บทที่ 38
“ใช่ ปืนอันนี้ไม่มีกระสุน คราวนี้ก็ถึงตาฉัน” ลูคัสคว้าปืนจากมือของนาตาเซียมาถือไว้ท่ามกลางแรงยื้อของหญิงสาว ซึ่งไม่เป็นผลนัก เพราะตอนนี้ปืนมาอยู่ในมือลูคัสเรียบร้อยแล้ว กลัวว่าเธอจะคิดได้ว่าควรเอาสันปืนมาตีหัวเขา ถ้าโดนเข้าจังๆ ก็สลบไปเหมือนกัน แต่ถือว่าเขายังโชคดีที่เก็บปืนมีกระสุนใส่ในตู้เซฟไปแล้ว อันนี้แค่ของหลอกเด็ก
“ไม่นะ” หญิงสาวเบือนใบหน้าหนี เมื่อชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาหา มือทั้งสองข้างของนาตาเซียตอนนี้ถูกชายหนุ่มจับไขว้ไว้เหนือศีรษะไม่ยอมปล่อยเป็นอิสระแน่นอน เสื้อเชิ้ตตัวโตของลูคัสที่นาตาเซียสวมอยู่ถูกร่นขึ้นสูง ครั้งนี้ไม่มีคำว่าอ่อนโยนให้เห็นแม้แต่น้อย เพราะชายหนุ่มอยากลงโทษหญิงสาวให้หลาบจำ นาตาเซียตัวสั่น หญิงสาวตกใจกับสัมผัสที่น่ารังเกียจนี้ แต่ร่างกายกลับตอบสนอง ลูคัสบดจูบเธออย่างไม่ปรานี ริมฝีปากอิ่มเริ่มบวมเพราะจูบที่ไม่ต้องการ ซึ่งดูเหมือนลูคัสเองก็จะไม่ยอมหยุดเพียงแค่นี้ ชายหนุ่มยอมถอนจูบออกจากริมฝีปากอันหอมหวาน ก่อนจะซุกไซ้ต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงเนินอกที่นาตาเซียพยายามห่อตัวหลบเต็มที่เหมือนกัน“อเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นภายในบ้านหลังใหญ่แสนโอ่อ่า หรูหราและสวยงามสมฐานะผู้ที่ครอบครองอย่างครอบครัวแมทธิวและดารียะห์ สองสามีภรรยาที่ต่างเชื้อชาติ แต่ก็รักและเลือกใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน แมทธิวนั้นเป็นเศรษฐีทองคำชาวฝรั่งเศส ได้รู้จักและแต่งงานกับดารียะห์ ทายาทบ่อน้ำมันรายใหญ่ของบรูไน การแต่งงานของทั้งคู่เหมือนเรือล่มในหนองก็ไม่ปาน เพราะยิ่งส่งให้ทั้งสองครอบครัวมั่งคั่งและร่ำรวยมากขึ้น ดารียะห์หันซ้ายหันขวามองหาคนรับใช้ ก่อนจะส่ายหน้าให้ เพราะไม่เห็นมีใครเดินมารับโทรศัพท์ที่ส่งเสียงอยู่ภายในบ้านสักคน ร่างอวบๆ แต่ยังคงดูสาวและสวยของเจ้าของบ้านเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายเสียเอง “ฮัลโหล” เสียงเอ่ยทักเป็นภาษาท้องถิ่นชาวบรูไนแบบสั้นๆ แต่กังวานฟังเหมือนคนมีอำนาจ แตกต่างกับหญิงรับใช้ในบ้าน เพียงแค่นี้อัสมาห์ก็ยิ้มออก ไม่คิดว่าดารียะห์จะรับสายด้วยตัวเอง “คุณพี่ดารียะห์ ดิฉันอัสมาห์นะคะ” บุคคลที่โทรเข้ามาเอ่ยแนะนำตัว “อ้าว...อัสมาห์ ไม่ได้คุยกันซะนาน สบายดีหรือเปล่า?” ดารียะห์ค่อยๆ หย่อนตัวลงไปนั่งบนโซฟาสุดหรูของเธอ ก่อนจะยกขาขาวขึ้นไขว่ห้าง เธอนั้นถึงจะมีเชื้อสายบรูไนหรือมุสลิม แต่การเลี้ยงด
“นั่งยิ้มอะไรคุณ?” แมทธิวที่เดินเข้ามาในบ้าน หลังจากออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจเอ่ยถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ถึงจะมาอยู่ที่บรูไนเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่หนุ่มใหญ่ก็เลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษเสียเป็นส่วนใหญ่ จะพูดภาษาท้องถิ่นของที่นี่ก็ตอนที่ติดต่อธุรกิจแต่ก็น้อยครั้ง “ก็เรื่องแต่งงานของนาตาเซียค่ะ” ดารียะห์หันมาตอบสามีเป็นภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน ในแววตาของเธอยังคงมีความรักให้สามีเสมอ เพราะตลอดเวลาที่แต่งงานมา แมทธิวซื่อสัตย์กับเธอมาโดยตลอด ใจจริงก็อยากให้นาตาเซียแต่งงานกับชาวยุโรปเหมือนเธอ แต่ก็กลัวว่าลูกสาวจะไปอยู่บ้านสามีจึงไม่สนับสนุน “แต่งงาน ตกลงนี่จะคลุมถุงชนลูกจริงๆ นะเหรอ?” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แมทธิวออกอาการเครียดเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยชอบใจ อยากให้นาตาเซียตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่า “ค่ะ แต่ก่อนจะคลุมถุงชน ฉันยังให้โอกาสลูกได้พบกับว่าที่เจ้าบ่าวนะ ถือว่าดีแล้ว เพราะบ้านอื่นเขาจัดงานแต่งงานแล้วให้เจอหน้ากันตอนเข้าหอเสียด้วยซ้ำ” “ไม่ลองคิดดูใหม่เหรอคุณดารียะห์” “ฉันคิดดีแล้วค่ะ ถ้านาตาเซียมีแฟนจริงอย่างที่คุณกังวล ป่านนี้เราก็ต้องรู้เรื่อง ให้ลูกแต่งงานกับผู้ชายดีๆ ที่เราเลือก
ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ นั้น นาตาเซียสาวสวยดวงตาคมเข้มฉบับสาวแขกลูกครึ่งบรูไน-ฝรั่งเศส วัยยี่สิบสี่ปี เดินยิ้มอย่างสบายใจ หลังจากเสร็จธุระเรื่องเรียนต่อของตัวเองที่อิตาลีแล้วแม้จะมาแค่ไม่กี่วันก็ตามที เพราะทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง นาตาเซียนั้นสนใจเรื่องออกแบบเครื่องประดับเป็นพิเศษ หญิงสาวชื่นชอบทองคำเป็นที่สุด ใฝ่ฝันว่าอยากเข้าไปเป็นคนออกแบบให้ที่บริษัทของพ่อ แต่ยังขาดประสบการณ์อยู่มาก ชั่วโมงบินน้อยเมื่อเทียบกับนักออกแบบคนอื่นๆ จึงเลือกที่จะมาฝึกงานกับร้านจิวเวลรี่ชื่อดังและเรียนต่อด้านนี้เพิ่ม ทุกอย่างก็ดูจะลงตัวเรียบร้อย รอเพียงวันเข้าเรียนเท่านั้น ขณะที่กำลังเดินเที่ยวดูรอบๆ เมืองซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่มาเยือน จึงพอคุ้นชินกับเส้นทาง เสียงโทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้น นาตาเซียควานหาในกระเป๋าหนังสีดำใบใหญ่สักพักก่อนจะหยิบออกมากดรับสาย “ค่ะแม่” นาตาเซียเอ่ยทักเป็นภาษาไทยสำเนียงหวาน เพราะรู้ว่าแม่เข้าใจความหมายนั้นดี “สรุปลูกแม่ได้ที่เรียนแล้วหรือยังจ๊ะ” ในเมื่อลูกสาวเอ่ยเป็นภาษาไทย ดารียะห์ก็ตอบกลับเป็นภาษาไทยบ้าง เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ละออ แม่นมข
ภายในบ้านหลังใหญ่ระดับมหาเศรษฐีของหมู่บ้านชื่อดัง ที่รู้ๆ กันว่าบ้านแต่ละหลังในย่านนี้ราคาครึ่งร้อยล้านขึ้นทุกหลัง คนมีอันจะกินหาซื้อบ้านไว้อยู่บ้างตามอารมณ์ เพราะไม่อยากให้เงินนอนจมในธนาคารกินดอกอย่างเดียว จึงเอามาสร้างบ้านและซื้อความสุขแบบฟุ่มเฟือยตามประสาคนรวยล้นฟ้า ลูคัส นิรัตน์ศยางค์กูล บาร์ตัน ชายหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน มาดเข้ม ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย อายุยี่สิบแปดปี ใบหน้าที่ดูหล่อเหลา แต่ยามร้ายก็เหมือนซาตานจำแลงลงมา คุณชายของบ้านนิรัตน์ศยางค์กูลกำลังก้าวลงจากเครื่องบินเล็กส่วนตัว ซึ่งเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของชายหนุ่มที่จอดอยู่ในลานจอดกว้างของสนามหญ้าสีเขียวหลังบ้าน ที่มีพื้นที่รวมบ้านและสนามก็ขนาดเกือบยี่สิบไร่เห็นจะได้ เมื่อก้าวลงจากเครื่องบินเล็ก ชายหนุ่มก็ก้าวขึ้นรถกอล์ฟแล้วขับมุ่งตรงไปยังประตูบ้านทันที “นายน้อยขับเครื่องบินเป็นยังไงบ้างครับ” คนที่รอรับเมื่อเห็นรถกอล์ฟแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านก็รีบวิ่งมาหาพร้อมเอ่ยถามนายน้อยของบ้านทันที “ก็ดี” ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเรียบ มองคนขับรถที่อายุมากกว่าเขาห้าปี แต่ทำตัวนอบน้อมเพราะมีคำว่าเจ้านายและลูกน้องเป็นเส้นแบ่งอยู่ “ลูคัส หล
“พ่อ...ผมเข้าไปนะ” ลูคัสเคาะห้องทำงานของพ่อ ก่อนจะเอ่ยขออนุญาตขึ้น เขาเลี่ยงมาดามมิเชลกับวิคตอเรียขึ้นมาข้างบนก่อน เมื่อได้ยินเสียงนี้อดัมก็รีบเก็บรูปภรรยาสุดที่รักในลิ้นชักโต๊ะทำงานทันที แม้จะไม่ได้เจอหน้าเกือบยี่สิบแปดปีแล้ว แต่ในหัวใจของเขาก็ยังมีเธอไม่เปลี่ยนแปลง “เข้ามาสิ” อดัมเอ่ยบอก ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ มองไปยังลูกชายคนเดียวของเขา ที่ยังมีเค้าความเป็นแม่อยู่ในแววตาบ้าง “มาดามมิเชลมา พ่อรู้หรือยังครับ” ชายหนุ่มเดินมานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพ่อแล้วเอ่ยถาม ลูคัสนั้นมักจะเรียกย่าตัวเองว่ามาดามมิเชลแบบเต็มยศ และย่าสั้นๆ บ้างตามแต่สถานการณ์ “รู้...ก่อนหน้าลูกครึ่งชั่วโมงน่ะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยบอก เพราะรู้นิสัยของแม่ตัวเองและย่าของลูคัสดีว่าเป็นยังไง เขาอยากรู้นักนิสัยแบบนี้จะใช้กับเขาตอนนั้นด้วยหรือเปล่า ภรรยาเขาถึงได้หายไปแบบไร้ร่องรอย ตามหาตัวแทบพลิกเมืองไทยก็ยังหาตัวไม่พบ “แม่ของพ่อนี่ไม่เบาเลย ถ้ายังสาวคงน่ากลัวใช่เล่น” ลูคัสยิ้มออกมา อดัมอยากหัวเราะ ชักจะอยากให้พ่อลูกชายตัวดีส่องกระจกเสียจริง เพราะนิสัยบางอย่างของลูคัสเองก็ช่างเหมือนมาดามมิเชลไม่มีผิด กัดไม่ปล่อย โหดหน้าต
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูหน้าห้อง ทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเดินมายังประตูแล้วเปิดมันออก ตอนนี้เขาสวมเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวเท่านั้น มันช่างหมิ่นเหม่ว่าปมที่ผูกเอาไว้หลวมๆ จะหลุดเสียเหลือเกิน“วิคตอเรีย” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้อง เธอสวมชุดนอนเนื้อบางเบามองทะลุไปถึงไหนต่อไหน สายตาชายหนุ่มจ้องมองแบบเปิดเผย เพราะเธอตั้งใจใส่มาให้เขาดูอยู่แล้ว จะไม่มองก็ดูจะเสียความตั้งใจ “ร้อนจังค่ะ แอร์ห้องฉันไม่เย็นเลย” วิคตอเรียสลัดภาพสาวน้อยเขินอายเมื่อตอนหัวค่ำออกไปเสียหมด หญิงสาวเดินนวยนาดเข้ามาในห้องชายหนุ่มเหมือนเป็นเจ้าของ ก่อนจะยกมือพัดไปมาต้องการให้อากาศผ่านตัว รั้งสายชุดนอนเส้นเล็กให้ลงต่ำ เน้นหน้าอกอวบอูมที่โนบราของเจ้าตัวให้ดูเด่นมากขึ้น สาววัยยี่สิบเอ็ดที่ดูจะไม่กลัวกับเรื่องอย่างว่ามองหน้าชายหนุ่มตรงๆ “ถ้าไม่รังเกียจ จะนอนห้องผมก็ได้” ลูคัสเอ่ยชวน ดูท่าทางประโยคร้อนจัง แอร์ไม่เย็นเลย จะเป็นประโยคฮิตของหญิงสาวทุกคนที่มาพักบ้านเขา แม้จะรู้ความหมายมันดี แต่ชายหนุ่มเพลย์บอยตัวฉกาจก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะปิดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัว “จริงเหรอคะ เจ้
“เวลา...ฉันอยากเที่ยวเมืองไทย เพราะไม่เคยมา คุณช่วยเป็นไกด์ให้ฉันหน่อยสิ” หญิงสาวไม่อยากได้ของพวกนั้น เพราะเธอมีปัญญามากพอที่จะหามันได้ ตอนนี้เธออยากได้เพื่อนเที่ยวเท่านั้นเอง แต่ถ้าเขาอยากให้เธอเป็นผู้หญิงบนเตียงในระหว่างเที่ยวก็โอเค “ผมไม่ว่าง” ลูคัสเอ่ยปฏิเสธ เพราะสำหรับเขา เวลามีค่ามากพอไม่ควรจะเอามาเสียเปล่ากับผู้หญิงคนนี้ “นะคะลูคัส แค่ไม่กี่วันเอง ฉันได้ยินว่ามาดามมิเชลอยากให้คุณกับฉันไปเที่ยวด้วยกัน โดยที่ท่านจะตามไปดูด้วย แต่ถ้าฉันขอไว้ คุณก็ไปกับฉันสองคนเท่านั้น ไม่ต้องอึดอัด เพราะฉันไม่เซ้าซี้คุณแน่นอน” คำพูดของวิคตอเรียทำให้ชายหนุ่มนิ่งคิด ถ้ามาดามมิเชลไปด้วยต้องมากความแน่นอน “อยากไปที่ไหน?”“ภูเก็ต” ได้ยินคำถามเรื่องสถานที่ที่ออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูปน่าจูบตรงหน้าของลูคัส วิคตอเรียก็ยิ้มออกมาก่อนจะบอกว่าเธออยากไปที่ไหน หญิงสาวอยากให้รางวัลชายหนุ่มที่ใจดีจึงขยับตัวหวังจะจูบ แต่สุดท้ายลูคัสก็ปฏิเสธและบอกให้เธอกลับห้องไปซะ วิคตอเรียไม่ดื้อดึง เพราะมั่นใจว่าช่วงที่ไปท่องเที่ยวด้วยกัน เธอจะทำให้ชายหนุ่มกลืนน้ำลายที่พูดคำว่า วัน ไนท์ สแตนด์ ออกมาให้ได้ เช้าวันรุ่งขึ้นลูคัส
ในที่สุดวันที่ละออต้องกลับเมืองไทยแบบไม่เต็มใจก็มาถึง ดารียะห์มาส่งแม่นมของลูกสาวที่สนามบินด้วยตัวเอง เพื่อพบหน้าลูกสาวอันเป็นที่รัก เมื่อลงจากเครื่องนาตาเซียก็ปรี่เข้าไปโอบกอดแม่ หอมแก้มซ้ายทีขวาทีอย่างคิดถึง ก่อนจะหันมากอดแม่นมของตัวเองบ้าง ละออหน้าซีดแต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ “นาตาเซียกับละออต้องเดินทางไปเมืองไทยพร้อมกับคุณน้าศุภกรและน้าอัสมาห์ก่อน” ดารียะห์แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน อัสมาห์นั้นชื่นชอบความน่ารักของนาตาเซียมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งรู้ว่านาตาเซียจะมาเป็นสะใภ้ เธอก็ยิ่งพอใจมากขึ้นเท่านั้น “อ้าว...แล้วแม่กับพ่อไม่ไปพร้อมกันเหรอคะ” คนฟังถึงกับงง อุตส่าห์รีบบินกลับมาเพราะคิดว่าจะได้ไปพร้อมครอบครัว แต่กลับต้องไปพร้อมครอบครัวของเพื่อนแม่ แม้จะเคยทานข้าวกับอัสมาห์มาแล้วบ้าง แต่ให้ไปพร้อมกันแบบนี้ก็ขัดๆ เหมือนกันเพราะไม่ชิน “เผอิญพ่อกับแม่ต้องไปรับแขกคนสำคัญของประเทศ จึงบินไปเมืองไทยพร้อมลูกวันนี้ไม่ได้” ผู้เป็นแม่เอ่ยตอบ เพราะเธอติดธุระจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะบินไปพร้อมกันแล้ว “งั้นนาตาเซียรอไปพร้อมพ่อกับแม่ก็ได้ค่ะ” “แต่นาตาเซียต้องบินไปพร้อมคุณน้าวันนี้” ดารียะห์เอ่ยคำขา
บทที่ 38“ใช่ ปืนอันนี้ไม่มีกระสุน คราวนี้ก็ถึงตาฉัน” ลูคัสคว้าปืนจากมือของนาตาเซียมาถือไว้ท่ามกลางแรงยื้อของหญิงสาว ซึ่งไม่เป็นผลนัก เพราะตอนนี้ปืนมาอยู่ในมือลูคัสเรียบร้อยแล้ว กลัวว่าเธอจะคิดได้ว่าควรเอาสันปืนมาตีหัวเขา ถ้าโดนเข้าจังๆ ก็สลบไปเหมือนกัน แต่ถือว่าเขายังโชคดีที่เก็บปืนมีกระสุนใส่ในตู้เซฟไปแล้ว อันนี้แค่ของหลอกเด็ก“ไม่นะ” หญิงสาวเบือนใบหน้าหนี เมื่อชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาหา มือทั้งสองข้างของนาตาเซียตอนนี้ถูกชายหนุ่มจับไขว้ไว้เหนือศีรษะไม่ยอมปล่อยเป็นอิสระแน่นอน เสื้อเชิ้ตตัวโตของลูคัสที่นาตาเซียสวมอยู่ถูกร่นขึ้นสูง ครั้งนี้ไม่มีคำว่าอ่อนโยนให้เห็นแม้แต่น้อย เพราะชายหนุ่มอยากลงโทษหญิงสาวให้หลาบจำนาตาเซียตัวสั่น หญิงสาวตกใจกับสัมผัสที่น่ารังเกียจนี้ แต่ร่างกายกลับตอบสนอง ลูคัสบดจูบเธออย่างไม่ปรานี ริมฝีปากอิ่มเริ่มบวมเพราะจูบที่ไม่ต้องการ ซึ่งดูเหมือนลูคัสเองก็จะไม่ยอมหยุดเพียงแค่นี้ ชายหนุ่มยอมถอนจูบออกจากริมฝีปากอันหอมหวาน ก่อนจะซุกไซ้ต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงเนินอกที่นาตาเซียพยายามห่อตัวหลบเต็มที่เหมือนกัน“อ
บทที่ 37“เรื่องอะไรฉันต้องทำแบบนั้นไม่ทราบ อีกอย่างฉันไม่ได้คิดพิศวาสนายสักนิด เข้าข้างตัวเองหน้าด้านๆ” นาตาเซียควันออกหู“ก็เห็นผู้หญิงชอบใช้มุกนี้บ่อยๆ”“คนอื่นอาจใช่ แต่ฉันไม่มีทาง” หญิงสาวนั่งกำหมอนอิงในมือแน่น ลูคัสยักไหล่ให้ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนชายหนุ่มยังไม่วายเดินเข้ามาหาหญิงสาวที่นั่งตัวลีบอยู่“ฉันว่าบนโซฟานี่มันน่าจะนอนไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ว่าไหม?”“ฉันนอนได้” นาตาเซียรีบบอกทันที เพราะน้ำเสียงและแววตาของลูคัสดูแล้วรู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่“สองปีครึ่ง” ชายหนุ่มเอ่ยเงื่อนไขของเวลาอีกครั้ง คราวนี้มันเพิ่มขึ้นอีกเช่นเคย“อะไรของนาย ตอนมาถึงก็สองปี มาตอนนี้ยังเพิ่มเป็นสองปีครึ่งอีก มันจะเอาเปรียบกันมากไปแล้วนะ” นาตาเซียเด้งตัวขึ้นจากโซฟาทันที สงสัยคืนนี้เธอคงต้องลงไปนอนที่ชั้นล่าง เป็นไงเป็นกัน เจอผียังดีกว่ามาเจอผู้ชายคนนี้ก็เป็นได้“สัญญาว่าไง เธอจะทำตามที่ฉันสั่ง ทำตัวน่ารักๆ ไม่ใช่เหรอ หรือลืมไปแล
บทที่ 36“ร้อนใจไปก็เท่านั้น ถ้าเธอขืนไปเคาะห้องนายน้อยตอนนี้ เธอนั่นแหละจะเดือดร้อน”“แต่...”“ขอเตือนไว้อย่าง ถ้าเธออยากอยู่ที่นี่ต้องทำตามคำสั่งของนายน้อยแบบไม่มีข้อแม้ อย่าทำตัวให้มีปัญหาไป เพราะถ้าคนที่เขาพาเธอมาโกรธ ชีวิตเธอก็จะถูกลบทันที” คำขู่ของน้ำอ้อยทำให้นาตาเซียหน้าซีดเป็นไก่ต้ม แม้จะไม่เห็นกับตาว่าเขาโหดร้ายแค่ไหน แต่คำขู่และสีหน้าแววตาน่ากลัวแบบนั้นเธอเคยเจอมาแล้ว“น่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ?” แม้จะรู้ทั้งรู้นาตาเซียก็ยังถามให้ตัวเองใจแป้ว“ใช่ นายน้อยน่ากลัว สำหรับเรื่องที่ไม่ถูกต้อง”“เขา...เขาเคยฆ่าคนเหรอป้า” นาตาเซียดูจะกล้าๆ กลัวๆ ที่จะถามคำถามนี้ออกไป เพราะถ้ามาอยู่กับผู้ชายที่เคยฆ่าคนมาแล้ว ชีวิตเธอจะรอดหรือเปล่า“ใช่ ฆ่าโจรที่มักดักปล้นชาวบ้านแถวนี้”“ฮะ! ฆ่าคนจริงๆ ด้วย”“เลิกถาม แต่ตามป้ามาได้แล้ว” น้ำอ้อยเอ่ยสั่ง ก่อนจะเดินนำนาตาเซียขึ้นไปยังห้องพักที่อยู่ติดกับห้องของลูคัส เธอไ
บทที่ 35“นายน้อย...เอ่อ” น้ำอ้อยที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านให้ลูคัสตั้งแต่รุ่นพ่อของชายหนุ่มเหมือนจะมีอะไรถาม ก่อนจะมองไปยังนาตาเซีย เพราะเธอนั้นอยู่กับครอบครัวนี้มานานแล้ว จับพลัดจับผลูย้ายจากเมืองไทยมาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ซาอุฯ นี่ก็เพราะเป็นห่วงเจ้านายทั้งสองคน ยิ่งนายน้อยคนนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งห่วงมากกว่าอดัม ผู้เป็นพ่อของลูคัสเสียอีก “แม่บ้าน ช่วยดูแล สอนงานเธอหน่อยนะป้าอ้อย” การสนทนาของทั้งคู่ ทำให้นาตาเซียใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยที่นี่ก็มีคนไทยให้เธอพอได้พึ่งพายามต้องมาทำงานชดใช้ให้ผู้ชายคนนี้“มะ...แม่บ้าน แต่นายน้อยก็มีป้าแล้วนี่จ๊ะ” คนฟังงง ก่อนจะมองมายังหญิงสาว หน้าตาสวยคม ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นแค่แม่บ้าน “ฉันหามาเพิ่มไง ป้าจะได้ไม่เหงา เห็นบ่นว่าไม่มีเพื่อนคุย” น้ำเสียงของลูคัสยามพูดกับน้ำอ้อยดูอ่อนโยนมาก ดูจะมีคนไทยเพียงคนเดียวที่ชายหนุ่มยอมพูดดีๆ ด้วย นั่นคือแม่บ้านคนนี้ แม้แรกๆ จะตั้งแง่กับแม่บ้านคนไทยของพ่อนักต่อนัก แต่น้ำอ้อยกลับอดทนกับความเกเรเอาแต่ใจของเขา นานเข้าจึงเป็นแม่บ้านผู้รู้ใจ และเขาก็ยอมให้คนเดียวเท่านั้น “เอ๋...” น้ำอ้อยงงเข้าไปใหญ่ จำไม่ได้ว่าเธอเคยพู
บทที่ 35“นายน้อย...เอ่อ” น้ำอ้อยที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านให้ลูคัสตั้งแต่รุ่นพ่อของชายหนุ่มเหมือนจะมีอะไรถาม ก่อนจะมองไปยังนาตาเซีย เพราะเธอนั้นอยู่กับครอบครัวนี้มานานแล้ว จับพลัดจับผลูย้ายจากเมืองไทยมาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ซาอุฯ นี่ก็เพราะเป็นห่วงเจ้านายทั้งสองคน ยิ่งนายน้อยคนนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งห่วงมากกว่าอดัม ผู้เป็นพ่อของลูคัสเสียอีก“แม่บ้าน ช่วยดูแล สอนงานเธอหน่อยนะป้าอ้อย” การสนทนาของทั้งคู่ ทำให้นาตาเซียใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยที่นี่ก็มีคนไทยให้เธอพอได้พึ่งพายามต้องมาทำงานชดใช้ให้ผู้ชายคนนี้“มะ...แม่บ้าน แต่นายน้อยก็มีป้าแล้วนี่จ๊ะ” คนฟังงง ก่อนจะมองมายังหญิงสาว หน้าตาสวยคม ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นแค่แม่บ้าน“ฉันหามาเพิ่มไง ป้าจะได้ไม่เหงา เห็นบ่นว่าไม่มีเพื่อนคุย” น้ำเสียงของลูคัสยามพูดกับน้ำอ้อยดูอ่อนโยนมาก ดูจะมีคนไทยเพียงคนเดียวที่ชายหนุ่มยอมพูดดีๆ ด้วย นั่นคือแม่บ้านคนนี้ แม้แรกๆ จะตั้งแง่กับแม่บ้านคนไทยของพ่อนักต่อนัก แต่น้ำอ้อยกลับอดทนกับความเกเรเอาแต่ใจของเขา นานเข้าจึงเป็นแม่บ้านผู้รู้
บทที่ 34“รู้ไหมตอนเข้าเมือง ฉันเสียเงินไปเท่าไหร่เพื่อช่วยเธอ ค่าเสียหายครั้งนี้มันมากพอตัว”“ยะ...อย่าบอกนะว่านายจะคิดบวกเรื่องนั้นด้วย แล้วให้ฉันทำงานชดใช้ให้” สมองของนาตาเซียคิดได้แค่ทางเดียวเท่านั้น ทำไมชีวิตเธอต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย“ใช่ เพราะฉันเป็นนักธุรกิจ ทำอะไรต้องได้ผลตอบแทนคืน”“ทุเรศ สารเลวที่สุด” มือบางกำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บ เพราะเล็บที่จิกเนื้อตรงฝ่ามือบาง แต่มันคงไม่เท่าเจ็บใจ ที่คิดว่าผู้ชายคนนี้หวังดีจะช่วยเธอ ที่แท้ก็สารเลว“บนโลกนี้มันโหดร้ายเสมอสาวน้อย” ลูคัสยักคิ้วให้เพราะเป็นต่ออยู่มาก ชายหนุ่มใช้วิธีนี้รั้งตัวนาตาเซียให้อยู่กับเขาต่อ“แล้วฉันต้องทำงานชดใช้คนอย่างนายไปถึงเมื่อไหร่”“อาทิตย์ สองอาทิตย์ เดือน สองเดือน ครึ่งปี หนึ่งปี” ชายหนุ่มไล่ระยะเวลา ที่มันดูจะมีแต่เพิ่มขึ้นทั้งนั้น“นานขนาดนั้นเชียวเหรอ ไม่มีทาง” นาตาเซียส่ายหน้าให้ ระยะเวลานานแบบนั้นใครจะยอมทำได้“นานหรือไ
บทที่ 33“แกล้งอ้วกไง แค่แกล้ง อยากเจอคุกหรือไง” ลูคัสเอ่ยย้ำอีกครั้งหน้าตาจริงจัง จนนาตาเซียหน้าเหลอหลา กลัวตำรวจจับได้จึงยอมทำตามที่เขาบอกทันที ก่อนจะแกล้งอาเจียนออกมาอย่างหนัก ยกมือขึ้นปิดปากไว้ บวกกับหน้าซีดๆ เพราะความกลัวของเธอ ฉากนี้จึงสมบทบาท“คุณผู้หญิงเป็นอะไรมากไหมครับ” นายตำรวจหนุ่มเห็นท่าทางของนาตาเซียก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา เพราะสีหน้าของเธอดูทรมานมาก“ที่รัก...ใจเย็นๆ เดี๋ยวผมจะพาไปโรงพยาบาลนะ” คนที่แกล้งเป็นสามีเอ่ยถามเสียงเป็นห่วงเป็นใยต่อภรรยาจอมปลอมของตัวเอง ความที่อยากเอาตัวรอดทำให้นาตาเซียยิ่งแกล้งอาเจียนให้หนักมากขึ้นไปอีก“ผมเรียกรถพยาบาลให้ไหม”“ไม่ต้องครับ พวกผมไปกันเองได้ ขอบคุณมากที่เป็นห่วง” ลูคัสปฏิเสธความหวังดีของนายตำรวจตรงหน้า ก่อนจะพยุงนาตาเซียแยกตัวออกไป ชายหนุ่มตรงไปยังรถคันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าสนามบิน เมื่อเข้าไปนั่งก็สั่งให้ลูกน้องขับรถออกไปทันที จากที่สนามบินไปถึงอาณาจักรของเขาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น“เฮ้อ...โล่งอกไป” นาตาเซียถอนหาย
บทที่ 32“ต้องใช้บัตรโทรศัพท์เหรอ ทำไงล่ะ ซื้อจากที่ไหน?” นาตาเซียอ่านขั้นตอนการใช้งานโทรศัพท์ที่แปะอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาจุดที่พอจะไปซื้อบัตรโทรศัพท์นั่นได้ แต่กลับมืดแปดด้าน ก่อนจะตัดสินใจเดินมาหาลูคัส ที่ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังคุยกับใครอยู่สองสามคน เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ลูคัสกลับไม่ได้สนใจเธอแม้แต่น้อย เพราะกำลังคุยเรื่องงานสำคัญกับลูกน้อง ชายหนุ่มถามถึงแรงงานคนไทยที่เดินทางมาถึงที่นี่ก่อนเขาเมื่อสองชั่วโมงก่อน ว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า เพราะจำนวนแรงงานที่เดินทางมาครั้งนี้เกือบสามสิบคนเห็นจะได้ จึงกลัวว่าจะมีปัญหาบางอย่างที่พ่อเขามองข้ามไป แต่ก็ไม่มีจึงโล่งอก ก่อนจะหันมามองนาตาเซียที่ยืนทำหน้าน่าสงสารอยู่“ทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง?”“ฉันอยากโทรศัพท์ แต่ไม่รู้จะไปซื้อบัตรที่ไหน นายช่วยหน่อยสิ” นาตาเซียยืนมองหน้าชายหนุ่มเป็นนานกว่าเขาจะยอมหันมามอง ไม่รู้หรอกว่าเขาพูดคุยเรื่องอะไร เพราะเป็นภาษาที่เธอฟังไม่ออก แต่คงสำคัญจึงไม่อยากขัด“เธอนี่น่ารำคาญจริง” แม้จะพูดว่าน่ารำคาญ แต่ลูคัสก็กำลัง
บทที่ 31นาตาเซียลดฉากบังแดดของหน้าต่างเครื่องบินในห้องนอนลง หญิงสาวปรับสายตาให้ชินกับแสงที่จ้า ก่อนจะหรี่ตามองวิวด้านล่าง ที่เริ่มเห็นความแห้งแล้ง หวังว่าไม่นานเธอจะได้ลงจากเครื่องบินลำนี้ แล้วกลับอิตาลีไปอยู่ที่นั่นจนเรียนจบ โทรบอกที่บ้านให้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะป่านนี้คงรู้เรื่องที่เธอสะเพร่าขึ้นเครื่องบินผิดลำแล้วแน่ๆ แต่อยู่ๆ ชายหนุ่มที่น่ากลัวเมื่อครู่ก็เปิดประตูเข้ามา ทำเอาคนที่กำลังคิดอะไรเหม่อๆ สะดุ้ง“กินข้าว” น้ำเสียงแข็งกระด้างของชายหนุ่มเอ่ยบอก ก่อนจะกลับไปนั่งรอหญิงสาวที่เก้าอี้ แม้จะไม่ต้องใส่ใจเธอด้วยซ้ำ แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ นาตาเซียลังเลนิดหน่อยว่าจะตามเขาออกไปดีไหม แต่ความหิวก็เป็นตัวแปรหลักให้เธอก้าวลงจากเตียง “นั่งสิ” ลูคัสเอ่ยบอก บนโต๊ะตรงหน้ามีสปาเกตตี กาแฟ และขนมปังวางอยู่ ในเครื่องเขาไม่ค่อยได้เตรียมของกินไว้สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่กินง่ายๆ หรือไม่ก็ซื้อแบบอาหารสำเร็จรูปอุ่นแล้วกินได้เลยมาสำรองไว้เสียมากกว่า “กี่โมงแล้ว” นาตาเซียกล้าๆ กลัวๆ ที่จะลงไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา แต่ก็ยอมทำในที่สุด หญิงสาวเอ่ยถามเรื่องเวลาก่อน เพราะเป็นสิ่งที่อยากรู้“หกโมง