“ผมว่าชุดนี้มันเซ็กซี่ไปไม่เหมาะกับคุณเลยนะ... เด็กน้อย”
“เอ๊ะ!” เอรินชักสีหน้า พอหันกลับมาเห็นว่าเป็นใครหล่อนถึงกับตะลึง “คุณ!”
“ก็ผมนะสิ นึกว่าใคร” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงเอือมๆ ยังคงจ้องหน้าหล่อนด้วยแววตาเหมือนจับผิด
“หรือว่าคุณมารับฉัน! นี่คงเป็นบริการเสริมสำหรับลูกค้าโรงแรมคุณใช่ไหม ถึงขนาดซีอีโอต้องมารับแขกแทนเลยหรือนี่”
คำถามของหญิงสาวทำให้ซีอีโอโรงแรมใหญ่เช่นเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพียงตากลมโตของหล่อนฉายแววขุ่นข้อง เขาถึงกับหัวเราะเบาๆ ด้วยความระอา
“ผมจะมารับคุณทำไม”
“ก็แล้วคุณมาที่นี่ทำไมละคะ” หล่อนถามเสียงขุ่นเมื่อเจอน้ำเสียงล้อเลียนเข้า แต่อีกฝ่ายกระตุกยิ้มมุมปากราวขบขันจนหล่อนนึกเคือง
“ผมมารับชุดต่างหาก” เขาตอบก่อนจะหันไปยิ้มกับพนักงานที่พินอบพิเทาให้การต้อนรับเป็นพิเศษต่างกับที่ปฏิบัติกับหล่อนลิบลับ
ชุดทักซิโด้สีดำบรรจงแขวนและใส่ถุงเรียบกริบคู่กับชุดราตรียาวสีเบจที่เห็นทำให้เอรินลอบมองด้วยความสนใจ
ที่แท้มารับชุดให้แฟน...
หล่อนคิดในใจ แต่เมื่อเห็นสายตาอีกฝ่ายก็เลยถามแก้เก้อ “คุณคงมารับชุดให้แฟนสินะคะ ชุดสวยจังฉันชักจะอยากเห็นแฟนคุณซะแล้วสิ”
แต่ชานนท์ไม่ตอบนอกจากจะทำหูทวนลมแล้วยังเดินไปทางชุดราตรียาวที่แขวนเรียงรายในราวแล้วหยิบออกมาชุดหนึ่งยื่นส่งให้เธอแทนคำตอบที่ต้องการ
“ลองชุดนี้ให้หน่อย ผมว่าคุณเหมาะกับชุดนี้มากกว่าชุดนั้นอีกนะ”
เอรินรับมาอย่างงุนงง ไม่ทันตั้งตัวหล่อนก็โดนซีอีโอหนุ่มใหญ่ผลักให้เข้ามาในห้องแต่งตัว หล่อนได้แต่ฮึดฮัดจะออกมาแต่ติดที่เขายืนขวางและดันประตูเอาไว้
“เร็วๆ สิ ลองให้ดูหน่อย”
ให้ลองโดยไม่มีเหตุผลแล้วยังจะเร่งเร้า หญิงสาวจึงชักสีหน้าก่อนตอบเสียงขุ่น “ฉันไม่มีเวลาเป็นหุ่นให้คุณหรอกค่ะ นี่ชุดของฉันก็เสร็จแล้ว ฉันต้องรีบกลับโรงแรมค่ะ”
“ไม่ลองก็ไม่ต้องออกมาหรอก อยู่ในนั้นนั่นแหละ”
อีกฝ่ายตอบเสียงนิ่งแต่เอรินได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเขาแล้วยิ่งหงุดหงิดไปใหญ่
“เปิดประตู! ฉันไม่ใช่หุ่นลองชุดให้แฟนคุณนะ เปิด!”
“เปิดก็ได้แต่ต้องลองชุดให้ผมดูก่อนไม่งั้นไม่เปิด”
“คุณนี่โรคจิตชัดๆ” เอรินโวยวายตีมือเข้ากับประตูห้องลองระบายอารมณ์ แต่ดูเหมือนหล่อนจะเจ็บมากกว่า
“เร็วๆ เถอะน่า มัวแต่พูดมากก็ไม่ได้ออกสักทีแหละ”
หญิงสาวส่งเสียงจิ๊จะขัดใจหันรีหันขวางแล้วต้องสะดุดใจเมื่อสังเกตชุดที่ชานนท์เลือกให้
ชุดราตรียาวเนื้อผ้าชีฟองบางเบาสีครีมอ่อนสไตล์โบฮีเมียนที่เห็นเมื่อมองผ่านกระจกทำให้ริมฝีปากอิ่มยกขึ้นเล็กน้อยด้วยความพึงใจ ไม่กี่นาทีชุดแสนสวยก็ย้ายมาอยู่บนเรือนร่างของหล่อนและดูเหมาะสมกว่าชุดเมื่อครู่มากจนเหมือนเป็นคนละคน
“ไหนดูซิ ออกมาดูหน่อย”
เอรินหน้ามุ่ยเปิดประตูห้องลองลงมาแล้วหมุนตัวจนชุดราตรีพลิ้วไหวสองสามตลบก่อนจะหยุดลงหน้าชายหนุ่ม
“พอใจรึยังคะ ถ้าคุณอยากเลือกชุดให้แฟนก็ควรพาเธอมาลองเอง ไม่ใช่ใช้คนอื่นลองให้แบบนี้ มันน่าเกลียดรู้ไหมคะ”
“ก็เห็นคุณว่าง” เขาตอบน้ำเสียงราบเรียบหันกลับไปอีกทาง
เอรินถึงกับโมโหก้าวตามหลังก่อนจะดึงแขนซีอีโอหนุ่มใหญ่ให้หันมา แต่หล่อนถึงกับพูดไม่ออกทันทีที่คาดผมดอกไม้ถูกสวมลงบนหัวโดยไม่ทันตั้งตัว
“เอ๊ะ! นี่มันอะไรกันคะ” หล่อนเสียงหลงปัดป้องแต่พอเห็นสายตาวิบวับของอีกฝ่าย หล่อนถึงกับชะงัก
“สวยมาก มงกุฎดอกไม้นี้น่ารัก... เหมาะกับคุณ”
เอรินถึงอึ้งมองตัวเองในกระจกบานใหญ่กลางร้าน มงกุฏดอกไม้ที่อีกฝ่ายสวมให้เข้ากันกับชุดโบฮีเมียนที่เขาเลือกอย่างไม่น่าเชื่อ
ชุดลูกไม้เนื้อบางแขนกุดส่วนเอวรูดผ้าพลิ้วบางเบาสีครีมอ่อนดูพอดิบพอดีกับเรือนร่างผอมสูงของหล่อน ทั้งยังขับผิวขาวอมชมพูให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้นจนหล่อนยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“สวย”
“คะ?”
“ชุดสวย” ชานนท์ตอบเก้อๆ
หญิงสาวถึงกับหน้าแดงซ่าน รู้ว่าเขาเจตนาแค่มองชุด แต่หล่อนอดสะเทิ้นอายสายตาของเขาไม่ได้
“ถ้าพอใจแล้วฉันจะถอดแล้วนะ ถ้าแฟนคุณตัวพอๆ กับฉัน ชุดนี้พอดีเลยไม่ต้องแก้”
“ผมกะพอดีจริงด้วยสินะ” ชายหนุ่มลูบคางพลางจ้องหล่อนศีรษะจรดปลายเท้าก่อนเอ่ยพลางล้วงกระเป๋าหยิบการ์ดยื่นให้พนักงานหญิง พอลับสายตาเหลือกันเพียงสองคนจึงหันมาหาหญิงสาว
“คุณเก่งนะ กะขนาดไซส์แฟนตัวเองพอดีเป๊ะเลย งั้นเสร็จแล้วฉันเปลี่ยนเลยนะคะเผื่อรถโรงแรมมารับ”
“ทำไมต้องรถโรงแรม แล้ววินซ์ซีทิ้งให้คุณอยู่คนเดียวได้ยังไงใช้ไม่ได้เลย” เขาถามเสียงเรียบคิ้วขมวดไม่รู้ตัว
เอรินรีบโบกมือปฏิเสธ “พอดีวีไปรับพ่อแม่คุณวิลเลี่ยมที่สนามบินค่ะ ฉันก็เลย...”
“โอเค เข้าใจละ” ชายหนุ่มพูดพลางหันไปรับชุดกับการ์ดจากพนักงานแล้วยื่นให้หญิงสาว “ของขวัญสำหรับคุณ... สาวน้อย”
“คะ? คุณซื้อชุดนี้ให้ฉันหรือคะ” เอรินรับถุงขนาดใหญ่ที่บรรจุชุดใส่กล่องมาอย่างเรียบร้อยด้วยความงุนงงก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไปติดๆ “เนื่องในโอกาสอะไรคะ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกนะคะ... คุณ”
“ชุดนี้เหมาะกับคุณมากกว่าชุดที่ลองทีแรก พรุ่งนี้หวังว่าจะได้เห็นเพื่อนเจ้าสาวอิมพอร์ตจากเมืองไทยใส่ชุดนี้นะ”
เอรินยืนสูดอากาศบนคอนโดสีขาวสิบชั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดหัวหินมากนัก เสียงฝนตกโปรยปรายดังแข่งกับเสียงซัดสาดหาดทรายของคลื่นลมท่ามกลางความมืดของคืนแรม ชานนท์ยืนมองหญิงสาวอยู่ภายในห้องด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก หลังจากโทรศัพท์ไปขออนุญาตจากแม่ของเอรินและโดนบ่นยกใหญ่ แต่เขาอ้างเหตุผลว่าฝนตกหนัก ลมแรงจึงไม่อยากเดินทางกลับเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งอติมาจำต้องยอมและจะแก้ตัวกับสามีเอง ชานนท์ถอนใจโล่งอกหลังจากวางสายแล้วเดินเข้าไปหาเอรินเงียบๆ หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงมือเย็บเฉียบที่โอบกอดรอบเอวไว้จากด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้หน้าท้องแบนราบจากด้านนอกเสื้อเชิ๊ตตัวยาวที่เธอเปลี่ยนหลังจากอาบน้ำเสร็จ “หอมจัง กลิ่นเธอ” “ก็กลิ่นสบู่คุณนั่นแหละค่ะ” เธอตอบเสียงเบา “อย่าค่ะ เดี๋ยวมีคนเห็น” หล่อนขืนตัวออกจากการโอบกอดก่อนจะหันมาสบตาคนรุ่มร่าม และต้องหลบวูบหน้าแดงซ่านเมื่อเห็นแผ่นอกหนาเปลือยเปล่าอยู่ระดับสายตาและระยะประชิด ชานนท์สวมกางเกงขายาวตัวเดียวไม่ใส่เสื้อยิ้มกรุ่มกริ่มกระซิบ “เข้าห้องกันเถอะนะ อยากกอดอยากรักเมียใจจะขาดอยู่แล้ว” “คุ
“อะไร ไม่เอานะคะ ฉันต้องกลับบ้าน เมื่อกี้เราออกมาพ่อก็เห็น ขืนไม่กลับ พ่อด่าฉันตายแน่” “ไม่กลับ คืนนี้อย่ากลับเลยนะเอริน ฉันอยากนอนกอดเมียให้หายคิดถึง ” ชานนท์เสียงอ่อนลง เพราะนึกรู้ว่าเอรินต้องไม่พอใจ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด “คุณเอาแต่ใจแบบนี้ตลอด” หล่อนเสียงอ่อย “หายไปสองเดือนฉันยังไม่ได้บ่นคุณเลย” “ฉันไปจัดการธุระหลายอย่าง และตอนนี้ฉันฟรีไม่มีอะไรติดค้างอีกแล้ว ส่วนถ้าฉันไม่เอาแต่ใจจะได้เธอมาแบบนี้รึไง” เขาเถียงข้างๆ คูๆ “ถึงเราจะจดทะเบียนกันแล้ว แต่พ่อของฉัน และแม่ของคุณยังไม่รับรู้เรื่องของเรา ฉันว่ามันไม่ถูกต้องนะคะ” “มาจนขนาดนี้ ฉันก็ปูนนี้ เธอก็เกินยี่สิบห้าแล้ว ยังกลัวอะไรไม่เข้าเรื่องอยู่อีก” “คุณไม่คิดว่าเราควรทำให้ถูกต้องก่อนหรือคะ” “ก็แค่ลัดขั้นตอนไปหน่อย แต่ฉันจะโทรไปบอกแม่เธอเอง เถอะนะเอริน อย่าขัดใจฉันเลย วันนี้ฉันอยากเดทกับเมีย” ชานนท์ยิ้มให้เอรินตาเป็นประกาย แต่ดวงตากลับมีความหม่นหมองและไหวหวั่นซ่อนอยู่ลึกๆ อย่างน้อยก่อนที่เขาจะต้องไปเจอกับแม่พรุ่งนี้ เขาก็อยากจะทำอะไรเพื่อเอรินบ้า
กว่าจะเคลียร์เรื่องราวทุกอย่างกับพ่อของราเชลโดยนัดเจรจากันที่ลอนดอนลงตัวโดยที่ราเชลไม่รู้ เขาต้องเสียไปหลายอย่าง ทั้งหุ้นโรงแรมในลอนดอนและบ้านสีขาวหลังนั้นที่ทีแรกเขาคิดจะรีโนเวทเป็นโรงแรมในเครือสิทธรา แต่ที่นั่นมีความทรงจำเลวร้ายที่เขาอยากลืม... “ขอบใจนะมิน พี่ฝากโครงการนั้นให้เราสานต่อกับพ่อราเชลเลยก็แล้วกัน ไม่มีแต่ มินทำได้อยู่แล้วนึกว่าช่วยพี่” ชานนท์ยิ้มพึงใจก่อนวางหู สิมิลันยอมช่วยรับภาระบ้านสีขาวหลังนั้นไปแทนโดยที่เขาไม่ต้องเห็นมันให้รกตาอีก ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะบอกคนขับ “เร็วหน่อยครับ ผมมีธุระต่อ” ไม่เพียงแต่ตกลงกับพ่อราเชล เขายังเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูความทรงจำจากเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์กว่าสิบชั่วโมงภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ แล้วเขาก็ได้รู้ทุกอย่างเมื่อความทรงจำฟื้นคืนกลับมา ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดแม้แต่แม่บุญธรรมของเขา ถ้าหากเขาจะเจรจา... หวังว่าหล่อนคงยอม...เมื่อรถแท็กซี่จอดหน้าเรือนไม้บ้านสวน ชานนท์ก็วิ่งวุ่นตามหาเอรินไปทั่ว ในที่สุดเขาก็พบหญิงสาวเดินลงมาจากทางเดินบนเนินเขาทางไปบ้านต้น
“เดี๋ยว! ผมไม่เข้าใจ” กรณ์ยื้อไว้ เมื่อหล่อนจะลุกหนี “ได้แล้วทิ้งงั้นเหรอ ผมไม่ใช่ดอกไม้ริมทางของคุณนะ” “คำนั้นน่าจะหมายถึงฉันมากกว่า” ราเชลหันกลับมายิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ฝืดจนคนมองยังรู้สึก “ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ฉันไม่อยากไร้ค่าไปมากกว่านี้” “คุณไม่ไร้ค่า คุณเป็นเมียผมแล้วอย่าพูดแบบนี้ผมไม่ชอบ” “ฉันไม่ได้เป็นเมียนาย และไม่เคยอยากให้นายมาชอบ” ราเชลตอบแล้วก็ถึงกับนิ่วหน้ารู้สึกเจ็บหัวไหล่ เพราะกรณ์เม้มริมฝีปากกลั้นก้อนจุกในลำคอ และลืมตัวบีบหัวไหล่นวลเนียนแน่น“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะราเชล เราสองคนมาคบกันจริงๆ เถอะ”หญิงสาวถึงกับตะลึงพูดไม่ออก ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกพ่ายแพ้ต่ออะไรบางอย่างได้ขนาดนี้ หล่อนกำลังพ่ายแพ้เสียงอ่อนโยนห่วงใยที่ไม่เคยได้รับจากใครแม้แต่ชานนท์ ผู้ชายที่หล่อนรักที่สุด แต่... หล่อนไม่อยากแพ้“ไม่ต้องพูดมาก นายก็รู้เด็กนอกอย่างฉันจะอะไรกับใครก็ไม่เห็นจะต้องเรียกร้องให้ใครต้องมารับผิดชอบชีวิต ฉันไม่ใช่เอรินนะ" “ผมก็ไม่ได้คิดว่าคุณเป็นตัวแทนเอริน เข้าใจรึเปล่าราเชล คุณเชื่อใจผมนะ” “อย่ามาหลอกให้ดีใจเลย ไม่มีใครรักผู้หญิงที่ยอมนอนด้วยเพียงเพราะอารมณ์ชั
ราเชลเลิกคิ้วสูง มองคนถามด้วยสายตาแปลกๆ กรณ์เหลียวมองยิ้มมุมปากก่อนพูดต่อ“ไม่ใช่อะไร เป็นห่วง มีห้องนอนสองห้อง คุณไปพักที่นั่นก่อน ผมจะได้อยู่เป็นเพื่อนไม่ต้องตีรถกลับประจวบคืนนี้ โอเคไหม” “ไม่เอาหรอก เกิดใครเข้าใจผิดจะว่ายังไง” “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า คุณอายุมากกว่าผมตั้งเยอะ เป็นพี่สาวผมได้ ใครจะกล้าคิดอะไร เอาตามนี้เถอะ ผมขี้เกียจเทียวไปเทียวมาคอนโดกับโรงแรมเพื่อไปรับคุณอีก พักที่คอนโดผมเถอะคืนเดียวเอง โอเค๊” “ก็ได้”“บทจะตกลงก็ง่ายงี้เลย” เขาถามสีหน้าประหลาดใจ“ก็ใช่นะสิ สองหัวดีกว่าหัวเดียว ฉันยิ่งกลัวๆ อยู่ไม่รู้พรุ่งนี้จะเจออะไรบ้าง”“ไม่น่าเชื่อ คุณก็อ่อนแอเป็นเหมือนกัน” “ฉันไม่ใช่วันเดอร์วูแมนนะ” เพราะความเหงาว้าเหว่ที่จู่โจมหัวใจในยามนี้ ทำให้ราเชลเผลอจ้องเด็กหนุ่มคนข้างๆ ที่กำลังบาดเจ็บจากความรักเช่นเดียวกันกับหล่อน บางทีการมีใครสักคนที่พอจะเป็นที่พึ่งคอยอยู่เป็นเพื่อนปรับทุกข์ คงเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวทีเดียว... ท้องฟ้ายามค่ำไม่มีแสงดาวระยิบระยับเหมือนเคย มีเพียงแสงฟ้าแลบคำรามเป็นระยะ ราวกับกำลังจะเกิดพายุใหญ่ ราเชลยืนพิงราวเหล็กระเบียงคอนโดมิเนียมชั้นเกือบบนสุดปล
บ้านต้นไม้ยามพลบค่ำมีเพียงแสงโพล้เพล้ของดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าสาดลงมาให้เห็นเพียงรำไร ไฟทางเดินยังไม่เปิดให้แสง แต่กรณ์ก็อาศัยความเคยชินเดินมาจนถึงอาณาเขตบ้านต้นไม้จนได้ บรรยากาศรอบข้างเงียบเหงาสุดบรรยาย ร่างสูงโปร่งเหลียวมองหานางแบบสาวไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่เทอเรซกว้างที่ราเชลชอบมายืนมองหลังคาบ้านสวนสักพักประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมกับราเชลในชุดคลุมอาบน้ำสีขาว ผมยาวสลวยเป็นลอนเปียกปอนเพราะสระผมมาหมาดๆ ใบหน้าซีดเซียวไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มมีเพียงริ้วรอยแดงเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เมื่อเห็นชายหนุ่มก็เอ่ยทัก “เป็นห่วงฉันรึไง ยังไม่ตายหรอก” เสียงที่คุ้นเคยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เรียกรอยยิ้มของกรณ์ให้หันกลับมามองต้นเสียง ราเชลยิ้มน้อยๆ ให้คนตรงหน้าทั้งที่ยังยืนอยู่ในท่าเดิม “ก็... อืม... คุณเป็นยังไงบ้าง ผมว่าวันนี้คุณพักผ่อนเถอะ ทานอะไรรึยังถ้ายังผมจะสั่งมาให้ แล้วพรุ่งนี้คุณจะเข้ากรุงเทพกี่โมง ผมจะไปส่ง” กรณ์เดินเข้ามายืนตรงข้าม ราเชลหลบสายตาห่วงใยที่มองมาก่อนตอบ “ฉันจะไปวันนี้เลย”“เฮ้ย! เร็วไปไหมคุณ นี่ก็ค่ำแล้วนะ” ชายหนุ่มก้มดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ