LOGINตั้งแต่วันแรกของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย นี่ก็ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว น้ำหวานยังคงขยันขันแข็งแถมยังดูกระปรี้กระเปร่า ตื่นแต่เช้าไปมหาวิทยาลัยเลิกเรียนก็กลับมาอ่านหนังสือ
ต่างจากอีกคนที่เอาแต่เที่ยวกลางคืนพอเช้ามาก็ตื่นสาย บางวันก็ไปเรียนแทบไม่ทัน
วันนี้น้ำหวานมีเรียนบ่ายเพราะช่วงเช้าอาจารย์ยกคลาส แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ตั้งใจจะออกจากบ้านตั้งแต่เก้าโมงเพราะอยากไปติวหนังสือกับเพื่อน
ร่างบางกำลังจะเดินออกจากบ้านทว่าต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง
“น้ำหวาน”
“คะอาขวัญ”
“วันนี้รีบรึเปล่าลูก”
“ไม่รีบค่ะ อาขวัญมีอะไรจะใช้หวานเหรอคะ”
“ช่วยเอาแฟลชไดรฟ์อันนี้ไปให้พี่ทิวเขาที่คณะที เห็นบอกว่ามีพรีเซนต์งานตอนสิบโมงครึ่งแต่ลืมเอาแฟลชไดรฟ์ไป”
แม้จะลำบากใจแต่น้ำหวานก็ไม่กล้าปฏิเสธคำไหว้วาน เธอรับแฟลชไดรฟ์จากมือผู้เป็นอามาใส่กระเป๋าสะพายแล้วรีบออกจากบ้าน
เขามีพรีเซนต์งานตอนสิบโมงครึ่งแปลว่าเธอมีเวลาเดินทางแค่หนึ่งชั่วโมงนิด ๆ เท่านั้น
ภาวนาว่าอย่าให้รถติดละกัน
อีกด้าน
ร่างสูงกระสับกระส่ายหายใจติดขัด ขณะรอให้คนที่บ้านเอาแฟลชไดรฟ์ซึ่งมีงานชิ้นสำคัญอยู่ในนั้นมาให้ และตอนนี้มันก็ใกล้ถึงเวลาที่ต้องนำเสนอผลงานชิ้นนั้นแล้วด้วย ถ้ามาไม่ทันมีหวังเทอมหน้าเขาได้ลงเรียนวิชานี้อีกรอบแน่
คนร้อนใจกำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าประตูห้องเรียน เขามองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยใจที่เต้นตึกตัก กำลังจะโทรหาผู้เป็นแม่ทว่าอาจารย์ประจำวิชาก็ดันเข้ามาพอดี
เขากลับไปนั่งที่เก้าอี้จากนั้นก็เลือกส่งข้อความไปถามผู้เป็นแม่แทน
“ใครเป็นคนเอางานมาส่งให้มึงวะ”
เจ้าขุนเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วกังวลใจ
“นั่นดิป่านนี้ทำไมยังไม่มาอีก”
วายุว่าพลางชะเง้อคอออกไปด้านนอกเพื่อช่วยมองหาอีกแรง
ตอนนี้ทิวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเป็นคนเอาแฟลชไดรฟ์มาส่งให้ ผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้โทรมาบอกแถมป่านนี้ก็ยังไม่อ่านข้อความของเขาเลย
“ขออนุญาตค่ะ”
นักศึกษาในห้องพร้อมใจกันหันไปมองเจ้าของเสียงหวานที่เอ่ยขออนุญาตอาจารย์ผู้สอนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ใบหน้าน่ารักดึงดูดสายตาทุกคู่ราวกับต้องมนต์ จากนั้นภายในห้องเรียนก็เริ่มมีเสียงพูดแซวขึ้นมา
“มาหาใครครับน้อง”
ชายคนหนึ่งเอ่ยถามหญิงสาวเสียงดัง จากนั้นทุกคนก็พากันโห่แซวเธอ
“มาหาคุณทิวเขาค่ะ”
สิ้นคำพูดของน้ำหวานทิวเขาก็ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงปรี่ไปหาเธอ มือหนาฉุดดึงเรียวแขนเล็กให้เดินตามเขาออกไปนอกห้องเรียนก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ
“เธอมาทำไม”
“อาขวัญวานให้หวานเอาแฟลชไดรฟ์มาให้คุณค่ะ” พูดพร้อมกับยื่นสิ่งของให้เขา
“ขอบใจ” คว้าเอาแฟลชไดรฟ์จากมือของเธอแล้วเอ่ยอีกว่า “ทีหลังไม่ต้อง”
คำว่าขอบใจที่ฟังยังไงก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกซาบซึ้ง เธอไม่แปลกใจเพราะยังไงก็ไม่ได้คาดหวังคำชื่นชมจากเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่านอกจากเขาจะไม่สำนึกบุญคุณยังพูดราวกับว่าเธอเป็นฝ่ายผิดที่เสนอหน้าเอาแฟลชไดรฟ์มาให้เขาเอง
"เหอะ! รู้งี้ไม่เอามาให้ซะก็ดี”
หญิงสาวแค่นหัวเราะเสียงเหอะ! แล้วพูดประชดประชัน
พักหลังมานี้รู้สึกว่าน้ำหวานจะต่อปากต่อคำเก่ง ดวงตาคมจ้องเขม็งกำลังจะอ้าปากดุด่าทว่าไอ้เพื่อนซี้สามตัวดันออกมายืนหน้าสลอนล้อมรอบเสียก่อน
“สวัสดีครับน้องน้ำหวาน”
ออสตินเอ่ยขึ้นพลางยกมือโบกทักทาย โดยมีสองหนุ่มยืนยิ้มประกบซ้ายขวา ก่อนที่ทั้งสามคนจะรีบแนะนำตัวเองกับน้ำหวาน
“พี่ชื่อออสตินนะครับ”
“พี่ชื่อเจ้าขุนครับ”
“ส่วนพี่ชื่อวายุครับ”
“สวัสดีค่ะ”
น้ำหวานทักทายกลับพลางยกมือไหว้ หญิงสาวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ทั้งสามหนุ่มรู้จักชื่อของเธอ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะถึงอย่างไรก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก
“เช้านี้น้องน้ำหวานไม่มีเรียนเหรอครับ” วายุเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร
ริมฝีปากจิ้มลิ้มยิ้มหวานยังไม่ทันได้ปริปากเอ่ยตอบ คนบางคนก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“กลับไปได้แล้วไป”
หญิงสาวหุบยิ้มทันทีเมื่อหันมาเจอกับใบหน้าบึ้งตึงของทิวเขา
ร่างเล็กหันกลับหลังตั้งท่าจะเดินออกมาตามคำสั่ง ทว่าเขากลับเรียกเธอเอาไว้อีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมไม่พูดให้มันจบ ๆ เสียตั้งแต่แรก
“เดี๋ยว”
ร่างสูงขยับเท้าเข้าใกล้พลางโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหู
“ทีหลังอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่ว่าที่นี่หรือว่าที่บ้าน เข้าใจไหม”
หญิงสาวกำหมัดแน่นขณะฟัง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับรวบรวมกำลัง ไม่ใช่มีแค่เขาหรอกที่ไม่อยากเห็นหน้าเธอ เธอเองก็ไม่อยากเห็นหน้าเขาเหมือนกัน
“เข้าใจค่ะ ต่อไปหวานจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก”
“เข้าใจก็ดี ถ้างั้นก็กลับไปได้แล้ว”
ไม่ต้องรอให้เขาไล่อีกครั้งหญิงสาวก็รีบเดินหนีออกมา เพียงพ้นสายตาคู่คมน้ำในตามันก็ไหลรื้นจนปริ่มเบ้า ไม่เข้าใจว่าเขาจงเกลียดจงชังอะไรเธอนักหนาถึงได้ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจกันอยู่เรื่อย
ถ้าเป็นอย่างนี้เธอจะมีหน้าอาศัยอยู่ที่บ้านของเขาได้อย่างไร
คิดไปคิดมาไหน ๆ ตอนนี้ก็ว่างแล้ว เธอไปทำเรื่องขอย้ายเข้าอยู่หอพักนักศึกษาดีกว่า
เวลาต่อมา
หลังเลิกเรียนน้ำหวานต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องเฉกเช่นเคย แต่วันนี้คงต้องกลับดึกหน่อยเพราะมีกิจกรรมซ้อมเชียร์พ่วงด้วย รุ่นพี่บอกว่าปีนี้ทางคณะต้องรักษาแชมป์สแตนด์เชียร์ยอดเยี่ยมสามสมัยเอาไว้ให้ได้จึงต้องซ้อมหนักตั้งแต่เนิ่น ๆ
กว่ากิจกรรมจะเลิกก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม เมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อยร่างเล็กก็เดินออกไปรอรถที่ป้ายรถเมล์ ทว่าขณะเดินออกจากคณะ รถคันหนึ่งก็ขับมาจอดเทียบข้าง คนขับลดกระจกรถลงจากนั้นก็เอ่ยเรียกคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินดุ่ม ๆ
“น้ำหวาน”
“อ้าว! มิวสิค”
“ขึ้นรถสิเดี๋ยวเราไปส่งบ้าน”
“ไม่เป็นไร นายไปเถอะ”
มิวสิคจอดรถแล้วเดินลงมา มือหนาคว้าข้อมือเล็กแล้วจูงเธอขึ้นรถ
“มาเถอะน่าเดี๋ยวเราไปส่ง”
“เรากลับเองได้จริง ๆ”
“จะกลับยังไง ป่านนี้รถเมล์สายบ้านเธอหมดไปแล้วมั้ง ให้เราไปส่งเถอะน่า”
“แต่เรา...”
“เป็นเพื่อนกันห้ามเกรงใจนะ”
น้ำหวานยอมเดินตามชายหนุ่มไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย ปกติเธอใช้ชีวิตโดยไม่มีเพื่อนสนิทจึงมักเกรงใจคนอื่นเสมอ ไม่ค่อยอยากรบกวนใครหรือขอร้องให้ใครทำอะไรให้ แต่มิวสิคกลับทำให้เธอรู้สึกได้ถึงมิตรภาพอย่างแท้จริง
เป็นเพื่อนกันห้ามเกรงใจ ฟังแล้วรู้สึกใจฟูชะมัด
รถเก๋งคันสีขาวจอดนิ่งที่หน้าบ้านหลังใหญ่ในช่วงเวลาสามทุ่มครึ่ง คนมาส่งลงจากรถพร้อมกับหญิงสาว เขามองเข้าไปในบ้านกึ่งคฤหาสน์แล้วอุทานตาลุกวาว
“บ้านน้ำหวานหลังใหญ่จัง อย่าบอกนะว่าความจริงแล้วเธอคือคุณหนูที่แกล้งทำเป็นจนเหมือนในละครคุณธรรมอะ”
“บ้าเหรอ! ใครจะบ้าทำอะไรแบบนั้นล่ะ นี่ไม่ใช่บ้านเราหรอก เรามาอาศัยเขาอยู่ต่างหาก”
น้ำหวานหัวเราะกระซิกตลกคำพูดล้อเล่นของมิวสิค
มิวสิคหัวเราะขบขันพลางเหลือบเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ รถหรูมากมายจอดเรียงรายอยู่ด้านในแปลว่าเจ้าของบ้านคงจะรวยน่าดู
“ถ้างั้นเรากลับแล้วนะ พรุ่งนี้เจอกันนะน้ำหวาน”
“อืมขับรถดี ๆ นะ”
สองคนโบกมือให้กัน จากนั้นมิวสิคก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป
ภายในบ้านหลังใหญ่ ลูกชายเจ้าของบ้านยืนอยู่ตรงระเบียงกว้างราวกับแอบมองอะไรบางอย่าง ทุกการกระทำของคนที่อยู่หน้าบ้านอยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ
นัยต์ตาคมเข้มจ้องมองคนที่ยืนยิ้มระริกระรี้ให้ผู้ชายอย่างไม่สบอารมณ์
“แรด”
เขาสบถอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินกลับเข้าห้องนอน
อีกด้านหลังรถซูเปอร์คาร์คันงามจอดนิ่งที่ลานจอดรถของคอนโด ร่างสูงก็อุ้มแฟนสาวลงจากรถแล้วพาเข้าไปในลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์ปิดสนิทริมฝีปากจิ้มลิ้มก็ถูกประกบทันที ทำราวกับว่าอยู่ในห้องส่วนตัวทั้งที่ยังอยู่ในลิฟต์“อื้อ~”มือบางตีลงที่หัวไหล่ของเขาพร้อมกับครางท้วง ทิวเขาผละริมฝีปากออกมาแล้วยิ้มขำน้ำหวานทำตาเขียวปั้ดใส่คนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองประตูห้องยังไม่ทันปิดสนิทริมฝีปากหนาก็ประทับลงบนริมฝีปากบาง ลิ้นร้อนผ่าวสอดแยงเข้าไปในโพรงปากนุ่มแล้วดูดเม้มปลายลิ้นเล็ก ส่งเรียวลิ้นไปเซาะซอนจนทั่วทุกมุม จูบแลกลิ้นเกี่ยวกระหวัดจนชุ่มฉ่ำไปทั่วปาก จากนั้นเขาก็วางร่างเล็กให้ยืนบนพื้นมือหนาลูบไล้ไปตามเรือนร่างบางพลางถอดเสื้อผ้าที่หญิงสาวสวมใส่ น้ำหวานเองก็ไม่น้อยหน้าจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของชายหนุ่มออกเช่นกันนัยน์ตาคมจ้องมองเรือนร่างงดงามที่อยู่เบื้องหน้าด้วยอารมณ์ปรารถนา มือหนาเคลื่อนไล้ไปตามผิวกายขาวผ่องอย่างผะแผ่วขณะดันร่างเล็กไปจนชิดกับฝาผนังจากนั้นก็พรมจูบไปตามซอกคอระหง ขณะที่มือข้างหนึ่งเคล้นคลึงตรงสะโพกมน ส่วนมืออีกข้างทำหน้าที่ปลุกเร้าตรงสองเต้าเต่งตึงลมหายใจผ่าวร้อนเป่ารดลงบนลำคอขา
“จะพากันไปไหนเหรอลูก”เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยถามลูกชายซึ่งกำลังถือกระเป๋าสะพายเดินตามแฟนสาวลงมาจากชั้นสองของบ้านน้ำหวานนั่งลงบนโซฟาแล้วเป็นคนตอบคำถามแทนชายหนุ่ม“หวานก็ไม่รู้ค่ะ พี่ทิวเขาไม่ยอมบอกเลยค่ะว่าจะพาไปไหน”“อ้าว! จะพาน้องไปไหนทำไมไม่บอกน้องล่ะ”หันไปถามลูกชายตัวดีที่นั่งอยู่ด้านข้างหญิงสาวซึ่งตอนนี้กำลังทำท่าทางออเซาะเธอราวกับเป็นเด็กน้อยจนน่าหมั่นไส้ลูกชายสุดที่รักหันมาทางผู้เป็นแม่แล้วเอ่ยตอบ“บอกไม่ได้ครับมันเป็นความลับ”ผู้เป็นแม่ถอนหายใจเหนื่อยอกเหนื่อยใจก่อนจะตวัดมือไล่ไม่อยากสนใจ ปล่อยให้ทั้งคู่พากันไปเที่ยวตามประสาคนหนุ่มคนสาวหลังไหว้ลาทั้งคู่ก็เดินจูงมือกันไปที่รถ ทิวเขาเป็นคนคอยบริการเปิดประตูพร้อมทั้งคาดเข็มขัดนิรภัยให้น้ำหวาน จากนั้นเขาก็เดินอ้อมไปขึ้นทางฝั่งคนขับ ก่อนที่รถคันหรูจะเคลื่อนออกจากบ้านพาเธอไปยังสถานที่ที่เขานัดแนะเอาไว้กับเพื่อน ๆ@สนามแข่งรถวันนี้ที่สนามแข่งรถดูคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีการจัดงาน รถหลายคันวิ่งวอร์มอยู่ในสนามโดยมีผู้ชมมากมายยืนรายล้อมอยู่บริเวณรอบ ๆหลังจอดรถทิวเขาก็เดินไปเปิดประตูให้น้ำหวาน หญิงสาวมีความวิตกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ภาพความทร
“อ๊ะ~” ร่างเล็กสั่นสะท้านร้องเสียงครวญครางอย่างได้อารมณ์ สองมือที่บีบขยำเนินนมออกแรงหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆแม้จะรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ทว่าความเสียวกลับมีมากกว่า น้ำหวานดิ้นพล่านขณะถูกดูดดึงสองเต้าอย่างหนักหน่วง ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนไซ้ขึ้นไปตรงซอกคอ ใช้ฟันขบเบา ๆ ตรงลำคอระหงด้วยความมันเขี้ยว น้ำหวานเสียดเสียวจนแทบจะขาดใจ มือสองข้างเลื่อนไล้ไปตามเรือนร่างบางจนมาถึงตรงกลางกายสาว ปลายนิ้วบดคลึงตรงจุดกระสันเสียวผ่านกางเกงชั้นในตัวบางจนน้ำรสหวานไหลเยิ้มออกมาเลอะเป้าเปียกแฉะ ร่างสูงหยัดกายคุกเข่าตรงกลางระหว่างขาเนียน มือหนาจับเรียวขาสวยอ้าออกขึ้นเป็นรูปตัวเอ็ม ปลายนิ้วเขี่ยตรงจุดกระสันเสียวจนแน่ใจว่าเปียกเยิ้มเต็มที่เขาก็แหวกเป้ากางเกงชั้นในไปไว้ด้านข้าง ดวงตาคู่คมจดจ้องไปยังร่องกลีบสีชมพู ก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดเอาน้ำลายไปถูชโลมบนแท่งเนื้อลำเขื่องของตัวเอง มือหนาชัดรูดแกนกายลำใหญ่สองสามครั้ง จ่อส่วนปลายไว้ตรงปากร่อง จับปลายหยักถูไถตรงเม็ดติ่งเสียวเพื่อเพิ่มอารมณ์ซาบซ่านให้หญิงสาว “อ๊ะ~พี่ทิวเขา หวานไม่ไหวแล้ว ใส่เข้ามาเลยได้ไหมคะ
หลังพูดคุยและทานข้าวเที่ยงร่วมกันกับแม่ครูและน้อง ๆ ในบ้านเด็กกำพร้าน้ำหวานก็เอ่ยลาทุกคนเนื่องจากทิวเขาบอกเธอว่าจะพาไปยังที่ที่หนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหนรถคันหรูวิ่งไปตามเส้นทางที่น้ำหวานค่อนข้างคุ้นเคย เธอรู้สึกสงสัยอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามจนในที่สุดรถคันงามก็มาจอดนิ่งที่หน้าบ้านไม้ทรงล้านนา“พี่ทิวเขาพาหวานมาที่นี่ทำไมคะ”“เดี๋ยวก็รู้ครับ”ชายหนุ่มลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้หญิงสาว เธอทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า“ลงมาเถอะน่า”หญิงสาวลงจากรถตามคำชวน ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ อาณาบริเวณบ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอยู่อาศัยตั้งแต่เด็กจนโตแล้วหันมามองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัยทิวเขายิ้มให้หญิงสาว“เข้าไปข้างในกันเถอะ”“เดี๋ยวค่ะ เราเข้าไปข้างในไม่ได้นะคะ บ้านหลังนี้ถูกขายเป็นของคนอื่นไปแล้ว”มุมปากหนากระตุกยิ้มบางเบา เขายกกุญแจบ้านหลังใหญ่ขึ้นมาโชว์ให้หญิงสาวดู“หมายความว่าไงคะ”“บ้านหลังนี้เป็นของน้ำหวานแล้วนะ”น้ำหวานยืนนิ่งแววตาเต็มไปด้วยฉงนสงสัย ไม่นานความสงสัยทุกอย่างก็คลี่คลายด้วยคำอธิบายของคนตรงหน้า“พี่รู้ว่าน้ำหวานรักบ้านหลังนี้มาก พี่ก็เลยซื้อบ้านหลังนี้ไว้”
หลังจากน้ำหวานโอนเงินค่าผ่าตัดไปให้แม่ครู ดินก็ได้เข้ารับการผ่าตัดในทันที การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีเนื้อเยื่อของผู้บริจาคไตเข้ากันได้ดีกับดินเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นานดินก็ได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า“หยุดยาวสามวันหวานจะขึ้นไปเยี่ยมนะคะ”เสียงน้ำหวานกำลังพูดคุยโทรศัพท์กับแม่ครูอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านทิวเขาคอยเดินตามไม่ห่าง ความจริงเพราะอยากแอบฟังว่าเธอคุยกับใครมากกว่า[ดินต้องดีใจแน่ ๆ ที่รู้ว่าน้ำหวานจะมา]“แม่ครูอย่าเพิ่งบอกพี่ดินนะคะ หวานว่าจะไปเซอร์ไพรส์น่ะค่ะ”[จ้ะ แม่จะรูดซิปปากเอาไว้ให้แน่นเลยจ้ะ]“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ”[แม่ล้อเล่นจ้ะ เออ! น้ำหวานรู้เรื่องที่ทางญาติพ่อริวเขาประกาศขายบ้านแล้วใช่ไหม]คิ้วเรียวขมวดมุ่นหลังได้ยินแม่ครูพูด ความจริงก็พอรู้ว่าพวกญาติของพ่อริวอยากขายบ้านหลังนั้นจนเต็มแก่ น้ำหวานดูเศร้าลงทันทีจนคนที่ยืนอยู่ข้างกายสังเกตเห็น“หวานพอรู้ค่ะ” พูดเสียงสั่นน้ำเสียงของเธอทำให้คนปลายสายเป็นห่วง[โธ่! น้ำหวานไม่ต้องคิดมากนะลูก สิ่งของพวกนั้นมันเป็นของนอกกายไม่นานมันก็สูญสลาย ความทรงจำดี ๆ ต่างหากที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต]แม่คร
“น้ำหวานเดี๋ยวก่อน น้ำหวาน” ร่างสูงวิ่งกระหืดกระหอบตามร่างเล็กไปจนถึงหน้าลิฟต์ มือหนาเอื้อมจับข้อมือเล็กแล้วดึงรั้งเอาไว้ ใบหน้าสวยหันมามองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ เรื่องความเป็นความตายใครให้เอามาล้อเล่น “ฟังฉันอธิบายก่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเธอน่ะ” “ทุกทีคุณก็พูดแบบนี้ สรุปคือไม่เคยมีเรื่องไหนที่คุณตั้งใจสักเรื่อง” เธอสาวพยายามสะบัดแขนออกจากคนเจ้าเล่ห์ ตั้งท่าจะเดินไปกดลิฟต์ทว่ากลับถูกคนตัวสูงดึงรั้งเอาไว้อีกครั้ง วงแขนแกร่งสวมเข้าที่เอวคอดแล้วกอดรัดร่างเล็กแนบกับลำตัว “ขอโทษ ยกโทษให้ความโง่ของฉันเถอะนะ ฉันโง่เองที่คิดอะไรตื้น ๆ แต่ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ฉันก็ไม่รู้สักทีว่าเธอรักฉันรึเปล่า” “คุณมันชอบเล่นกับใจคนอื่น เห็นความรู้สึกของหวานเป็นเรื่องล้อเล่นรึไง” “ฉันไม่ได้เห็นความรู้สึกของเธอเป็นเรื่องล้อเล่นนะน้ำหวาน ฉันรักเธอมากวันทั้งวันฉันอาการหนักเอาแต่เพ้อถึงเธอ คุณแม่ก็เลยโทรให้เธอมาดูใจฉันไง” จับร่างเล็กให้หันมาสบตากันหลังจากอธิบายเรื่องทั้งหมด “คุณมันเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย” เธอทุบมือ







