ログインหลินซูหนานเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลัก ความสดใสที่แฝงไปด้วยความสง่างามของนาง ทำให้บรรยากาศในห้องดูสดใสยิ่งขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่ หนานเอ๋อร์มาแล้วขอรับ” หลินจื่อเฉิง พี่ใหญ่ของนางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดีเมื่อเห็นน้องสาวเดินเข้ามา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง” หลินซูหนานก้มศีรษะทักทายทุกคนในห้องโถงอย่างรู้มารยาทเป็นอย่างดี
“มาแล้วเหรอหนานเอ๋อร์ มานี่มา พี่ได้สั่งให้คนจัดเตรียมโต๊ะน้ำชาไว้ให้เจ้าได้คารวะท่านพ่อท่านแม่แล้ว จากนั้นเราจะได้กินข้าวพร้อมกัน”
หลินจื้อหมิงพี่ชายรองของนางเอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำด้วยความยินดี ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้อง
ภายในห้องนี้มีการจัดพิธียกน้ำชาขึ้นมาภายในครอบครัวเพื่อให้เจ้าของวันเกิดได้แสดงความเคารพต่อบิดามารดา
อีกทั้งบนโต๊ะกลางห้องมีอาหารน่ากินมากมายวางเรียงรายอยู่ ตั้งแต่ซาลาเปาร้อน ๆ ไส้หมูแดงและไส้ผัก น้ำแกงเห็ดหอมรสเข้มข้น จนถึงเนื้อเป็ดย่างหนังกรอบที่มีกลิ่นหอมชวนให้ท้องร้อง ยังมีของหวานอย่างขนมเปี๊ยะไส้ถั่วแดงและบัวลอยน้ำขิงหวานหอม เรียกได้ว่าอาหารที่จัดเตรียมไว้นั้นมีหลากหลายและครบถ้วน
ส่วนที่มุมห้องมีโต๊ะยาวอีกตัวที่ถูกใช้สำหรับวางของขวัญที่ได้รับเรียงรายอยู่บนโต๊ะนั้น ซึ่งยามนี้มีมากมายเต็มไปหมด
“ซูหนานคารวะท่านพ่อ คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
หลินซูหนานยกน้ำชาคารวะบิดามารดาตามธรรมเนียม นางถือถ้วยน้ำชาด้วยสองมืออย่างนุ่มนวลและนอบน้อม
ราชครูหลินและหลินฮูหยินรับถ้วยน้ำชาอย่างมีความสุข ใบหน้าของทั้งสองเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภูมิใจและความรัก
ส่วนพี่ชายและพี่น้องสายรองก็เข้ามาอวยพรกันอย่างชื่นมื่น ภายในห้องโถงแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการหยอกล้อกัน ทำให้บรรยากาศในห้องโถงอบอวลไปด้วยความสุข
หลังจากยกน้ำชาเรียบร้อยแล้ว สองสามีภรรยามองบุตรสาวด้วยแววตาอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความภูมิใจ
“หนายเอ๋อร์ ยามนี้ลูกโตขึ้นมากแล้ว พ่อขอให้ลูกมีความสุขและประสบความสำเร็จในทุกเรื่องที่ตั้งใจทำนะ”
ราชครูหลินกล่าวอวยพรอย่างอ่อนโยนพร้อมกับลูบศีรษะบุตรสาวเบา ๆ อย่างรักใคร่ ส่วนหลินฮูหยินผู้เป็นมารดาก็เข้ามากุมมือบุตรสาวเช่นกัน นางยิ้มและเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น
“วันเกิดของลูกปีนี้ เป็นวันที่แม่มีความสุขที่สุด ซูหนาน แม่ขอให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย และมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นนี้ตลอดไปนะลูก”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านแม่” หลินซูหนานตอบรับคำอวยพรพร้อมกับส่งยิ้มให้กับทั้งสองอย่างมีความสุขเช่นกัน
แต่ถึงแม้จะตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่ทว่าภายในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า น้ำตาที่คลอตลอดเวลานั้นสะท้อนถึงความเจ็บปวดที่นางเก็บซ่อนไว้ นั่นเพราะนางกำลังนึกถึงอดีตชาติที่ต้องสูญเสียทุกคนในตระกูลไป ภาพความทรงจำอันเลวร้ายเหล่านั้นยังคงหลอกหลอนนางอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ยามนี้บนโต๊ะอาหาร ทุกคนต่างเอาอกเอาใจนาง โดยการตักอาหารอย่างที่หญิงสาวชอบมาวางไว้ให้ในจานแทบล้น
หลินซูหนานรับรู้ได้ถึงความรักและความห่วงใยของคนในครอบครัวที่มอบให้ จึงย้อนคิดไปว่า เหตุใดชาติที่แล้วนางจึงไร้วาสนามีความสุขอยู่กับครอบครัวได้สั้นนัก
“เป็นอะไรไปหรือซูหนาน เหตุใดลูกจึงร้องไห้ออกมาเล่า วันนี้เป็นวันดี ลูกไม่ควรหลั่งน้ำตารู้หรือไม่”
หลินฮูหยิน ผู้เป็นมารดาเห็นบุตรสาวซับน้ำตาก็ถามขึ้นด้วยความห่วงใย
หลินซูหนานรู้สึกตัวว่าทำให้ทุกคนเป็นห่วงก็ฝืนยิ้มออกมา พลางปาดน้ำตาทิ้งในทันที ก่อนจะตอบกลับมารดาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“ลูกร้องไห้ออกมาเพราะความซาบซึ้งใจเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกเพียงแค่ดีใจที่พวกเราสกุลหลินได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเช่นนี้อีกครั้ง ได้เห็นทุกคนมีความสุข ลูกก็เลยร้องไห้เพราะความดีใจเจ้าค่ะ”
หลินฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างอ่อนโยนและเอ็นดู มือข้างหนึ่งแตะที่แขนของบุตรสาวเบา ๆ ก่อนจะกล่าวออกมา
“เด็กโง่ พวกเราก็กินอาหารด้วยกันบ่อยครั้งอยู่แล้วนี่นา ยามนี้เจ้าใกล้ถึงวัยปักปิ่นแล้ว ต้องรู้จักโตเป็นผู้ใหญ่และควบคุมอารมณ์ให้ดี ภายภาคหน้าเมื่อกลายเป็นชายาเอกแล้ว ย่อมต้องปกครองตำหนักด้วยความเข้มงวด จะมางอแงเช่นนี้ไม่ได้
รู้หรือไม่”หลินซูหนานไม่ตอบคำ แต่แค่แกล้งยิ้มกลับมาเท่านั้น ทว่าภายใต้รอยยิ้มของนาง กลับมีความคิดที่ไม่อาจตอบมารดาได้
‘มันจะไม่มีวันที่ข้าจะยอมเป็นชายาเอกของคนผู้นั้น ชาตินี้ข้าจะไม่ยอมโง่งม จะไม่ยอมกลายเป็นดอกไม้ประดับตำหนักบูรพา และจะไม่ยอมปล่อยให้สกุลหลินต้องพานพบเภทภัยเด็ดขาด’
ตอนพิเศษ 2.2ฉู่ตงฟางนั่งลงข้างๆ ฉู่สือ โดยพิจารณาความคิดนี้อย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวขึ้น “แล้วจะมีวิธีการไหนบ้างที่เจ้าจะใช้ในการคำนวณมูลค่าของสินค้าบนเรือ”“ข้าสามารถแบ่งประเภทสินค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ขอรับ เช่นสินค้าแบบหยกหรืออัญมณี จะมีมูลค่าสูง ในขณะที่สินค้าธรรมดาอย่างอาหารหรือเครื่องใช้ จะมีมูลค่าต่ำกว่า ซึ่งเราจะต้องมีการกำหนดอัตราเทียบเคียงกันด้วย” ฉู่สืออธิบายต่ออย่างเชี่ยวชาญ“ฟังดูดีมีเหตุผลมาก” ฉู่ตงฟางพยักหน้าเห็นด้วยฉู่ตงฟางพิจารณาความคิดของลูกชายก่อนจะถามอย่างจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ จะทำให้ลูกค้าพอใจหรือไม่”“ข้าเชื่อว่าหากพวกเราชี้แจงเหตุผลให้ชัดเจน พวกเขาจะเข้าใจและเห็นความสำคัญขอรับ เราต้องทำให้เจ้าของเรือรวมถึงลูกค้าอื่น ๆ รู้ว่าวิธีการนี้จะทำให้เขาได้กำไรมากขึ้น เพราะสินค้าบางอย่างที่มูลค่าไม่สูงมาก พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง” ฉู่สือกล่าวอย่างมั่นใจ“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นพ่อจะให้เจ้าไปอธิบายเรื่องนี้กับเจ้าของเรือและลูกค้าในวันพรุ่งนี้” ฉู่ตงฟางกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจ“ขอรับท่านพ่อ ขอบคุณที่เชื่อมั่นใจตัวลูก” ฉู่สือตอบรับด้วยความตื่นเต้น
ตอนพิเศษ 2.1สิบปีต่อมาฉู่ปิ่งเติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งและกล้าหาญที่สุดในเมืองท่าแห่งนี้ ปีนี้เขาอายุสิบสามแล้ว เป็นเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นและขยันขันแข็งในทุกสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะในด้านการเรียนและการฝึกวรยุทธ ฉู่ปิ่งเข้าเรียนที่สถานศึกษาของเมืองท่า โดยมีอดีตราชบัณฑิตเจียงจวนหยางเป็นผู้สอน เขาสอนทั้งวิชาการและการต่อสู้ ทำให้ฉู่ปิ่งเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ จนได้รับการยอมรับจากอาจารย์และสหายร่วมชั้นในแต่ละปีเวลามีงานเทศกาลประจำเมือง ฉู่ปิ่งมักจะเข้าร่วมการประลอง เขาได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนอย่างเต็มที่ ในปีนี้ก็เช่นกัน เขาผ่านรอบสุดท้ายโดยมีคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่และดุดันชื่อว่าเหอจิ้ง ซึ่งเป็นนักสู้รุ่นพี่ที่มีฝีมืออันดับต้น ๆ ในเมืองท่าท่ามกลางเสียงร้องของผู้คนในงานเทศกาล ฉู่ตงฟาง หลินซูหนาน และน้องสาวน้องชายของฉู่ปิ่ง นั่งอยู่ในที่นั่งที่ดีที่สุด พวกเขามองไปที่ฉู่ปิ่งด้วยความหวังและความภูมิใจในตัวเขา“ฉู่ปิ่ง ตั้งใจสู้ให้ดี” หลินซูหนานตะโกนให้กำลังใจบุตรชาย ขณะที่ฉู่ปิ่งยืนอยู่ในวงล้อมการประลอง“ใช่ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราคือใคร” ฉู่ตงฟางเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความตื่นเต้นฉู่ปิ่งม
ตอนพิเศษ 1.2ก่อนที่หมอจะออกจากห้อง ก็แนะนำเกี่ยวกับยาบำรุงครรภ์ที่จำเป็น และหยิบยาออกมาสองเทียบส่งให้ฉู่ตงฟาง พร้อมกับแนะนำว่า “ให้ฮูหยินใช้ยานี้บำรุงร่างกาย ต้องต้มกินวันละสามเวลา หากหมดก็ให้ไปรับยาได้ที่โรงหมอของข้าได้”“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฉู่ตงฟางกล่าวขอบคุณอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข เขารับยาจากหมออย่างระมัดระวังเมื่อหมอกลับออกไปแล้ว ฉู่ตงฟางนั่งอยู่ข้างหลินซูหนานด้วยความรักและเอาใจใส่ นางยังคงนอนอยู่บนเตียงในสภาพร่างกายที่อ่อนเพลีย ทว่าภายใต้สีหน้าที่ซีดขาวนั้น กลับมีความรู้สึกดีใจอยู่เต็มเปี่ยม“ซูหนาน ข้าตื่นเต้นและดีใจมากที่เราจะมีเจ้าก้อนแป้งกันแล้ว” เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาและอ่อนหวานหลินซูหนานยิ้มอย่างหวานละมุน “ข้าก็รู้สึกดีใจเหมือนกันครอบครัวของพวกเราจะสมบูรณ์แล้วนะเจ้าคะ” นางกล่าวอย่างมีความสุข“ต่อจากนี้ไป ข้าจะดูแลเจ้าตลอดเวลา เจ้าจะต้องพักผ่อนมากๆ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก ส่วนเรื่องขายของข้า จะสั่งให้คนมาช่วย” ฉู่ตงฟางก้มลงมองนางอย่างรักใคร่“เจ้าค่ะ” หลินซูหนานตอบอย่างไม่มีปัญหาเพราะนางก็อยากรักษาตนเองให้ดีที่สุดเพื่อเจ้าก่อนแป้ง“พักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่ก
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานได้ล่องเรือเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ จนพอใจแล้ว สุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจปักหลักที่เมืองท่าแห่งหนึ่ง เมืองนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงาม พร้อมด้วยท่าเรือที่คึกคัก ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงามของแม่น้ำสายใหญ่ จึงทำให้ทั้งสองรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการสร้างชีวิตใหม่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยการเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ร้านค้าของพวกเขาได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มีบรรยากาศอบอุ่นที่ดึงดูดลูกค้า ทั้งสองจัดทำสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่อาหาร ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมที่สวยงาม โดยเฉพาะสินค้าที่หลินซูหนานทำด้วยมือซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ร้านของทั้งสองมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว โดยตั้งร้านค้าชื่อซูหนานนอกจากการขายสินค้าแล้ว ฉู่ตงฟางยังให้บริการคุ้มภัยทางเรือแก่พ่อค้าและนักเดินทางที่ต้องการขนส่งสินค้าไปยังเมืองต่าง ๆ โดยตั้งชื่อสำนักคุ้มภัยซูหนานฉู่ตงฟางมีลูกน้องที่มีวรยุทธสูงส่งมากมายที่ลาออกจากการเป็นองครักษ์เพื่อมาติดตามเขา และเขาเองก็มีความสามารถในการจัดการที่ดีเยี่ยม ทำให้ลูกค้าต่างไว้ใจสำนักคุ้มภัยซูหนานของนายท่า
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.2การสนทนานี้จบลงด้วยความเข้าใจและความรักที่มีต่อกัน ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนและโบกมือให้กัน เป็นการกล่าวลาอย่างอบอุ่น ก่อนที่ฉู่ตงฟางจะเดินออกจากห้องทรงพระอักษร ไปสู่วิถีชีวิตใหม่ของเขา ขณะที่ฮ่องเต้ยืนอยู่ในห้องนั้น ด้วยรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องเผชิญในอนาคตหลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานออกเดินทางไปท่องเที่ยว ทั้งสองก็ล่องเรือไปตามแม่น้ำที่สวยงาม โดยที่แรกที่ทั้งสองคนมุ่งไปเป็นเทือกเขาหมินซาน ที่นี่เป็นสถานที่ที่หลินซูหนานตั้งใจอยากมาเยี่ยมชมมานาน ด้วยความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมด้วยภูเขาเขียวขจีและดอกไม้ที่บานสะพรั่งเมื่อทั้งคู่มาถึงเทือกเขาหมินซาน ทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ทำให้หลินซูหนานอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ฉู่ตงฟางมองดูนางด้วยความรัก เขาจับมือของนางขึ้นมาจับแล้วกล่าวอย่างหยอกล้อว่า“ดูสิ สถานที่นี้สวยงามไม่แพ้เจ้าเลย”“ท่านพี่ ข้าชอบที่นี่มากจริงๆ” หลินซูหนานกล่าวด้วยเสียงสดใส ยามนี้นางไม่เรียกเขาตำแหน่งอ๋องอีกแล้ว“ข้าดีใจที่เห็นเจ้ามีความสุข” ฉู่ตงฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มทั้งสองใช้เวลาหลายวันในการเดินชมธรรมชาติ โดยฉู่ตงฟางพานางไปเก็บดอกไม้ท
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.1 หนึ่งปีผ่านไปการเมืองในราชสำนักกลับมาสงบเงียบไร้ซึ่งเกลียวคลื่นใต้น้ำ ขุนนางทุกฝ่ายเริ่มเห็นพ้องต้องกัน และต่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินฮ่องเต้ต้าเฟยได้แต่งตั้งฮองเฮาคู่กาย ฮองเฮาผู้นี้เป็นญาติห่าง ๆ ของหลินซูหนาน ในช่วงเวลานี้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน ในวันที่อากาศสดใส ฮ่องเต้ต้าเฟยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวบ้านด้วยพระองค์เอง โดยมีราชครูหลินเจิ้งหานตามเสด็จไปด้วยในฐานะพระอาจารย์ของฮ่องเต้ พวกเขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจี ความงดงามของธรรมชาติทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสดชื่น หลังจากที่ตรากตรำกับราชกิจอยู่ในวังมานานระหว่างที่พระองค์กำลังชมทัศนียภาพอยู่นั้น สายพระเนตรของพระองค์ก็ไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางทุ่งนานั้น ใบหน้าของนางสวยงามราวกับภาพวาด ผมยาวสลวยถูกลมพัดปลิวไสว ดวงตาส่องประกายมีชีวิตชีวา รอยยิ้มอ่อนหวานของนาง ดึงดูดใจพระองค์เป็นอย่างมากหญิงสาวผู้นี้กำลังช่วยชาวบ้านจัดการพืชผลที่เก็บได้ ในมือมีสมุดบัญชีอยู่หนึ่งเล่ม ซึ่งนางกำลังก้มหน้าก้มตาจดรายการพืชผลของช







