให้กับเอริน คิดถึงฟลอเรนซ์จัง... ว่าที่คุณแม่ได้แต่ครุ่นคิด...ราเช
บรรยากาศยามค่ำคืนของลอนดอน ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟสว่างหลากสีสันสะท้อนแข่งกับแสงไฟตึกรามอาคารบ้านช่อง ชานนท์เหม่อมองภาพเหล่านั้นอย่างลืมตัวไม่ทันได้สนใจรอบกายว่าจะมีใครเข้ามารบกวนในช่วงเวลาแห่งความดื่มด่ำและหวนระลึกถึง หลังเสร็จสิ้นภารกิจงานหลักในตอนกลางวัน ช่วงเวลาค่ำคืนจึงจะได้เป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง เกรนวิสกี้พร่องไปกว่าครึ่งแก้วยังคงตั้งอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะจนละลาย เอนกายพิงพนักเก้าอี้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างในจุดที่เห็นสีสันของลอนดอนอายชัดเจน ภาพในอดีตกลับเข้ามาวนเวียนอืกครั้งและอีกครั้งถึงแม้ไม่ได้นึกถึงมัน สาวน้อยหน้าตาน่ารักท่าทางลุกลี้ลุกลนที่เอ่ยทักสิมิลันด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างสุดแสน เขาจำได้ดีทั้งที่ไม่ได้สนใจไม่เคยใส่ใจ แต่กลับจำได้ ดวงตากลมโตสีสนิมดูตื่นตระหนกแต่น่ามองอย่างประหลาดชานนท์หัวเราะออกมาอย่างนึกขบขัน เอ็นดู ยามนึกถึงสาวน้อยที่วิ่งแจ้นตามเขาไปทุกที่ตลอดเวลาเดินทางไปด้วยกันตามลำพังที่ฟลอเรนซ์ ช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่เขาทั้งเสียใจเพราะสิมิลันปฏิเสธรัก แต่หัวใจถูกเติมเต็มเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว “ทำอะไรอยู่... อเล็กซ์” เสียงทักทายคุ้นหูดังมา
ภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษว่างเปล่าราวกับไม่มีใครพักอยู่ก่อน เตียงสีขาวถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวของในห้องมีเพียงของใช้พื้นฐานที่ไม่บ่งบอกว่ามีผู้ป่วยพักอยู่ เอรินถึงกับหน้าถอดสีทันทีที่เปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใจหายเมื่อไม่เห็นเขา “ยักษ์!... เขาหายไปไหน หรือว่าเขาไม่อยู่แล้ว หรือว่า...” “เฮ๊ย! ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งร้อง เดี๋ยวฉันไปถามพยาบาล” กรณ์พูดปลอบ แต่เอรินยังคงคร่ำครวญ “พี่นนท์! ฮือ ฮือ แล้วฉันกับลูกจะอยู่ยังไง” เอรินร่ำร้องอย่างลืมอายนึกไปสารพัดว่าเขาอาจจะเป็นอะไรไป หรือเธอมาไม่ทัน กรณ์โอบไหล่ประคองร่างบางที่กำลังเข่าอ่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นให้ยืนหยัดอยู่ในอ้อมแขนเขา “ฉันว่าเขาไม่เป็นไรหรอกมั้ง สงสัยเราเข้าห้องผิดแน่ๆ” คำพูดของกรณ์ไม่ช่วยให้ดีขึ้น กลับทำให้ใจหายหนักกว่าเก่า น้ำตาพร่างพรูพาลไหลอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหมด เสียงสะอึกสะอื้นสะท้อนดังก้องภายในห้อง จนคนในห้องน้ำเปิดประตูออกมา แล้วเขาก็พบเอรินกำลังซบหน้ากับอกกรณ์ร้องไห้สะอื้นเสียงดัง ชานนท์กระแอมออกมาเบาๆ เรียกสติ ทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคย หล่อนเหลียวมองหาที่มาจนพบเขาอยู่ในสายตาใกล้กันชนิดหล่อนเองยัง
บ้านต้นไม้เงียบเหงาวังเวง ใบไม้แห้งเกลื่อนนอกชานเพราะขาดการเอาใจใส่นับตั้งแต่วันที่สองพ่อลูกถูกหามส่งโรงพยาบาล เอรินมองสภาพของบ้านแล้วได้แต่ทอดถอนใจ มือคว้าจับราวบันไดยึดเป็นที่พึ่งยามร่างกายอ่อนแรงสูญเสียกำลังใจ ประตูกระจกถูกเลื่อนเปิดออก กลิ่นอับภายในห้องกระทบจมูกถึงกับนิ่วหน้า มองไปรอบบริเวณห้องแล้วได้แต่นึกถึง “บ้านนี้เหงาจัง... เมื่อไม่มีคุณ ต่อไปที่นี่คงไม่มีคุณอีกแล้ว” หญิงสาวล้มตัวนอนบนเตียงอย่างเดียวดาย ห้องที่มีความทรงจำและเปี่ยมด้วยความหวังมากมาย การได้กลับมาพบเจอได้พูดคุยปรับความเข้าใจ ถึงแม้ในช่วงเวลาอันสั้น แต่ทุกอณูภายในห้องก็ยังมีกลิ่นและร่องรอยความทรงจำของเขา น้ำตารินไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เสียงสะอื้นสะท้อนแผ่วเบาออกมายังนอกบริเวณบ้าน กรณ์ชะงักฝีเท้าขณะก้าวพ้นประตูกระจกเข้ามาภายในห้อง มือชะงักค้างอยู่กับบานประตูหมายจะเลื่อนเปิดกว้างให้อากาศถ่ายเท แต่เมื่อเห็นร่างบอบบางที่นอนคุดคู้สะอื้นหันหลังมาทางเขาก็ถึงกับถอนใจ สองเท้าก้าวแผ่วเบาเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงข้างๆ สัมผัสอ่อนยวบข้างเตียงทำให้คนนอนรู้สึกตัวหันขวับมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ดวงตากลมใสก็หม่นลง “ผ







