LOGINยามนี้หน้าจวนสกุลหลินมีรถม้าที่หรูหรามาจอดเทียบรอ โดยในรถม้ามีองค์รัชทายาทมารอรับหลินซูหนานที่หน้าจวนด้วยพระองค์เอง
“คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวทักทายอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ในรถม้าออกไปตามธรรมเนียม
“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าขึ้นรถม้ามาเถอะ” โจวหยางหลงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน
เมื่อทั้งสองขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้ว บรรยากาศภายในรถม้ากลับเต็มไปด้วยความเงียบ หลินซูหนานนั่งตัวตรงมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่เอ่ยอะไร ทางด้านโจวหยางหลงนั้นยิ้มแย้มเป็นปกติ แต่เมื่อเขาพยายามกล่าวกับนาง กลับได้รับเพียงคำตอบสั้น ๆ
“วันนี้อากาศดีนะ เจ้าว่าหรือไม่” โจวหยางหลงกล่าวขึ้นมาเพื่อชวนสนทนา
“ใช่เพคะ” นางตอบสั้น ๆ ด้วยเสียงเรียบนิ่ง สายตาของนางจับจ้องไปที่ทิวทัศน์นอกหน้าต่าง โดยไม่คิดจะหันมาสบตาหรือมองหน้าของบุรุษที่ชวนนางสนทนาเลยแม้แต่น้อย
“ข้ารู้สึกเหมือนว่าวันนี้เจ้าจะดูเหนื่อยไป เจ้าเจ็บไข้หรือไม่” ชายหนุ่มยังคงถามต่อด้วยความห่วงใย
“หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรเพคะ พระองค์ทรงกังวลเกินไปแล้ว” นางตอบพร้อมกับหันมาสบตาเขาครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งด้วยใจที่เหม่อลอย
โจวหยางหลงพยายามหาหัวข้อสนทนาเรื่องอื่น เพื่อทำให้นางผ่อนคลาย ทว่าหลินซูหนานกลับตอบคำถามเพียงคำสั้น ๆ เช่นเดิม มิหนำซ้ำนางยังไม่แสดงอาการสนใจ หรือมีความยินดีใด ๆ ต่อเขาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งต่างจากทุกครั้งที่พบหน้ากันที่นางจะเป็นฝ่ายชวนเขาสนทนาอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งเขายังรู้สึกรำคาญ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่อารามหลวงวันนี้มีพิธีสำคัญ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะชอบจึงได้พาเจ้ามาในวันนี้” ชายหนุ่มยังคงกล่าวขึ้นพร้อมยิ้มออกมา
แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันจะตั้งใจชมเพคะ”
โจวหยางหลงถอนหายใจเล็กน้อย แม้ยามนี้เขาจะยิ้มแย้มแต่ภายในใจกลับรู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก ด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาว ชายหนุ่มพยายามทำความเข้าใจกับความเย็นชาของหลินซูหนาน แต่กลับไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างในตัวนางเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่อยากสนทนากับเขา โจวหยางหลงจึงเงียบเสียงลงบ้าง เขามองออกไปทางหน้าต่างอีกด้าน พร้อมกับครุ่นคิดในใจ
รถม้าเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความเงียบงัน
หญิงสาวจมอยู่ในความคิดของตนเอง นางแทบอยากจะให้วันนี้ผ่านพ้นไปเร็ว ๆ เสียด้วยซ้ำ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องอยู่ต่อหน้าเขาผู้นี้เป็นเวลานาน เพราะเพียงแค่เห็นหน้าเขา นางก็รู้สึกรังเกียจอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
พอรถม้ามาจอดที่ลานวัด หลินซูหนานรีบร้อนลงจากรถม้าโดยไม่รอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มเหมือนเช่นทุกครั้ง
“เจ้า!!” โจวหยางหลงเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ทำให้เมื่อลงจากรถม้าเขาก็เดินไปทางที่มีการจัดพิธีทันที
ส่วนหญิงสาวค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าสู่โถงพระพุทธของอารามหลวงที่เงียบสงบ กลิ่นธูปหอมตลบอบอวลไปทั่ว ทำให้จิตใจของนางสงบลงไปมาก เมื่อมาถึงเบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ นางจึงค่อย ๆ ก้มลงกราบไหว้ด้วยความเคารพนับถือ
‘ข้าขอพรต่อพระพุทธที่อยู่เบื้องหน้า ขอให้ท่านจงดลบันดาลให้ข้าพ้นจากทุกข์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ขอให้ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ขอให้ชะตาชีวิตของข้าในครั้งนี้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้อีกต่อไป’ หลินซูหนานหลับตาลงพร้อมกับกล่าวขอพรต่อองค์พระอยู่ในใจ นางหวังว่าคำขอเหล่านี้จะเป็นจริง
เมื่ออธิษฐานขอพรเสร็จสิ้น หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นมองไปยังพระพักตร์ของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ด้วยความรู้สึกสงบเยือกเย็น ในยามนี้จิตใจของนางรู้สึกโล่งมากกว่าเดิม
หลังเสร็จจากการไหว้พระเรียบร้อยแล้ว หลินซูหนานจึงเดินไปยังบริเวณที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ที่มาทำบุญซึ่งวันนี้มีการจัดพิธีสำคัญ นางนำเงินที่เตรียมมาบริจาคให้กับทางอารามจำนวนหนึ่ง
เจ้าอาวาสรูปหนึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาหา ก่อนจะกล่าวขอบคุณนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ขอบคุณประสกยิ่งนักที่ได้มาทำบุญที่อารามแห่งนี้”
หลินซูหนานยกมือไหว้ตอบ ทว่าไม่มีคำสนทนาใด ๆ ออกจากปากของนาง
เจ้าอาวาสยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน แล้วจู่ ๆ ก็กล่าวขึ้นมาว่า “ประสกเอ๋ย เมื่อเราเผชิญกับปัญหาที่หนักอึ้ง เราก็ควรใช้สติไตร่ตรองให้ดี บางเรื่องเมื่อมีโอกาสได้แก้ไข ก็ควรจะคิดให้รอบคอบรัดกุม จงอย่าปล่อยให้โอกาสที่ได้มานั้นเสียไปอย่างสูญเปล่า”
แม้จะตกใจกับคำกล่าวของท่านเจ้าอาวาสที่เหมือนจะสื่อบางอย่างมาที่นาง แต่ทว่าใบหน้าของนางยังคงเรียบเฉย ก่อนจะตอบกลับด้วยคำขอบคุณ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ตอนพิเศษ 2.2ฉู่ตงฟางนั่งลงข้างๆ ฉู่สือ โดยพิจารณาความคิดนี้อย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวขึ้น “แล้วจะมีวิธีการไหนบ้างที่เจ้าจะใช้ในการคำนวณมูลค่าของสินค้าบนเรือ”“ข้าสามารถแบ่งประเภทสินค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ขอรับ เช่นสินค้าแบบหยกหรืออัญมณี จะมีมูลค่าสูง ในขณะที่สินค้าธรรมดาอย่างอาหารหรือเครื่องใช้ จะมีมูลค่าต่ำกว่า ซึ่งเราจะต้องมีการกำหนดอัตราเทียบเคียงกันด้วย” ฉู่สืออธิบายต่ออย่างเชี่ยวชาญ“ฟังดูดีมีเหตุผลมาก” ฉู่ตงฟางพยักหน้าเห็นด้วยฉู่ตงฟางพิจารณาความคิดของลูกชายก่อนจะถามอย่างจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ จะทำให้ลูกค้าพอใจหรือไม่”“ข้าเชื่อว่าหากพวกเราชี้แจงเหตุผลให้ชัดเจน พวกเขาจะเข้าใจและเห็นความสำคัญขอรับ เราต้องทำให้เจ้าของเรือรวมถึงลูกค้าอื่น ๆ รู้ว่าวิธีการนี้จะทำให้เขาได้กำไรมากขึ้น เพราะสินค้าบางอย่างที่มูลค่าไม่สูงมาก พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง” ฉู่สือกล่าวอย่างมั่นใจ“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นพ่อจะให้เจ้าไปอธิบายเรื่องนี้กับเจ้าของเรือและลูกค้าในวันพรุ่งนี้” ฉู่ตงฟางกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจ“ขอรับท่านพ่อ ขอบคุณที่เชื่อมั่นใจตัวลูก” ฉู่สือตอบรับด้วยความตื่นเต้น
ตอนพิเศษ 2.1สิบปีต่อมาฉู่ปิ่งเติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งและกล้าหาญที่สุดในเมืองท่าแห่งนี้ ปีนี้เขาอายุสิบสามแล้ว เป็นเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นและขยันขันแข็งในทุกสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะในด้านการเรียนและการฝึกวรยุทธ ฉู่ปิ่งเข้าเรียนที่สถานศึกษาของเมืองท่า โดยมีอดีตราชบัณฑิตเจียงจวนหยางเป็นผู้สอน เขาสอนทั้งวิชาการและการต่อสู้ ทำให้ฉู่ปิ่งเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ จนได้รับการยอมรับจากอาจารย์และสหายร่วมชั้นในแต่ละปีเวลามีงานเทศกาลประจำเมือง ฉู่ปิ่งมักจะเข้าร่วมการประลอง เขาได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนอย่างเต็มที่ ในปีนี้ก็เช่นกัน เขาผ่านรอบสุดท้ายโดยมีคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่และดุดันชื่อว่าเหอจิ้ง ซึ่งเป็นนักสู้รุ่นพี่ที่มีฝีมืออันดับต้น ๆ ในเมืองท่าท่ามกลางเสียงร้องของผู้คนในงานเทศกาล ฉู่ตงฟาง หลินซูหนาน และน้องสาวน้องชายของฉู่ปิ่ง นั่งอยู่ในที่นั่งที่ดีที่สุด พวกเขามองไปที่ฉู่ปิ่งด้วยความหวังและความภูมิใจในตัวเขา“ฉู่ปิ่ง ตั้งใจสู้ให้ดี” หลินซูหนานตะโกนให้กำลังใจบุตรชาย ขณะที่ฉู่ปิ่งยืนอยู่ในวงล้อมการประลอง“ใช่ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราคือใคร” ฉู่ตงฟางเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความตื่นเต้นฉู่ปิ่งม
ตอนพิเศษ 1.2ก่อนที่หมอจะออกจากห้อง ก็แนะนำเกี่ยวกับยาบำรุงครรภ์ที่จำเป็น และหยิบยาออกมาสองเทียบส่งให้ฉู่ตงฟาง พร้อมกับแนะนำว่า “ให้ฮูหยินใช้ยานี้บำรุงร่างกาย ต้องต้มกินวันละสามเวลา หากหมดก็ให้ไปรับยาได้ที่โรงหมอของข้าได้”“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฉู่ตงฟางกล่าวขอบคุณอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข เขารับยาจากหมออย่างระมัดระวังเมื่อหมอกลับออกไปแล้ว ฉู่ตงฟางนั่งอยู่ข้างหลินซูหนานด้วยความรักและเอาใจใส่ นางยังคงนอนอยู่บนเตียงในสภาพร่างกายที่อ่อนเพลีย ทว่าภายใต้สีหน้าที่ซีดขาวนั้น กลับมีความรู้สึกดีใจอยู่เต็มเปี่ยม“ซูหนาน ข้าตื่นเต้นและดีใจมากที่เราจะมีเจ้าก้อนแป้งกันแล้ว” เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาและอ่อนหวานหลินซูหนานยิ้มอย่างหวานละมุน “ข้าก็รู้สึกดีใจเหมือนกันครอบครัวของพวกเราจะสมบูรณ์แล้วนะเจ้าคะ” นางกล่าวอย่างมีความสุข“ต่อจากนี้ไป ข้าจะดูแลเจ้าตลอดเวลา เจ้าจะต้องพักผ่อนมากๆ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก ส่วนเรื่องขายของข้า จะสั่งให้คนมาช่วย” ฉู่ตงฟางก้มลงมองนางอย่างรักใคร่“เจ้าค่ะ” หลินซูหนานตอบอย่างไม่มีปัญหาเพราะนางก็อยากรักษาตนเองให้ดีที่สุดเพื่อเจ้าก่อนแป้ง“พักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่ก
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานได้ล่องเรือเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ จนพอใจแล้ว สุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจปักหลักที่เมืองท่าแห่งหนึ่ง เมืองนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงาม พร้อมด้วยท่าเรือที่คึกคัก ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงามของแม่น้ำสายใหญ่ จึงทำให้ทั้งสองรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการสร้างชีวิตใหม่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยการเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ร้านค้าของพวกเขาได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มีบรรยากาศอบอุ่นที่ดึงดูดลูกค้า ทั้งสองจัดทำสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่อาหาร ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมที่สวยงาม โดยเฉพาะสินค้าที่หลินซูหนานทำด้วยมือซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ร้านของทั้งสองมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว โดยตั้งร้านค้าชื่อซูหนานนอกจากการขายสินค้าแล้ว ฉู่ตงฟางยังให้บริการคุ้มภัยทางเรือแก่พ่อค้าและนักเดินทางที่ต้องการขนส่งสินค้าไปยังเมืองต่าง ๆ โดยตั้งชื่อสำนักคุ้มภัยซูหนานฉู่ตงฟางมีลูกน้องที่มีวรยุทธสูงส่งมากมายที่ลาออกจากการเป็นองครักษ์เพื่อมาติดตามเขา และเขาเองก็มีความสามารถในการจัดการที่ดีเยี่ยม ทำให้ลูกค้าต่างไว้ใจสำนักคุ้มภัยซูหนานของนายท่า
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.2การสนทนานี้จบลงด้วยความเข้าใจและความรักที่มีต่อกัน ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนและโบกมือให้กัน เป็นการกล่าวลาอย่างอบอุ่น ก่อนที่ฉู่ตงฟางจะเดินออกจากห้องทรงพระอักษร ไปสู่วิถีชีวิตใหม่ของเขา ขณะที่ฮ่องเต้ยืนอยู่ในห้องนั้น ด้วยรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องเผชิญในอนาคตหลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานออกเดินทางไปท่องเที่ยว ทั้งสองก็ล่องเรือไปตามแม่น้ำที่สวยงาม โดยที่แรกที่ทั้งสองคนมุ่งไปเป็นเทือกเขาหมินซาน ที่นี่เป็นสถานที่ที่หลินซูหนานตั้งใจอยากมาเยี่ยมชมมานาน ด้วยความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมด้วยภูเขาเขียวขจีและดอกไม้ที่บานสะพรั่งเมื่อทั้งคู่มาถึงเทือกเขาหมินซาน ทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ทำให้หลินซูหนานอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ฉู่ตงฟางมองดูนางด้วยความรัก เขาจับมือของนางขึ้นมาจับแล้วกล่าวอย่างหยอกล้อว่า“ดูสิ สถานที่นี้สวยงามไม่แพ้เจ้าเลย”“ท่านพี่ ข้าชอบที่นี่มากจริงๆ” หลินซูหนานกล่าวด้วยเสียงสดใส ยามนี้นางไม่เรียกเขาตำแหน่งอ๋องอีกแล้ว“ข้าดีใจที่เห็นเจ้ามีความสุข” ฉู่ตงฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มทั้งสองใช้เวลาหลายวันในการเดินชมธรรมชาติ โดยฉู่ตงฟางพานางไปเก็บดอกไม้ท
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.1 หนึ่งปีผ่านไปการเมืองในราชสำนักกลับมาสงบเงียบไร้ซึ่งเกลียวคลื่นใต้น้ำ ขุนนางทุกฝ่ายเริ่มเห็นพ้องต้องกัน และต่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินฮ่องเต้ต้าเฟยได้แต่งตั้งฮองเฮาคู่กาย ฮองเฮาผู้นี้เป็นญาติห่าง ๆ ของหลินซูหนาน ในช่วงเวลานี้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน ในวันที่อากาศสดใส ฮ่องเต้ต้าเฟยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวบ้านด้วยพระองค์เอง โดยมีราชครูหลินเจิ้งหานตามเสด็จไปด้วยในฐานะพระอาจารย์ของฮ่องเต้ พวกเขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจี ความงดงามของธรรมชาติทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสดชื่น หลังจากที่ตรากตรำกับราชกิจอยู่ในวังมานานระหว่างที่พระองค์กำลังชมทัศนียภาพอยู่นั้น สายพระเนตรของพระองค์ก็ไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางทุ่งนานั้น ใบหน้าของนางสวยงามราวกับภาพวาด ผมยาวสลวยถูกลมพัดปลิวไสว ดวงตาส่องประกายมีชีวิตชีวา รอยยิ้มอ่อนหวานของนาง ดึงดูดใจพระองค์เป็นอย่างมากหญิงสาวผู้นี้กำลังช่วยชาวบ้านจัดการพืชผลที่เก็บได้ ในมือมีสมุดบัญชีอยู่หนึ่งเล่ม ซึ่งนางกำลังก้มหน้าก้มตาจดรายการพืชผลของช







