“มองหน้าผม คิดอะไรกับผมรึเปล่า”
เอรินถึงกับสะดุ้งพบสายตาคมเข้มจ้องอยู่ “ปะ... เปล่าค่ะฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ฉันว่าขอตัวไปพักผ่อนดีกว่า กลัวตื่นมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวหน้าเมื่อย อายคนอื่นตายเลย” หล่อนพูดติดตลกแต่ต้องหลบตาเมื่อเขายังคงจ้องมองหล่อนไม่วางตา
“หน้าฉันมีอะไรติดรึเปล่าคะ คุณจ้องฉันจัง”
“ผมคิดว่าเคยเห็นคุณ” ชานนท์กระตุกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยต่อ “แต่ไม่น่าใช่หรอก คนที่ผมเห็นไม่ได้ผิดคอนเซ็ปต์ขนาดนี้”
เอรินฟังแล้วหน้าม้านทำปากยื่นลอบมองอีกฝ่ายผ่านกระจก ชานนท์ยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม ความอึดอัดแผ่ซ่านกระจายทั่วรถ
ในที่สุดหล่อนจึงคว้ากระเป๋า ถุงใส่ชุดเพื่อนเจ้าสาวและถุงชุดที่เขาซื้อให้ เตรียมเปิดประตูลงไปแต่ชายหนุ่มแตะแขนเอาไว้ หล่อนจึงเหลียวมาเห็นรอยกังวลจากดวงหน้าเข้ม
“ถ้ายังไม่เหนื่อยเกินไป อยู่เป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” ชานนท์พูดทั้งที่หลับตา พิงหลังกับเบาะที่นั่งคนขับ
“ก็ได้ค่ะ ถือว่าตอบแทนคุณเรื่องชุด”
หล่อนนั่งหลังตรงรอนานกว่าที่อีกฝ่ายจะเปิดปากเล่าเรื่องบางอย่างที่หล่อนสนใจอยากถามแต่ไม่กล้า
“อยากรู้ใช่ไหม ว่าทำไมผมกับมินถึงอยู่ด้วยกันที่ห้องสูทชั้นบน”
“เอ่อ... จริงๆ แล้วก็ไม่เกี่ยวกับฉัน คือว่าฉันแค่สอดรู้สอดเห็นตามประสาเท่านั้นเองค่ะ” หล่อนตอบเสียงอ่อย “คุณไม่ต้องเล่าหรอก ฉันขอโทษที่ถามคำถามที่คุณลำบากใจ”
“ผมกับเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”
หญิงสาวเลิกคิ้วแปลกใจกับสิ่งที่รับรู้เพราะมันตรงข้ามกับที่ได้ยิน “แต่เป็นใครก็คงคิดว่าคุณสองคนเป็นสามีภรรยากัน”
“แล้วใครนั่น... ใคร”
“ฉันแค่พูดรวมๆ ค่ะ” หล่อนเสียงอ่อยอีกรอบ
ชานนท์ขยับตัวเล็กน้อย ตามองตรงไปทางป้ายชื่อโรงแรมที่สะท้อนผ่านกระจกให้เห็น ยามนี้เขาต้องการที่ระบายจริงๆ
“คุณลุงของผมซึ่งก็คือพ่อแท้ๆ ของเธอส่งเธอมาที่นี่เพื่อมาเรียนต่อ แต่จริงๆ แล้วเธอมาเพราะหนีหน้าอดีตคนรัก ส่วนผมก็เป็นแค่ผู้บริหารที่คุณลุงให้ความไว้วางใจให้ดูแลทั้งโรงแรมและดูแลลูกสาวให้โดยไม่รู้เคยรู้เลยว่าเธอมีลูกติดท้องมาจากเมืองไทย”
“คนก็เลยเข้าใจว่าคุณสองคน...”
ชานนท์พยักหน้า เหลือบมองดวงหน้านวลแล้วหันกลับไปมองนอกหน้าต่างเหมือนปล่อยความคิดล่องลอยให้นึกถึงใครบางคน
“เมื่อคืนผมไปดื่มกับเพื่อนที่เล่าให้ฟังว่าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวพรุ่งนี้ เขาเล่าว่าเลิกกับภรรยาแล้ว และภรรยาเขาคือพี่สาวของมินนี่”
“โลกกลมขนาดนี้เชียว ทำไมวุ่นวายขนาดนี้” เอรินเผลอหลุดปากแล้วรีบตะครุบริมฝีปากตัวเองให้เงียบ
ชานนท์ยิ้มมุมปากคล้ายเยาะ
“ใช่... โลกมันกลมไปนะ กลายเป็นว่าผมอยู่ระหว่างผู้หญิงสองคนที่เป็นน้องสาวทั้งคู่ ถึงจะไม่ใช่น้องแท้ๆ แต่ผมก็เป็นห่วงพวกเธอ ส่วนอดีตสามีที่ว่าก็ดันเป็นเพื่อนของผม”
เอรินครุ่นคิดลำดับความสัมพันธ์แล้วได้แต่ถอนหายใจ เขามีปัญหาหนักอกจริงอย่างที่คิด หล่อนได้แต่ปลอบ
“ไม่แปลกนี่คะ ที่พี่ชายจะห่วงน้องสาว ในเมื่อคุณและพวกเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน” หล่อนแย้ง “แล้วทำไมคุณต้องเมา ในเมื่อคุณซะอีกที่ควรจะต้องเข้มแข็งที่สุด เพราะน้องสาวคุณสองคนต่างก็มีปัญหา”
“เพราะผมรักคนที่ไม่ควรรัก” ชานนท์ยิ้มหยันตัวเองอีกครั้ง
คนฟังใจหายไปอยู่ตาตุ่ม หัวใจวูบไหวโดยไม่มีสาเหตุได้แต่นั่งเงียบพูดไม่ออก หล่อนอยากปลอบแต่ก็อยากร้องไห้ ทั้งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันนอกจากรู้เพียงว่าเขาคือผู้บริหารโรงแรมที่หล่อนพัก
“ความรักห้ามได้ที่ไหนกันคะ คุณอย่าคิดมากเลย” หล่อนปลอบเสียงแผ่ว
“ผมคงดูโง่มากใช่ไหม”
เอรินมองสายตาเจ็บปวดของชายหนุ่มแล้วส่ายหน้า “ไม่มีใครโง่เพราะความรักหรอกค่ะ ความรักมักทำให้คนตาบอด คนฉลาดก็กลายเป็นไม่ฉลาดเมื่อได้รู้จักความรัก มันมักจะพาเราไปในทิศทางที่คาดไม่ถึงและควบคุมไม่ได้”
“พูดเหมือนมีประสบการณ์ความรักโชกโชนงั้นละ”
“ไม่เคยมีต่างหากล่ะคะ” เอรินหัวเราะแห้งๆ “ฉันยังไม่รู้เลยว่าความรักจริงๆ เป็นยังไง”
“ความรักมักจู่โจ่มโดยที่เราไม่รู้ และกว่าจะรู้เราก็โดนมันเล่นงานเข้าให้แล้ว” ชานนท์พูดจบเหลือบมองหล่อนยิ้มๆ
เอรินหน้าแดงก่ำ ทั้งที่รู้ว่าที่เขาพูดไม่ได้หมายถึงหล่อนแต่หัวใจหล่อนกลับร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็น
คงเพราะความเหงา...
ใช่... ต้องเป็นอย่างนี้แน่ หล่อนอาจกำลังเป็นโรคโฮมซิก
“ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อน ถือซะว่าที่ฟังผมระบายคือนิยายรักที่ไม่มีวันสมหวังเป็นการตอบแทนค่าชุดก็แล้วกัน” ชานนท์ถอนใจ พร้อมรอยยิ้มที่บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไร
หล่อนรู้สึกว่ามันคือรอยยิ้มแห่งความขมขื่น...
น่าจะเป็นอย่างนั้น...
กว่าจะถึงห้องพักก็เกือบเที่ยงคืน เอรินถึงกับสะดุ้งเมื่อวินซ์มารออยู่หน้าประตูก่อนแล้วเอ่ยทัก
“บอกให้รอทำไมไม่รอ เด็กที่ร้านบอกว่าเธอออกไปกับคุณอเล็กซ์”
“อือ... ก็ใช่” หล่อนตอบเนือยๆ
“ต๊าย! แล้วไปไหนกันมาทำไมไม่รับโทรศัพท์”
“แบตหมด แต่เขาบอกว่าโทรคุยกับเธอแล้วนี่” เอรินทำหน้างงเมื่อเห็นเพื่อนรักทำตาเล็กตาน้อยคล้ายจับผิด
วินซ์หรี่ตาครุ่นคิดพลางเอ่ยเย้า “บอกอะไรกันถ้ารู้ฉันก็ไม่ต้องรีบไปรับเธอหรอก แล้วนี่ก็โทรศัพท์ลืมเอาไว้ในห้องลองชุด ฉันซื้อซิมให้ใช้ที่นี่แล้วนะ มีของก็ให้ใช้ประโยชน์ นี่อะไรเพื่อนฝูงติดต่อไม่ได้เลย”
“แล้วทำไมไม่โทรเข้าเบอร์คุณอเล็กซ์ล่ะ ฉันก็อยู่กับเขาตลอดเพิ่งแยกกันนี่แหละ”
“นี่เขาอยู่กับเธอตลอดเลยหรือ? เหลือเชื่อ!”
ชานนท์ปรายตามองเอรินด้วยแววตาเอ็นดูแกมขบขัน หญิงสาวหนึ่งเดียวในวงสนทนาถึงกับหน้าง้ำ อธิปกอดแปลกใจไม่ได้ที่เพื่อนรุ่นพี่ของเขาดูจะผ่อนคลายกว่าทุกทีที่เคยเจอ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจมากเท่ากับเรื่องผู้หญิงของชายหนุ่มรุ่นพี่ ที่เขายังไม่เคยพบตัวเป็นๆเมื่อคืนก่อนที่ออกไปดื่มด้วยกันชานนท์ดูไม่สบายใจ อธิปกไม่เก็บความสงสัยไว้นานจึงเอ่ยถามถึงหญิงสาวผู้กำหัวใจพี่ชายคนเก่งทันที“ผมอยากเห็นคุณมินนี่คนสวยของพี่เสียแล้วสิ เธอไปไหนครับ”“เธอยุ่งๆ น่ะ เป็นทั้งเลขาและเป็นแม่งานจัดเวดดิ้งที่เก่งหาตัวจับยากคนหนึ่งเลย” ชานนท์พูดถึงหญิงสาวอย่างชื่นชม “ที่โรงแรมเราโด่งดังมากด้านจัดงานแต่งงานขนาดนี้เพราะเธอมีส่วนมากเชียวละ”“อื้อหือ อยากเห็นสาวสวยที่กำหัวใจพี่แล้วสิ” อธิปกเอ่ยเย้าๆเอรินถึงกับหน้ามุ่ยเมื่อได้ฟัง รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินจึงขอตัวกลับห้องและคราวนี้ชานนท์ไม่ได้รั้งไว้เหมือนเคย แต่กลับหันไปให้ความสนใจเรื่องงานคืนนี้กับอธิปกมากกว่า หญิงสาวปิดประตูห้องแล้วได้แต่ถอนใจเมื่อนึกถึงคำพูดชื่นชมของชานนท์ที่มีต่อสิมิลัน“ฉันอิจฉาคุณจัง ทำยังไงฉันถึงจะทั้งสวยและเก่งได้เท่าคุณกันนะ”หล่อนพึมพำพลางทอดถอนใจจะ
วินซ์ถึงกับตบอกอุทาน “ผู้ชายโลกส่วนตัวสูงขนาดนั้นคุยกับเธอรู้เรื่อง แถมอยู่ด้วยกันตลอด โอย! อเมซิ่งมาก หรือว่าเขาปิ๊งเธอ” “บ้าสิ! พูดไปเรื่อย” เอรินตีเพียะเข้าให้ที่หัวไหล่ว่าที่เจ้าสาว “เขาแค่ใจดีพาไปเลี้ยงข้าว กับพาไปเที่ยวที่อื่นอีกนิดหน่อยเอง” “เที่ยวด้วย? อุ๊ยตายแล้ว” วินซ์ทำหน้าล้อเลียน “เป็นบุญของเธอแล้วที่ให้เสือยิ้มยากคนนั้นพาเที่ยวได้ ฉันไปดีกว่า เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้ามืดจะโทรมาปลุกนะ”เอรินพยักหน้าพลางส่ายหน้ากับความเข้าใจผิดของเพื่อนรักก่อนจะกลับเข้าห้องไปนอกหน้าต่างยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟจากริมแม่น้ำเทมส์ที่เห็นไม่ไกล แสงสีสวยงามจากวงล้อลอนดอนอายดับไปแล้ว เอรินผุดลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลาตีสี่ได้เวลานัดช่างแต่งหน้าทำผมสำหรับเพื่อนเจ้าสาวในพิธีเช้าที่โบสถ์ หญิงสาวลุกยืนบิดขี้เกียจมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อคืนหล่อนฝัน ภาพเด็กผู้ชายที่ไม่เห็นหน้าเด่นชัดแต่ได้ยินเสียงของเขาชัดเจนทุกถ้อยคำ โดยเฉพาะน้ำเสียงบาดจิต คลับคล้ายคลับคลากับเสียงของซีอีโอหนุ่มทำให้เอรินสะบัดหน้าไล่ความรู้สึกวนเวียนในศีรษะออกไป “ฝันบ้าๆ อีกแล้ว จำเอาไว้สิเอรินว่าเธอไ
“มองหน้าผม คิดอะไรกับผมรึเปล่า”เอรินถึงกับสะดุ้งพบสายตาคมเข้มจ้องอยู่ “ปะ... เปล่าค่ะฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ฉันว่าขอตัวไปพักผ่อนดีกว่า กลัวตื่นมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวหน้าเมื่อย อายคนอื่นตายเลย” หล่อนพูดติดตลกแต่ต้องหลบตาเมื่อเขายังคงจ้องมองหล่อนไม่วางตา “หน้าฉันมีอะไรติดรึเปล่าคะ คุณจ้องฉันจัง”“ผมคิดว่าเคยเห็นคุณ” ชานนท์กระตุกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยต่อ “แต่ไม่น่าใช่หรอก คนที่ผมเห็นไม่ได้ผิดคอนเซ็ปต์ขนาดนี้”เอรินฟังแล้วหน้าม้านทำปากยื่นลอบมองอีกฝ่ายผ่านกระจก ชานนท์ยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม ความอึดอัดแผ่ซ่านกระจายทั่วรถในที่สุดหล่อนจึงคว้ากระเป๋า ถุงใส่ชุดเพื่อนเจ้าสาวและถุงชุดที่เขาซื้อให้ เตรียมเปิดประตูลงไปแต่ชายหนุ่มแตะแขนเอาไว้ หล่อนจึงเหลียวมาเห็นรอยกังวลจากดวงหน้าเข้ม“ถ้ายังไม่เหนื่อยเกินไป อยู่เป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” ชานนท์พูดทั้งที่หลับตา พิงหลังกับเบาะที่นั่งคนขับ“ก็ได้ค่ะ ถือว่าตอบแทนคุณเรื่องชุด” หล่อนนั่งหลังตรงรอนานกว่าที่อีกฝ่ายจะเปิดปากเล่าเรื่องบางอย่างที่หล่อนสนใจอยากถามแต่ไม่กล้า“อยากรู้ใช่ไหม ว่าทำไมผมกับมินถึงอยู่ด้วยกันที่ห้องสูทชั้นบน”“เอ่อ... จริงๆ แล้วก็ไม่เกี
“ถ้าฉันใส่ชุดนี้มีหวังยายวีแหกอกฉันสิคะ” เอรินบ่นพึมพำแต่เจือรอยยิ้มเหยเกเมื่อสบประกายตาวิบวับของอีกฝ่าย“ไม่เป็นไรหรอกอย่างมากก็แค่โดนเพื่อนแหกอกดีกว่าชุดแหวกทั้งหน้าเว้าทั้งหลังนั่นตั้งเยอะ”เอรินฟังคำพูดชายหนุ่มพลันหน้าแดงก่ำ รู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงแดกดันของเขาอย่างไม่มีสาเหตุดวงตากรุ้มกริ่มคู่นั้น...ทั้งรอยยิ้มบาดทีเลือดซิบ...และที่สำคัญเสียงที่คล้ายกับเจ้าชายในฝันของหล่อนจนแทบจะแยกไม่ออก หรือจริงๆ แล้วมันคือความฝันที่กลายเป็นจริง หรือที่จริงหล่อนเคยพบเขามาก่อนหญิงสาวไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้...บีเอ็มดับบลิววันซีรีย์สีดำสนิท แล่นไปบนถนนมุ่งหน้าสู่โรงแรมพาร์กพลาซ่า เอรินนั่งตัวลีบข้างคนขับที่สีหน้าเคร่งขรึมผิดไปจากเมื่อครู่ ช่างน่าอึดอัดจนอดใจไม่ถามไม่ได้“ฉันรอที่ห้างก็ได้ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยาก” “ผมก็โทรบอกวินซ์ให้แล้วไง จะต้องเรื่องมากทำไมกลับกับผมมันเป็นยังไง” เขาย้อนเหลือบมองหญิงสาวข้างกาย สีหน้ารำคาญ“ก็เปล่า ฉันก็แค่เกรงใจ แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนี่นะ เราเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า ตกลงชุดที่คุณมารับให้เป็นของคุณมินคนสวยหรือคะ”เขาเหลือบมองก่อนตอบ “ถามทำไม?”“ก็... ฉันได้ยินคุณ
“ผมว่าชุดนี้มันเซ็กซี่ไปไม่เหมาะกับคุณเลยนะ... เด็กน้อย”“เอ๊ะ!” เอรินชักสีหน้า พอหันกลับมาเห็นว่าเป็นใครหล่อนถึงกับตะลึง “คุณ!”“ก็ผมนะสิ นึกว่าใคร” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงเอือมๆ ยังคงจ้องหน้าหล่อนด้วยแววตาเหมือนจับผิด“หรือว่าคุณมารับฉัน! นี่คงเป็นบริการเสริมสำหรับลูกค้าโรงแรมคุณใช่ไหม ถึงขนาดซีอีโอต้องมารับแขกแทนเลยหรือนี่”คำถามของหญิงสาวทำให้ซีอีโอโรงแรมใหญ่เช่นเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพียงตากลมโตของหล่อนฉายแววขุ่นข้อง เขาถึงกับหัวเราะเบาๆ ด้วยความระอา “ผมจะมารับคุณทำไม” “ก็แล้วคุณมาที่นี่ทำไมละคะ” หล่อนถามเสียงขุ่นเมื่อเจอน้ำเสียงล้อเลียนเข้า แต่อีกฝ่ายกระตุกยิ้มมุมปากราวขบขันจนหล่อนนึกเคือง“ผมมารับชุดต่างหาก” เขาตอบก่อนจะหันไปยิ้มกับพนักงานที่พินอบพิเทาให้การต้อนรับเป็นพิเศษต่างกับที่ปฏิบัติกับหล่อนลิบลับ ชุดทักซิโด้สีดำบรรจงแขวนและใส่ถุงเรียบกริบคู่กับชุดราตรียาวสีเบจที่เห็นทำให้เอรินลอบมองด้วยความสนใจ ที่แท้มารับชุดให้แฟน... หล่อนคิดในใจ แต่เมื่อเห็นสายตาอีกฝ่ายก็เลยถามแก้เก้อ “คุณคงมารับชุดให้แฟนสินะคะ ชุดสวยจังฉันชักจ
อีกฝ่ายตะครุบตัวหล่อนรวบเข้าหาจนแผ่นหลังชนแผงอกล่ำแล้วเอามือปิดปากกระซิบข้างหู“ฟังผม!”“ไม่ฟัง!”เอรินสะบัดหน้าหนีแต่ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายพูดคำต่อมา“ถ้าไม่ฟัง ผมจะจูบคุณนะ... สาวน้อย”“หะ... หา!”เอรินหยุดชะงักยืนแข็งทื่อตามสั่งจนชานนท์คลายวงแขน พอตั้งสติได้หล่อนจึงหันมาเผชิญหน้าสีหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้ แต่ไม่มีคำพูดใดเล็ดรอด จนชายหนุ่มเอามือปัดไปมาหน้าหล่อนเพื่อเรียกสติ“นี่! เป็นอะไรไป ผมแค่พูดเล่น เห็นเดินคนเดียวเปลี่ยวใจกลัวใครจะมาลากไปซะก่อน... นี่ก็ดึกแล้วด้วย”“ฉะ... ฉัน แค่นึกอะไรเพลินไปหน่อยค่ะ” หล่อนเสียงสั่นยังตะลึงกับคำพูดเมื่อครู่ไม่หายมันช่างเหมือนกับในฝันราวกับไม่ได้ฝัน...“แล้วไป ก็นึกว่าอยากเล่นเอ็มวีก็เลยทำตัวเป็นพระเอกให้นี่ไง” เขาตอบหน้าตาเฉยกลิ่นเหล้าคลุ้งจนเอรินหน้ามุ่ย“โผล่มาแบบนี้เขาเรียกว่าผู้ร้ายบ้ากามมากกว่ารึเปล่าคะ คุณเล่นทำอย่างกับตัวร้ายดักฉุดนางเอกในนิยาย นี่ถ้าฉันไม่โวยวายคุณอาจจะทำมิดีมิร้ายฉันก็ได้” หล่อนเถียงไปข้างๆ คูๆชายหนุ่มฟังแล้วหัวเราะพรืดพลางหรี่ตามองร่างเพรียวบางตรงหน้าแล้วถอนใจ“ไม่มีใครอยากทำอะไรเด็กแบบคุณหรอก ผมก็แค่พูดเล่นสนุกๆ ไปง