Mag-log inหลังจากร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินซูหนานก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง ภายในเรือนของนางเวลานี้บ่าวรับใช้หลายคนกำลังช่วยกันขนกล่องของขวัญที่มีมากมายเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างจัดเรียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงนั่งลงบนเก้าอี้และเริ่มเปิดของขวัญเหล่านั้นด้วยท่าทีที่เรียบเฉย ทว่าคนที่ตื่นเต้นนั้นกลับเป็นเซียงลี่ สาวใช้คนสนิทของนางแทน
“คุณหนู ของขวัญวันเกิดปีนี้ต้องมีแต่ของดี ๆ แน่นอนเจ้าค่ะ ขุนนางพวกนี้ต้องการเอาใจนายท่านเป็นพิเศษเพราะอยากให้นายท่านสนับสนุนพวกเขา หากว่าทำได้ ข้าว่าพวกเขาคงส่งเงินทองมาให้แล้ว”
เซียงลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
“เหตุใดเจ้าจึงรู้ไปหมดทุกเรื่องเลยเล่า เซียงลี่”
หลินซูหนานถามแกมหยอกล้อสาวใช้คนสนิทของนางด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง
“โธ่ คุณหนูเจ้าคะ เรื่องไหนที่เกี่ยวข้องกับคุณหนู ข้าในฐานะสาวใช้ต้องตรวจสอบก่อนเสมอเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าคุณหนูลองเปิดดูของขวัญพวกนี้สิเจ้าคะ เผื่อว่าอาจจะมีบางคนเอาเงินหรือทองซ่อนไว้ในกล่องของขวัญจริง ๆ”
เซียงลี่กล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น นางหวังเหลือเกินว่าของขวัญพวกนี้ต้องมีสักกล่องที่จะต้องถูกใจคุณหนู จนทำให้คุณหนูของนางยิ้มอย่างมีความสุขได้
หลินซูหนานฟังคำของเซียงลี่เพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับเล็กน้อย
“ย่อมได้ อย่างนั้นข้าจะเปิดกล่องของขวัญพวกนี้ เริ่มจากของขวัญจากเจียวฮวาก็แล้วกัน”
นางเลือกที่จะเปิดกล่องของขวัญที่เจียวฮวา สหายรักของนางส่งมาให้เป็นอันดับแรก เมื่อเปิดกล่องออกมาก็พบกับพู่กันอย่างดีที่ทำจากขนสุนัขจิ้งจอก นอกจากนี้ยังมีแท่นฝนหมึกที่ทำจากหินอย่างดีในเมืองอวี๋หยาง ทำให้นางยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างดีใจ เมื่อเห็นของขวัญชิ้นนี้
“เจียวฮวาช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก นางรู้ว่าข้าชอบคัดตำรา ของขวัญชิ้นนี้จึงเหมาะสมกับข้าที่สุด” หลินซูหนานกล่าวอย่างพอใจ นั่นก็เพราะว่านางชอบของขวัญชิ้นนี้จริง ๆ
“คุณหนูเจียวช่างรู้ใจคุณหนูเสียจริง สมแล้วที่เป็นสหายสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก” เซียงลี่กล่าวเสริมขึ้นมาอย่างเห็นด้วย นางเองก็มองว่าของขวัญชิ้นนี้นอกจากถูกใจคุณหนูแล้วยังล้ำค่าไม่น้อย
หลินซูหนานยิ้มและเก็บพู่กันรวมถึงแท่นฝนหมึกไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นจึงเปิดดูของขวัญกล่องอื่น ๆ ซึ่งในนั้นมีทั้งเครื่องหยก เครื่องประดับ และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้เซียงลี่ตาโตด้วยความตื่นเต้น ต่างจากเจ้าของวันเกิดที่มองสิ่งของพวกนั้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง
นางเปิดกล่องแต่ละใบอย่างใจเย็น พิจารณาของแต่ละชิ้นด้วยความตั้งใจ แต่ก็ไม่มีแววตายินดีหรือดีใจออกมาเมื่อเห็นของในกล่องพวกนั้น
เมื่อมาถึงของขวัญกล่องหนึ่ง ซึ่งมีกระดาษเขียนด้านหน้ากล่องว่ามาจากจวนเสนาบดีฝ่ายเหนือ หลินซูหนานก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ นางค่อย ๆ เปิดกล่องออก ก็พบภาพวาดภูเขาและน้ำตกที่สวยงามมากภาพหนึ่ง
เมื่อเห็นของขวัญชิ้นนี้แล้ว ก็พลันทำให้นึกถึงใบหน้าของหวังจื่อรั่ว พระชายารองผู้ซึ่งเป็นบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายเหนือขึ้นมา
‘เสนาบดีฝ่ายเหนือส่งของขวัญมาให้วันนี้ ก็เพราะว่าอยากจะโน้มน้าวให้ท่านพ่อเข้าร่วมกับฝ่ายเหนือเป็นแน่’
หลินซูหนานคิดในใจ ก่อนจะเรียกสาวใช้คนสนิท
“เซียงลี่ เอาของขวัญชิ้นนี้ไปทิ้งเสีย ข้าไม่ต้องการของขวัญจากจวนเสนาบดีฝ่ายเหนือ” นางเรียกเซียงลี่มาพร้อมกับส่งภาพวาดในมือไปให้ คล้ายกับไม่อยากจะสนใจหรือไม่อยากเห็นของขวัญชิ้นนี้
“เจ้าค่ะคุณหนู”
เมื่อได้ยินคำสั่ง เซียงลี่จึงรับภาพวาดมาอย่างรวดเร็ว และทำตามคำสั่งของหลินซูหนานทันที ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกเสียดายของขวัญชิ้นนั้นมากแค่ไหน เพราะดูจากภาพวาดนั่นแล้วคงจะมีมูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ในเมื่อคุณหนูบอกให้นำไปทิ้ง นางก็ต้องนำไปทิ้งอย่างไม่ต้องมีข้อสงสัย
หลังจากเซียงลี่ออกไปแล้ว หลินซูหนานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นางพิจารณาของขวัญที่เหลืออย่างถี่ถ้วน ใจหนึ่งรู้สึกยินดีที่ได้รับของขวัญมากมายจากผู้คนที่มุ่งหวังเอาใจนางและครอบครัวสกุลหลิน
แต่ทว่าอีกใจหนึ่งกลับรู้สึกถึงความกดดัน เพราะความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับจากข้าวของพวกนี้ นั่นก็เพราะนางรู้ดีว่าการได้รับของขวัญจากขุนนางหลายฝ่ายนั้น ไม่ได้หมายความว่าทุกคนมีเจตนาดีต่อนาง แต่เพราะคนพวกนั้นต้องการให้บิดาของนางเข้าร่วมด้วยต่างหากล่ะ
เวลาผ่านไปไม่นาน เซียงลี่ก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง นางเดินเข้ามาหาพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า
“คุณหนู ใกล้ถึงเวลาที่ต้องออกไปยังอารามหลวงแล้วเจ้าค่ะ”
หลินซูหนานพยักหน้าเข้าใจ นางจำได้ดีว่าวันนี้เป็นวันที่นางต้องไปอารามหลวงกับรัชทายาท คิดได้ดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าปอดครั้งหนึ่งเพื่อทำใจให้สงบ
“ขอบใจเจ้ามาก เซียงลี่” นางกล่าวพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงได้ลุกขึ้น และจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกจากห้อง โดยมีสาวใช้คนสนิทตามมาด้วยเช่นทุกครั้ง
ตอนพิเศษ 2.2ฉู่ตงฟางนั่งลงข้างๆ ฉู่สือ โดยพิจารณาความคิดนี้อย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวขึ้น “แล้วจะมีวิธีการไหนบ้างที่เจ้าจะใช้ในการคำนวณมูลค่าของสินค้าบนเรือ”“ข้าสามารถแบ่งประเภทสินค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ขอรับ เช่นสินค้าแบบหยกหรืออัญมณี จะมีมูลค่าสูง ในขณะที่สินค้าธรรมดาอย่างอาหารหรือเครื่องใช้ จะมีมูลค่าต่ำกว่า ซึ่งเราจะต้องมีการกำหนดอัตราเทียบเคียงกันด้วย” ฉู่สืออธิบายต่ออย่างเชี่ยวชาญ“ฟังดูดีมีเหตุผลมาก” ฉู่ตงฟางพยักหน้าเห็นด้วยฉู่ตงฟางพิจารณาความคิดของลูกชายก่อนจะถามอย่างจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ จะทำให้ลูกค้าพอใจหรือไม่”“ข้าเชื่อว่าหากพวกเราชี้แจงเหตุผลให้ชัดเจน พวกเขาจะเข้าใจและเห็นความสำคัญขอรับ เราต้องทำให้เจ้าของเรือรวมถึงลูกค้าอื่น ๆ รู้ว่าวิธีการนี้จะทำให้เขาได้กำไรมากขึ้น เพราะสินค้าบางอย่างที่มูลค่าไม่สูงมาก พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง” ฉู่สือกล่าวอย่างมั่นใจ“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นพ่อจะให้เจ้าไปอธิบายเรื่องนี้กับเจ้าของเรือและลูกค้าในวันพรุ่งนี้” ฉู่ตงฟางกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจ“ขอรับท่านพ่อ ขอบคุณที่เชื่อมั่นใจตัวลูก” ฉู่สือตอบรับด้วยความตื่นเต้น
ตอนพิเศษ 2.1สิบปีต่อมาฉู่ปิ่งเติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งและกล้าหาญที่สุดในเมืองท่าแห่งนี้ ปีนี้เขาอายุสิบสามแล้ว เป็นเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นและขยันขันแข็งในทุกสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะในด้านการเรียนและการฝึกวรยุทธ ฉู่ปิ่งเข้าเรียนที่สถานศึกษาของเมืองท่า โดยมีอดีตราชบัณฑิตเจียงจวนหยางเป็นผู้สอน เขาสอนทั้งวิชาการและการต่อสู้ ทำให้ฉู่ปิ่งเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ จนได้รับการยอมรับจากอาจารย์และสหายร่วมชั้นในแต่ละปีเวลามีงานเทศกาลประจำเมือง ฉู่ปิ่งมักจะเข้าร่วมการประลอง เขาได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนอย่างเต็มที่ ในปีนี้ก็เช่นกัน เขาผ่านรอบสุดท้ายโดยมีคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่และดุดันชื่อว่าเหอจิ้ง ซึ่งเป็นนักสู้รุ่นพี่ที่มีฝีมืออันดับต้น ๆ ในเมืองท่าท่ามกลางเสียงร้องของผู้คนในงานเทศกาล ฉู่ตงฟาง หลินซูหนาน และน้องสาวน้องชายของฉู่ปิ่ง นั่งอยู่ในที่นั่งที่ดีที่สุด พวกเขามองไปที่ฉู่ปิ่งด้วยความหวังและความภูมิใจในตัวเขา“ฉู่ปิ่ง ตั้งใจสู้ให้ดี” หลินซูหนานตะโกนให้กำลังใจบุตรชาย ขณะที่ฉู่ปิ่งยืนอยู่ในวงล้อมการประลอง“ใช่ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราคือใคร” ฉู่ตงฟางเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความตื่นเต้นฉู่ปิ่งม
ตอนพิเศษ 1.2ก่อนที่หมอจะออกจากห้อง ก็แนะนำเกี่ยวกับยาบำรุงครรภ์ที่จำเป็น และหยิบยาออกมาสองเทียบส่งให้ฉู่ตงฟาง พร้อมกับแนะนำว่า “ให้ฮูหยินใช้ยานี้บำรุงร่างกาย ต้องต้มกินวันละสามเวลา หากหมดก็ให้ไปรับยาได้ที่โรงหมอของข้าได้”“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฉู่ตงฟางกล่าวขอบคุณอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข เขารับยาจากหมออย่างระมัดระวังเมื่อหมอกลับออกไปแล้ว ฉู่ตงฟางนั่งอยู่ข้างหลินซูหนานด้วยความรักและเอาใจใส่ นางยังคงนอนอยู่บนเตียงในสภาพร่างกายที่อ่อนเพลีย ทว่าภายใต้สีหน้าที่ซีดขาวนั้น กลับมีความรู้สึกดีใจอยู่เต็มเปี่ยม“ซูหนาน ข้าตื่นเต้นและดีใจมากที่เราจะมีเจ้าก้อนแป้งกันแล้ว” เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาและอ่อนหวานหลินซูหนานยิ้มอย่างหวานละมุน “ข้าก็รู้สึกดีใจเหมือนกันครอบครัวของพวกเราจะสมบูรณ์แล้วนะเจ้าคะ” นางกล่าวอย่างมีความสุข“ต่อจากนี้ไป ข้าจะดูแลเจ้าตลอดเวลา เจ้าจะต้องพักผ่อนมากๆ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก ส่วนเรื่องขายของข้า จะสั่งให้คนมาช่วย” ฉู่ตงฟางก้มลงมองนางอย่างรักใคร่“เจ้าค่ะ” หลินซูหนานตอบอย่างไม่มีปัญหาเพราะนางก็อยากรักษาตนเองให้ดีที่สุดเพื่อเจ้าก่อนแป้ง“พักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่ก
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานได้ล่องเรือเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ จนพอใจแล้ว สุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจปักหลักที่เมืองท่าแห่งหนึ่ง เมืองนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงาม พร้อมด้วยท่าเรือที่คึกคัก ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงามของแม่น้ำสายใหญ่ จึงทำให้ทั้งสองรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการสร้างชีวิตใหม่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยการเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ร้านค้าของพวกเขาได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มีบรรยากาศอบอุ่นที่ดึงดูดลูกค้า ทั้งสองจัดทำสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่อาหาร ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมที่สวยงาม โดยเฉพาะสินค้าที่หลินซูหนานทำด้วยมือซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ร้านของทั้งสองมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว โดยตั้งร้านค้าชื่อซูหนานนอกจากการขายสินค้าแล้ว ฉู่ตงฟางยังให้บริการคุ้มภัยทางเรือแก่พ่อค้าและนักเดินทางที่ต้องการขนส่งสินค้าไปยังเมืองต่าง ๆ โดยตั้งชื่อสำนักคุ้มภัยซูหนานฉู่ตงฟางมีลูกน้องที่มีวรยุทธสูงส่งมากมายที่ลาออกจากการเป็นองครักษ์เพื่อมาติดตามเขา และเขาเองก็มีความสามารถในการจัดการที่ดีเยี่ยม ทำให้ลูกค้าต่างไว้ใจสำนักคุ้มภัยซูหนานของนายท่า
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.2การสนทนานี้จบลงด้วยความเข้าใจและความรักที่มีต่อกัน ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนและโบกมือให้กัน เป็นการกล่าวลาอย่างอบอุ่น ก่อนที่ฉู่ตงฟางจะเดินออกจากห้องทรงพระอักษร ไปสู่วิถีชีวิตใหม่ของเขา ขณะที่ฮ่องเต้ยืนอยู่ในห้องนั้น ด้วยรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องเผชิญในอนาคตหลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานออกเดินทางไปท่องเที่ยว ทั้งสองก็ล่องเรือไปตามแม่น้ำที่สวยงาม โดยที่แรกที่ทั้งสองคนมุ่งไปเป็นเทือกเขาหมินซาน ที่นี่เป็นสถานที่ที่หลินซูหนานตั้งใจอยากมาเยี่ยมชมมานาน ด้วยความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมด้วยภูเขาเขียวขจีและดอกไม้ที่บานสะพรั่งเมื่อทั้งคู่มาถึงเทือกเขาหมินซาน ทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ทำให้หลินซูหนานอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ฉู่ตงฟางมองดูนางด้วยความรัก เขาจับมือของนางขึ้นมาจับแล้วกล่าวอย่างหยอกล้อว่า“ดูสิ สถานที่นี้สวยงามไม่แพ้เจ้าเลย”“ท่านพี่ ข้าชอบที่นี่มากจริงๆ” หลินซูหนานกล่าวด้วยเสียงสดใส ยามนี้นางไม่เรียกเขาตำแหน่งอ๋องอีกแล้ว“ข้าดีใจที่เห็นเจ้ามีความสุข” ฉู่ตงฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มทั้งสองใช้เวลาหลายวันในการเดินชมธรรมชาติ โดยฉู่ตงฟางพานางไปเก็บดอกไม้ท
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.1 หนึ่งปีผ่านไปการเมืองในราชสำนักกลับมาสงบเงียบไร้ซึ่งเกลียวคลื่นใต้น้ำ ขุนนางทุกฝ่ายเริ่มเห็นพ้องต้องกัน และต่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินฮ่องเต้ต้าเฟยได้แต่งตั้งฮองเฮาคู่กาย ฮองเฮาผู้นี้เป็นญาติห่าง ๆ ของหลินซูหนาน ในช่วงเวลานี้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน ในวันที่อากาศสดใส ฮ่องเต้ต้าเฟยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวบ้านด้วยพระองค์เอง โดยมีราชครูหลินเจิ้งหานตามเสด็จไปด้วยในฐานะพระอาจารย์ของฮ่องเต้ พวกเขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจี ความงดงามของธรรมชาติทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสดชื่น หลังจากที่ตรากตรำกับราชกิจอยู่ในวังมานานระหว่างที่พระองค์กำลังชมทัศนียภาพอยู่นั้น สายพระเนตรของพระองค์ก็ไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางทุ่งนานั้น ใบหน้าของนางสวยงามราวกับภาพวาด ผมยาวสลวยถูกลมพัดปลิวไสว ดวงตาส่องประกายมีชีวิตชีวา รอยยิ้มอ่อนหวานของนาง ดึงดูดใจพระองค์เป็นอย่างมากหญิงสาวผู้นี้กำลังช่วยชาวบ้านจัดการพืชผลที่เก็บได้ ในมือมีสมุดบัญชีอยู่หนึ่งเล่ม ซึ่งนางกำลังก้มหน้าก้มตาจดรายการพืชผลของช







