Masukหลังจากรู้จักกันมาสักพัก หลิวชิงซวี่แทบจะไม่เคยเห็นเขายิ้มเลย คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเขายิ้มจะน่าหลงใหลขนาดนี้ นางจึงมองด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มอย่างอดไม่ได้เมื่อลมพัดผ่านกาย ทำให้นางดึงสติกลับมาได้ ก่อนจะรีบดึงมือของเขาที่วางอยู่บนเอวนางออก“อะไรกัน แค่นอนด้วยกันคืนเดียวก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ตอนนี้ยังคิดจะเอาชีวิตที่เหลืออีกหรือ?” ให้ตายเถอะ คาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าใช้แผนชายงามกับนาง!มุมปากที่ยกขึ้นของเยี่ยนซื่อหยวนแข็งทื่อเล็กน้อย ดวงตาที่เคยเปล่งประกายกลับมืดมนดังเดิมผู้หญิงคนนี้ ช่างพูดแทงใจดำจริง ๆ……ตอนที่กลับมาถึงเรือนหลังเล็กก็ดึกมากแล้วหลิวชิงซวี่ยืนมองเตียงเล็กจากหน้าประตูด้วยความลำบากใจเตียงหลังนั้นมีขนาดพอ ๆ กับเตียงที่อยู่ในหอพักโรงเรียน หากนอนคนเดียวยังพอไหว แต่ถ้านอนสองคนก็ไม่มีที่ให้ขยับตัวเลย “มานี่!” เยี่ยนซื่อหยวนนั่งลงบนเตียง แต่เมื่อเห็นว่านางยืนนิ่งที่หน้าประตู เขาก็ตะโกนขึ้นเสียงต่ำ“ท่านนอนเถอะ ข้าจะออกไปเฝ้ายามด้านนอก หากมีคนตามมา…” นางครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะแยกเวลานอนกับเขาดีกว่า นางนอนตอนกลางวัน เขานอนตอนกลางคืน ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็
หลิวชิงซวี่รีบพาเยี่ยนซื่อหยวนลงไปด้านล่าง บริเวณที่เงาดำเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้มีเพียงหลุมลึกหลุมหนึ่ง กลิ่นเหม็นเสียดจมูกยังลอยโชยขึ้นมาจากหลุมนั้น นางยกมือขึ้นปิดจมูกพร้อมเบิกตากว้างด้วยความตกใจขโมยศพ?“ไปกันเถอะ พวกเราต้องกลับแล้ว” เยี่ยนซื่อหยวนกระชับเอวของนางไว้แน่น “ไม่ตามไปดูหน่อยหรือ?” หากนางไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง หลิวชิงซวี่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่านางจะได้พบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ขุดสุสาน ต่อให้เป็นศตวรรษที่ 21 ก็ยากที่จะยอมรับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องการขโมยศพที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน จะนำศพไปใช้ประโยชน์อะไรได้?หากคนทั่วไปได้ยินแล้วคงจะรู้สึกสัมผัสถึงลางร้าย ความอัปมงคล ความน่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องหลบเลี่ยง แต่กลับมีคนมาขโมยศพ พวกเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?“พวกเราเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน ระวังตัวไว้ก่อนจะดีกว่า” เยี่ยนซื่อหยวนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ หลิวชิงซวี่ครุ่นคิด ก่อนสลัดความอยากรู้อยากเห็นในสมองออกไป การที่พวกเขาออกจากเมืองหลวง ไม่ใช่เพียงแค่หลบหนีจากศัตรู แต่นางยังต้องระวังไม่ให้คนของหลิวจิ่งอู่มาจับตัวนางกลับไปด้วย ท้ายที่สุดแล้วนางก็ตอบตกลงเรื่อง
อากาศในตอนกลางคืนของต้นฤดูร้อนไม่ร้อนจัด น้ำในแม่น้ำยังเย็นอยู่บ้าง แต่สำหรับหลิวชิงซวี่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ต่อให้อาบน้ำในฤดูหนาวก็จะรู้สึกหนาวเพียงผิวกาย ไม่ใช่ขั้วกระดูกหลิวชิงซวี่แช่น้ำเย็น ชำระความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ประดับประดาด้วยดวงดาวยามค่ำคืน หากไม่ใช่เพราะมีชายคนหนึ่งนิ่งอยู่ริมฝั่ง ด้วยบรรยากาศเงียบสงบยามค่ำคืน อีกทั้งยังเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้งแบบนี้ หลิวชิงซวี่คิดว่าตนเองน่าจะมีความสุขไม่น้อยหลังจากชำระร่างกายใต้น้ำจนหมดจดแล้ว ชายที่อยู่ริมฝั่งก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน นางจึงหันกลับไปมองด้วยความหงุดหงิด “นี่ท่านจะมาดูต้นทางให้ข้าหรือจะมาดูข้าอาบน้ำกันแน่?”เยี่ยนซื่อหยวนที่อยู่ริมฝั่งก็ยืนหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ เหมือนกำลังมองดูท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ คล้ายว่ากำลังชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามของแม่น้ำในยามราตรี เมื่อได้ยินเสียงไม่พอใจของนาง เขาก็พูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม “มีส่วนไหนบนร่างกายของเจ้าที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างนั้นหรือ?”หลิวชิงซวี่หมดคำจะพูด นางพูดออกไปเสียขนาดนั้นแล้ว แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ยังมีหน้ายืนดูนางอาบน้ำอยู่ล่ะ?แต่สิ่งที่ทำให้นางโกรธจน
ก่อนที่เขาจะขึ้นครองราชย์ เสด็จอาเล็กมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ตาย! หรือไม่ก็มอบสมบัติที่เสด็จปู่ทิ้งเอาไว้ให้!……ภายในหมู่บ้านที่ห่างไกลหลิวชิงซวี่วางตะเกียบลง นางมองไปยังท้องฟ้าด้านนอก ก่อนกวาดสายตามองรอบเรือนแห่งนี้ ในที่สุดนางก็เอ่ยปากถามชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างอดไม่ได้ว่า “ในเมื่อพวกเราเสียเงินเช่าเรือนในหมู่บ้านแล้ว ทำไมท่านถึงไม่ชอบบ้านที่มันกว้างกว่านี้ล่ะ?”นางไม่ได้รังเกียจที่สภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ แต่บ้านที่มีเพียงห้องนอนเดียวนั้นมันเล็กไปจริง ๆ ! เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นหญิงชรา หลังจากที่นายท่านซื่อมอบเงินให้นางแล้ว หญิงชราคนนั้นก็ย้ายไปอยู่บ้านของลูกชายลูกสะใภ้อย่างมีความสุขทันที ลูกสะใภ้ของหญิงชราคนนั้นมีชื่อว่าซานเหนียง ซึ่งอาหารทั้งหมดซานเหนียงเป็นคนทำมาให้พวกเขาทาน หมอนและที่นอนที่อยู่ในห้อง ซานเหนียงก็เป็นคนเปลี่ยนให้พวกเขาใหม่ทั้งหมดพวกเขามาอาศัยที่นี่เพราะพวกเขาถูกสะกดรอยตามตั้งแต่ออกจากเมือง และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ที่สะกดรอยตาม นางกับนายท่านซื่อจึงลงจากรถม้าอย่างลับ ๆ และมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ส่วนเจียงจิ่วกับอวี๋ฮุยก็ขับรถม้ามุ่งลงทางใต้ต่อไป เ
หลิวชิงซวี่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะช่วยเหลือนางมากมายขนาดนี้ นอกจากนี้นางก็รู้สึกซาบซึ้งมากยิ่งขึ้นด้วย “เจียงจิ่ว ขอบคุณมากนะ”เจียงจิ่วขยิบตาให้กับเจ้านายของตนเอง “คุณหนูหลิว นี่คือคำสั่งของนายท่านซื่อ หากท่านอยากจะขอบคุณก็ควรไปขอบคุณนายท่านซื่อดีกว่า”หลิวชิงซวี่มองไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนเม้มริมฝีปากขึ้นอย่างกระดากอาย “คิดไม่ถึงเลยว่านายท่านซื่อจะรอบคอบเช่นนี้…”เยี่ยนซื่อหยวนพูดตัดบทนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ากับเจ้าคำนับฟ้าดินด้วยกันแล้ว เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า”หลิวชิงซวี่รู้สึกอึดอัดมาก นิ้วหัวแม่เท้าของนางแทบจะหงิกงอหมดแล้วหากเป็นไปได้นางก็อยากจะพูดเปิดอกกับเขาว่า พวกเขาไม่เหมาะสมกันเลยไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังของนาง เพียงแค่นิสัยของพวกเขาก็แตกต่างกันมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่านิยม ทัศนคติ อุดมคติชาตินี้นางอาจจะแต่งงานกับใครสักคน แต่ต่อให้แต่งงาน นางก็ไม่น่าจะแต่งงานกับคนเช่นนี้สิ? ใบหน้าที่เย็นชาอยู่ตลอดนั้น เหมือนนางเป็นคนไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษของเขามาอย่างไรอย่างนั้น นางนึกภาพออกเลยว่าหากต้องใช้ชีวิตกับคนแบบนี้ นางจะต้องปวดหัวมากขนาดไหนสิ่งที่
ป้าฮุ่ยก็ไม่ได้เร่งเร้านาง เพียงแต่ช่วยเก็บจานที่อยู่บนโต๊ะอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายหลิวชิงซวี่ก็ลุกขึ้นจากนั้นนางก็เดินไปที่ประตูหลัง นางเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่จริง ๆ ก่อนจะมองชายสองคนที่สวมหมวกผ้าสักหลาด หนวดเครารกรุงรังกำลังนั่งอยู่ตำแหน่งคนขับอย่างพินิจพิเคราะห์ นางเกือบหลุดขำออกมาแล้ว “ทำไมพวกเจ้าต้องแต่งตัวเช่นนี้ด้วย?”เจียงจิ่วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูหลิวขึ้นรถม้ามาก่อนเถอะขอรับ พวกเราค่อยคุยกันระหว่างทาง”หลิวชิงซวี่ไม่คิดอะไรมาก นางสาวเท้าขึ้นรถม้า จากนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเข้าไปด้านในสายตาทั้งสี่สอดประสาน ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถม้ายังคงเย็นชาเช่นเดิม ดวงตาสีดำขลับลึกล้ำยากคาดเดา เหมือนว่าไม่มีอะไรสามารถดึงดูดสายตาเขาได้ แต่นางไม่ได้เมินเฉยเหมือนเมื่อก่อน หลังจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางกายแล้ว ต่อให้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับสับสนวุ่นวาย “เอ่อ…บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” นางลงที่ฝั่งตรงข้ามของเขา ก่อนแสร้งถามด้วยความเป็นห่วง แต่ในใจกลับกล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขาเอง หากเขามีมนุษยธรรมและสามารถควบคุมตัวเองได้ บาดแผลก็จะไม่เปิดเช่นนั้น “ไม่เป็นไ







