“แล้วคุณล่ะครับ” เขาถามกลับมาเสียงเบา เธอไม่แน่ใจเลยว่าพวกเขามาถึงบทสนทนาที่จริงจังขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งที่เพิ่งจะกลับมาคุยกันอีกครั้ง
“ฉันไม่รู้สิคะ บางทีอาจจะ...หกเดือนถึงหนึ่งปี” เธอตอบไปตามที่คิด
“หกเดือน!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “บ้าน่า!”
“ฉันคิดว่าถ้ามันใช่ก็ไม่เห็นต้องรอเลยนี่คะ คนที่เป็นเนื้อคู่กันก็ควรจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่เห็นว่าการหมั้นหรือแต่งงานเร็วมันจะผิดตรงไหน”
“อ้อ...”
ฉู่เฮ่าหรานตอบกลับมาสั้น ๆ แล้วเจิ้งลี่ซาก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า เขากำลังเสียใจที่โทรหาเธอตอนนี้รึเปล่า เขากำลังเห็นว่าบางทีพวกเขาอาจจะไม่เข้ากันได้ดีมากนักรึเปล่า เธอรู้สึกเศร้ากับความคิดนั้น แต่ก็อยากจะอยู่กับความเป็นจริง บางทีสิ่งที่พวกเขามีทั้งหมดจริง ๆ ก็คือความเข้ากันได้ทางเพศ บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นกับซูเหม่ยหลินอาจจะดีสำหรับเธอกับเขาก็ได้ บางทีมันอาจจะช่วยให้ทั้งคู่รอดพ้นจากความเสียใจที่มากกว่านี้
“ลี่ซา!” เสียงเคาะประตูรัว ๆ ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของหลินซี
เจิ้งลี่ซาครางออกมาอย่างขัดใจ “แป๊บนะ
ฉู่เฮ่าหรานยืนนิ่งเป็นหิน ร่างกายท่อนล่างยังคงแข็งขืนจากอารมณ์ที่ค้างเติ่ง ในหัวของเขามีแต่คำว่า ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!’ ดังก้องซ้ำไปซ้ำมาให้ตายสิ ทำไมทุกครั้งที่เขาเจอผู้หญิงที่เริ่มจะถูกใจเข้าจริง ๆ จะต้องมีเรื่องวุ่นวายตามมาเป็นพรวนด้วยวะ แถมยังเป็นเรื่องใหญ่บิ๊กเบิ้มทั้งนั้น ปกติเขาไม่เคยคิดจะเอาตัวเองไปยุ่งกับเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้เลยสักนิดแต่กับเจิ้งลี่ซา...มันไม่เหมือนกันเธอคือผู้หญิงที่เขารู้สึกว่าอยากจะทำความรู้จักให้ลึกซึ้ง อยากจะครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจ ถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปนัก เขาก็อยากจะคิดว่านี่คือบททดสอบที่สวรรค์ส่งมาให้ บททดสอบความสัมพันธ์ของเขากับเธอ เพราะทุกครั้งที่เรื่องระหว่างพวกเขากำลังจะไปได้ด้วยดี ก็ต้องมีอะไรมาขัดจังหวะทุกครั้งไป“ลี่ซา ออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงของหลินซีดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงทุบประตูรัว ๆ “เฉินรออยู่นะ!”น้ำเสียงของเพื่อนสนิทเจิ้งลี่ซาร้อนรนจนผิดสังเกต เขาตวัดสายตาไปมองหญิงสาวที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของเธอกลับแดงก่ำและพยายามหลบสายตาเขาเป็นพัลวันความรู้สึกปั่นป่วนแล่นพล่านขึ้นมาในช่องท้อง ไอ้เฉินมันโผล่มาที่นี่ทำไม
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าขณะโน้มใบหน้ามากระซิบชิดริมหู ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดทำให้ผิวเนื้อของเธอซาบซ่านไปทั่วร่าง ขาแข้งพลันอ่อนแรงขึ้นมาดื้อ ๆเขาไม่รอคำตอบ แต่กลับจงใจเว้นจังหวะ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำยั่วยวน“ครั้งหน้าที่คุณอยู่บนเตียงผม ผมจะมัดคุณไว้ไม่ให้ดิ้นไปไหน แล้วจะบีบวิปครีมลงบนยอดอกของคุณ แล้วก็จะ...”“ฉู่เฮ่าหราน!” เธอตัดบทเขาเสียงเข้ม ใบหน้าของเธอร้อนเห่อเมื่อเหลือบไปเห็นซ่งจื่อหานกับฉู่ลี่เหยียนที่มองมาจากอีกมุมห้องด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ พวกเธอกำลังเปิดอัลบั้มรูปสมัยมัธยมดูกันอยู่ระหว่างรอเล่นเกมต่อ“ครับ...คุณเจิ้งลี่ซา” ฉู่เฮ่าหรานก้าวถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มซื่อตาใสกลับมาให้“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เธอตวาดเสียงเบาพลางทุบหน้าอกเขาเบา ๆ เป็นเชิงเตือน เมื่อเห็นว่าสองสาวทางโน้นแกล้งทำเป็นไม่สนใจ“หยุดอะไรครับ” เขายิ้มมุมปาก ใช้นิ้วลากไล้ผ่านริมฝีปากของเธอแผ่วเบา“คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ!” ดวงตาของเธอฉายแวววาวโรจน์ขณะเหลือบมองไปทางสองสาวอีกครั้ง นี่เขาคิดจะเล่นอะไรกันแน่ คิดจะแฉเรื่องของเราหรือไง!ความร้อนวาบแล่นไปทั่วใบหน้าและช่องท้องขณะที่เธอยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มโอ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านตระกูลฉู่อบอุ่นเกินกว่าที่เธอคาดไว้มาก เจิ้งลี่ซาแทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะได้รับการต้อนรับอย่างดีถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะซ่งจื่อหานที่น่ารักและเป็นมิตรกับเธอจนน่าแปลกใจ แต่ก็คงเพราะตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ของเธอกับฉู่เฮ่าชวนลงตัวแล้ว หญิงสาวก็คงหมดห่วงเรื่องเธอไปกระมังเจิ้งลี่ซาหัวเราะตามบทสนทนาสนุก ๆ ระหว่างกู้หยุนเฟิงกับฉู่ลี่เหยียน แต่ในขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตท่าทีของกู้เทียนอี้อยู่ไม่วางตา ทุกอิริยาบถของเขาคือข้อมูลชั้นดีที่จะต้องเอาไปรายงานให้หลินซีฟังหลังจากมื้อค่ำจบลง ทุกคนก็ย้ายมาตั้งวงกันที่โต๊ะไพ่นกกระจอกกลางห้องนั่งเล่น เสียงล้างไพ่ดังกรอกแกรกสร้างบรรยากาศครื้นเครงขึ้นมาทันที“คุณลี่ซามาเล่นด้วยกันสิคะ ขาดอยู่คนหนึ่งพอดีเลย” ฉู่ลี่เหยียนหันมาถามเธอ หลังจากเถียงเรื่องกฎการนับแต้มกับฉู่เฮ่าชวนจบไปหมาด ๆ“ฉันเหรอคะ” คนถูกชวนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว ความรู้สึกเหมือนถูกสปอตไลท์ส่องทำให้เธอไปไม่เป็นชั่วขณะหญิงสาวเผลอหันไปสบตาฉู่เฮ่าหรานโดยไม่รู้ตัว เขาส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ราวกับจะบอกเป็นนัย
เจิ้งลี่ซาหาจังหวะบอกลาฉู่ลี่เหยียนกับซ่งจื่อหานแบบสั้น ๆ โดยอ้างว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายและอยากกลับไปพักผ่อน โดยมีฉู่เฮ่าหรานอาสามาส่งเธอเอง เธอก้าวออกจากบ้านตระกูลฉู่ที่ยังคงอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ มาสู่ความเงียบสงบและอากาศเย็นสบายของค่ำคืนภายนอก เขากุมมือเธอไว้ตั้งแต่อยู่ในบ้าน และยังไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งเดินมาถึงรถของเขาบรรยากาศในรถเงียบสงัด มีเพียงเสียงเพลงเบา ๆ จากเครื่องเสียง แต่ไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด กลับเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดและความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน แสงไฟจากท้องถนนสาดส่องเข้ามาเป็นระยะ ขับเน้นใบหน้าหล่อเหลาของเขาให้ดูเด่นชัดในความมืด หัวใจของเธอยังคงเต้นระรัวกับคำสารภาพที่จริงจังของเขา...‘ผมชอบคุณนะ เจิ้งลี่ซา ผมชอบคุณมาก’... มันยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอราวกับแผ่นเสียงตกร่องเมื่อรถเลี้ยวเข้าที่จอดรถใต้ดินของอพาร์ตเมนต์ที่เธอพักอยู่ เขาก็ดับเครื่องยนต์ แต่ยังไม่มีใครขยับ ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ ปล่อยให้ความรู้สึกระหว่างกันก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายเอื้อมม
“ไม่นะ!” หลินซีปฏิเสธทันควัน แต่แก้มกลับแดงก่ำ“แปลว่าเรื่องของแกกับกู้เทียนอีนี่ไม่มีลุ้นเลยว่างั้น”“ลี่ซา! หยุดเลยนะ! ไม่ต้องพูดถึงอีตาหยิ่งยโสน่าหมั่นไส้คนนั้นเลย”“แต่แกก็อยากจะขย้ำเขาล่ะสิ”“ไม่! ไม่ได้อยากซะหน่อย” เพื่อนปฏิเสธ แต่ก็หลุดหัวเราะออกมา“แต่ว่าคืนนี้ถ้าแกเจอเขา ก็ถ่ายรูปส่งมาให้ดูด้วยนะ”“แหม...แกนี่มัน...” เจิ้งลี่ซาหัวเราะ “ฉันยังแปลกใจไม่หายเลยที่ฉู่เฮ่าชวนกับซ่งจื่อหานยังชวนฉันไปคืนนี้ด้วยซ้ำ นี่มันการพบปะกันในครอบครัวเขานะ แล้วทุกคนก็รู้ว่าฉันกับฉู่เฮ่าชวนแค่เล่นละครกัน ฉันว่ามันแปลกชะมัดเลย”“แล้วพวกเขาก็ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าแกเคยเดตกับฉู่เฮ่าหราน”“ก็เราไม่ได้เดตกันจริง ๆ นี่ แต่ก็นะ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเราเคยนอนด้วยกัน” เธอครางออกมา “โอ๊ยยยย...หลินซี ช่วยย้ำให้ฟังอีกทีสิว่าฉันจะไปที่นั่นทำไม”“ก็ไปเจอฉู่เฮ่าหรานไงล่ะยัยบ้า” เพื่อนหัวเราะ “แล้วก็...ไปสืบเรื่องกู้เทียนอี้มาให้ฉันด้วย”“อ๋อ...งี้ก็ยอมรับแล้วสิว่าชอบเขาน่ะ” เธอพูดอย่างรู้ทัน“ฉันไม่ได้บอกว่าชอบซะหน่อย แค่อยากรู้ข้อมูลนิด
“ใจหายจังเลยนะหลินซี” เจิ้งลี่ซาพึมพำขณะสวมเสื้อผ้า“ฉันรู้ว่าที่จริงฉันไม่ควรมานั่งดราม่าแบบนี้เลยนะ ควรจะดีใจกับซ่งจื่อหานและฉู่เฮ่าชวนด้วยซ้ำ คือ...พวกเขาสองคนเหมาะสมกันดี ควรจะได้ลงเอยกันอย่างมีความสุข แต่ฉันก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี ที่ต่อไปนี้จะไม่มีฉันอยู่ในชีวิตของพวกเขาอีกแล้ว”“อืม...” หลินซีทำหน้าเห็นใจ “บางทีพวกเขาก็อาจจะยังอยากเป็นเพื่อนกับแกอยู่ก็ได้นะ”“ให้ซ่งจื่อหานมารู้ทีหลังว่าฉันเป็นแค่ตัวละครที่แฟนเขาจ้างมาแสดงละครตบตาเนี่ยนะ?” เธอทำหน้าแหย ๆ “ไม่มีทางหรอก”หลินซีเดินมานั่งลงบนเตียงของเพื่อน “เอาจริง ๆ นะ ฉันยังอึ้งอยู่เลยที่เรื่องมันจบลงด้วยดีได้ ฉันนึกว่าซ่งจื่อหานจะอาละวาดบ้านแตกแล้วสลัดฉู่เฮ่าชวนทิ้งไปซะอีก”“ซ่งจื่อหานกับฉันไม่เหมือนกันนี่” เจิ้งลี่ซาหัวเราะเบา ๆ ขณะติดตะขอสร้อยคอ “คงมีแต่ฉันล่ะมั้ง ที่จะสติแตกกับเรื่องโกหกได้ขนาดนั้น”“ใช่ แกมันเกินเบอร์ไปหน่อย” เพื่อนหัวเราะตาม ไม่คิดที่จะปลอบเพื่อนเลยแม้แต่น้อยจนได้รับค้อนจากเพื่อนกลับมา “อืม...แต่ก็ต้องดูด้วยว่าใครเป็นคนโกหก ถ้าเป็นผู้ชายที่มันไม่ได้เรื่องน่ะนะ!”