Masukกลับมายังปัจจุบัน หลินซูหนานเดินออกมาจากห้องด้วยความรีบร้อนจนลืมหยิบเสื้อคลุมกันหนาวออกมา นางยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น แต่ความคิดที่หนักหน่วงในใจนั้น ทำให้นางลืมความหนาวเย็นไปหมดสิ้น
ขณะกำลังมองดูท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆหนา มือเรียวได้ลูบไปตามกำไลหยกอุ่นที่องค์รัชทายาทส่งมาให้ ทำให้นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่สื่อผ่านกำไลนั้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความหนาวเย็นในใจนางจางหายไปได้เลย
หลินซูหนานครุ่นคิดอยู่นาน และรู้สึกถึงความลำบากใจที่ไม่สามารถหาวิธีปฏิเสธสมรสพระราชทานครั้งนี้ได้
เซียงลี่สาวใช้คนสนิทเดินเข้ามาพร้อมกับชุดคลุมกันหนาวในมือ นางเห็นคุณหนูของตนยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเป็นเวลานานแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในใจนั้นทั้งทุกข์และกังวลใจไม่ต่างจากคุณหนูของตนเอง
“คุณหนูเจ้าคะ กลับเข้าไปในห้องเถอะเจ้าค่ะ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เดี๋ยวจะป่วยไข้เอานะเจ้าคะ”
เซียงลี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับสวมเสื้อคลุมกันหนาวให้คุณหนู ต่อให้ความอบอุ่นจากเสื้อคลุมนี้จะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าการที่นางปล่อยให้อีกฝ่ายยืนตากลมหนาวทั้งอย่างนั้น
ทว่าหลินซูหนานกลับส่ายหน้าเบา ๆ เพราะนางยังไม่อยากกลับเข้าห้องไปในเวลานี้ หญิงสาวต้องการปล่อยให้ลมหนาวที่
พัดผ่านเข้ามานั้นช่วยพัดพาความทุกข์ของนางออกไปบ้าง ถึงแม้ภายในใจจะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดสามารถบรรเทาความหนักอึ้งในใจตนได้เลยก็ตาม“เซียงลี่ ข้าไม่อยากกลับเข้าไปในห้อง ข้ารู้สึกว่าการยืนอยู่เช่นนี้อาจจะช่วยให้ข้าคิดอะไรออกได้บ้าง” หลินซูหนานกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาแฝงไปด้วยความสิ้นหวังเล็กน้อย
เซียงลี่ถอนหายใจออกมา นางรู้ดีว่าคุณหนูของตนนั้นมีความคิดที่หนักแน่นและไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนใจของนายสาว ยิ่งยามนี้คุณหนูมีความทุกข์ที่เกาะกุมเต็มหัวใจ และเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงมาก นางจึงได้เงียบเสียงลง แต่ยังคงยืนอยู่เคียงข้างไม่ไปไหน แม้ว่าจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ขออยู่ใกล้ ๆ เพื่อให้กำลังใจก็ยังดี
“เซียงลี่ เจ้าเข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้” หลินซูหนานกล่าวออกมาเมื่อเห็นสาวใช้ยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไปไหน
“ถ้าคุณหนูต้องการอยู่ที่นี่ ข้าก็จะอยู่ข้าง ๆ คุณหนูโดยไม่ไปไหนเจ้าค่ะ” เซียงลี่กล่าวตอบอย่างนุ่มนวลก่อนที่นางจะยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างหลินซูหนาน พร้อมกับมองดูท้องฟ้าและต้นไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะด้วยความหนาวเหน็บในใจ
ความเงียบงันครอบคลุมสวนหลังเรือนอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดผ่านและเสียงหิมะที่ตกลงมา หลินซูหนานมองดูท้องฟ้าและครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา นางคิดถึงความจริงที่ว่าบิดาของนางไม่เคยสนับสนุนให้นางต้องเข้าไปพัวพันกับการเมืองในราชสำนัก แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ จึงทำให้นางไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
หลินเจิ้งหานเดินตามเข้ามาในสวนหลังเรือนด้วยความรู้สึกหนักใจ เมื่อเห็นบุตรสาวมีสีหน้าที่ดูเป็นกังวลก็อดสงสารขึ้นมาไม่ได้ ตอนที่ขันทีกำลังประกาศราชโองการอยู่นั้น เขาก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะว่าแทนที่บุตรสาวของตนจะดีใจที่ได้แต่งเข้าวังบูรพา แต่นางกลับทำสีหน้าเป็นกังวล ราวกับว่าไม่อยากแต่งเสียอย่างนั้น
เมื่อก้าวเข้ามาในสวนที่มีแต่ความเงียบปกคลุม เขาก็รีบตรงไปหาบุตรสาวทันที หลินเจิ้งหานมองดูบุตรสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ซึ่งยามนี้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจและเศร้าหมอง เขาเดินเข้าไปหานาง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่นุ่มนวล
“ซูหนาน ลูกได้ยินที่โหวกงกงประกาศราชโองการแล้วใช่หรือไม่”
หลินซูหนานหันกลับมามองบิดาของตน นางพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับตอบกลับว่า “เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
หลินเจิ้งหานมองดวงตาของบุตรสาว ทำให้เขารู้สึกถึงความลำบากใจของนาง เขาเข้าใจว่าหลินซูหนานต้องเผชิญกับความกดดันและความคาดหวังที่มากมาย แต่ก็ยังคงสงสัยว่าเหตุใดบุตรสาวของตนจึงไม่ดีใจที่ได้แต่งงานกับองค์รัชทายาท ซึ่งก่อนหน้านี้เหมือนว่าทั้งสองต่างเข้ากันได้ดี
“หนานเอ๋อร์ เหตุใดลูกถึงดูเป็นกังวลใจเช่นนี้เล่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับสกุลหลินของเรา และยังเป็นประโยชน์ต่อแคว้นอีกด้วย อีกอย่างพ่อก็เห็นว่าลูกกับองค์รัชทายาทไปมาหาสู่กันดีอยู่มิใช่หรือ” เขากล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้กำลังใจบุตรสาวและให้นึกถึงประโยชน์ที่จะได้รับสำหรับสมรสพระราชทานครั้งนี้
เมื่อได้ยินสิ่งที่บิดากล่าวเช่นนั้น หลินซูหนานจึงหันกลับมามองบิดาอีกครั้ง นางรู้สึกถึงความอบอุ่นและความห่วงใยจากบิดา นางต้องการกล่าวความรู้สึกที่แท้จริงเป็นอย่างมาก แต่ก็กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง
“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเกียรติและประโยชน์ต่อแคว้น แต่ข้า...ข้ายังไม่พร้อมเจ้าค่ะ” นางเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือจนบิดาสังเกตเห็นได้
พอได้ยินคำกล่าวของบุตรสาว หลินเจิ้งหานก็พยักหน้าเข้าใจ เขาพอจะมองออกว่าหลินซูหนานไม่น่าจะมีใจให้องค์
รัชทายาทเฉกเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว และเขาเองก็รู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จนเคยคิดว่าตนเองคิดผิดหรือไม่ ที่สนับสนุนให้บุตรสาวหมั้นหมายตามคำสั่งของฝ่าบาท ทว่าเวลานี้ทุกอย่างคงไม่อาจถอยกลับได้อีกแล้ว“หนานเอ๋อร์ ลูกไม่ต้องกังวลไปหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่ฝ่าบาททรงกำหนดไว้แล้ว พ่อมั่นใจว่าหากเจ้าแต่งเข้าไป ย่อมจะไม่มีปัญหา และเจ้าจะอยู่ที่นั่นได้อย่างสุขสบายในฐานะชายาเอก” หลินเจิ้งหานกล่าวด้วยความมั่นใจ เขาเชื่อว่าฮ่องเต้
ได้วางรากฐานให้บุตรสาวของตนเรียบร้อยแล้ว การแต่งเข้าตำหนักบูรพาครั้งนี้ของหลินซูหนานย่อมไม่เกิดปัญหาทว่าหลินซูหนานกลับไม่ได้รู้สึกมั่นใจอย่างคำกล่าวของบิดาเลยแม้แต่น้อย เรื่องบางเรื่องที่บิดาไม่รู้นั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอะไร บางครั้งบิดาของนางอาจจะมององค์รัชทายาทในแง่ดีเกินไปก็ได้นางแทบอยากจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่พบเจอมาให้บิดาฟัง แต่ก็กลัวว่าหากเล่าไปแล้วอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ หรือไม่ก็อาจจะไม่มีผู้ใดเชื่อนางเลยก็ได้ จึงได้เพียงแต่เงียบไว้ และหาวิธีที่จะไม่ต้องแต่งงานกับเขาเท่านั้น“ท่านพ่อ ข้าสามารถขอเลื่อนการแต่งงานครั้งนี้ออกไปได้หรือไม่เจ้าคะ” แม้จะรู้ว่าแทบจะไม่มีความหวัง แต่หลินซูหนานก็ยังเลือกที่จะขอร้องอีกครั้งหลินเจิ้งหานฟังคำขอของบุตรสาวด้วยความเงียบงัน เขารู้สึกถึงความทุกข์ใจและเข้าใจถึงความต้องการของนาง แต่ก็รู้ดีว่าการขอเลื่อนการแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หรือเรียกว่าแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยหลินเจิ้งหานส่ายศีรษะอย่างจนใจ ขณะตอบกลับบุตรสาว“นี่คือพระราชโองการจากฝ่าบาท ยากที่ใครจะฝ่าฝืนได้ เจ้ามีปัญหาอะไรหรือลูกพ่อ ที่ผ่านมาเจ้าก็ดูเข้ากับองค์รัชทายาทได้ดีนี่ และเจ้าเองก็เคยบอกว่ายินดีที่จะแต่งกับพระองค์ ด้วยเหตุนี้พ่อจึงยอมให้เจ้าทำสัญญาหมั้นหมายจนนำมา
เผยธาตุแท้กลับมายังปัจจุบัน หลินซูหนานเดินออกมาจากห้องด้วยความรีบร้อนจนลืมหยิบเสื้อคลุมกันหนาวออกมา นางยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น แต่ความคิดที่หนักหน่วงในใจนั้น ทำให้นางลืมความหนาวเย็นไปหมดสิ้นขณะกำลังมองดูท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆหนา มือเรียวได้ลูบไปตามกำไลหยกอุ่นที่องค์รัชทายาทส่งมาให้ ทำให้นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่สื่อผ่านกำไลนั้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความหนาวเย็นในใจนางจางหายไปได้เลยหลินซูหนานครุ่นคิดอยู่นาน และรู้สึกถึงความลำบากใจที่ไม่สามารถหาวิธีปฏิเสธสมรสพระราชทานครั้งนี้ได้เซียงลี่สาวใช้คนสนิทเดินเข้ามาพร้อมกับชุดคลุมกันหนาวในมือ นางเห็นคุณหนูของตนยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเป็นเวลานานแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในใจนั้นทั้งทุกข์และกังวลใจไม่ต่างจากคุณหนูของตนเอง“คุณหนูเจ้าคะ กลับเข้าไปในห้องเถอะเจ้าค่ะ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เดี๋ยวจะป่วยไข้เอานะเจ้าคะ”เซียงลี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับสวมเสื้อคลุมกันหนาวให้คุณหนู ต่อให้ความอบอุ่นจากเสื้อคลุมนี้จะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าการที่นางปล่อยให้อีกฝ่ายยืนตากลมหนาวทั้งอย่างนั้นทว่าหลินซูหนานกลับส่ายหน้าเบา
องค์รัชทายาทในฐานะของฮ่องเต้องค์ต่อไป ย่อมต้องมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งและเก่งกาจเพียงพอในการรับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอันตราย ความเข้มแข็งและความสามารถในด้านการปกครองนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ก็คือการมีผู้สนับสนุนที่เชื่อถือได้และมั่นคงเพียงพอสตรีที่อยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะนางจะเป็นฮองเฮาในภายหน้า ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ในการสนับสนุนและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับว่าที่ฮ่องเต้องค์ต่อไปการมีฮองเฮาที่มีความฉลาดเฉลียวและมีคุณธรรมสูงส่ง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับราชสำนัก และเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในวังหลังด้วยด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงพิจารณาอย่างรอบคอบในการเลือกพระชายาเอกขององค์รัชทายาทอย่างมาก การมองหาสตรีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและมีความสามารถในการสนับสนุนองค์รัชทายาทได้อย่างดีเยี่ยมเป็นสิ่งที่สำคัญมากเนื่องจากหลินซูหนานซึ่งเป็นบุตรสาวของราชครูหลิน นางมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและเป็นที่พึงพอใจของฝ่าบาท นางมีความฉลาดเฉลียวและมีคุณธรรมสูงส่ง ทำให้ฝ่าบาทมองว่านางเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการเข้ามาเป็นพระชา
ถูกวางตัวเป็นเจ้าสาวหลินซูหนานยังจำได้ดีถึงวันนั้น เหตุการณ์เมื่อสองปีที่แล้ว วันที่นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงที่อยู่ในวัยเพียงสิบสามหนาว ยามนั้นชีวิตของนางเต็มไปด้วยความสดใสในขณะที่นางนั่งอยู่โต๊ะเขียนตำรา ซึ่งกำลังตั้งใจศึกษาเรื่องคัมภีร์โบราณด้วยความมุ่งมั่น แต่จู่ ๆ บิดาของนางก็เดินเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเคร่งเครียด“ซูหนาน พ่อมีเรื่องต้องสนทนากับเจ้า เรื่องนี้สำคัญมาก” หลินเจิ้งหานเรียกชื่อบุตรสาวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักใจเด็กหญิงเงยหน้าจากหนังสือมองไปที่บิดาด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่ทำให้บิดาของนางมีท่าทีกลัดกลุ้มเช่นนี้“ท่านพ่อมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดสีหน้าของท่านถึงได้ดูกังวลใจเช่นนั้นละเจ้าคะ”“เจ้าคงจะต้องเตรียมตัวไว้บ้างแล้วนะ สำหรับเรื่องที่กำลังจะมาถึง เพราะฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้เจ้าแต่งกับองค์รัชทายาทและเข้าวังบูรพา”หลินเจิ้งหานบอกกล่าวกับบุตรสาวด้วยความหนักใจ เพราะเรื่องนี้เขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร แต่ก็ไม่อาจจะขัดพระประสงค์ได้“ท่านพ่อเจ้าคะ แต่ปีนี้ลูกเพิ่งอายุเพียงสิบสามเท่านั้นนะเจ้าคะ ท่านต้องกล่าวเล่นเป็นแน่...ใช่หรือไม่เจ้าคะ”หลิน
“ตามพระราชโองการของฝ่าบาท ตระกูลหลินได้กระทำความชอบมากมาย คุณหนูสกุลหลินมากด้วยความงามและจรรยามารยาทเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาเอก จึงทรงมีพระบัญชามอบสมรสพระราชทานระหว่างคุณหนูหลิน หลินซูหนานและองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน และเสริมสร้างความมั่นคงในราชสำนัก ให้คุณหนูหลินแต่งเข้าวังบูรพา และดำรงตำแหน่งพระชายาเอกของรัชทายาทโดยเร็ว จบราชโองการ”“ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” สิ้นเสียงของโหวกงกง หลินซูหนานยังคงนั่งนิ่งคล้ายกับคนไม่มีสติ นั่นเพราะความตกใจและความไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทำให้นางไม่สามารถกล่าวอันใดออกมาได้ในทันที หัวใจของนางยามนี้เต้นรัวขึ้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความกังวล ความไม่เข้าใจ และสุดท้ายความหวาดกลัวเมื่อบุตรสาวยังนั่งนิ่ง ทำให้หลินเจิ้งหานบิดาของนางลุกขึ้นและก้าวขึ้นไปข้างหน้า พร้อมกับย่อกายลงคุกเข่ารับราชโองการอย่างนอบน้อมแทนบุตรสาว “กระหม่อมหลินเจิ้งหาน น้อมรับราชโองการ”โหวกงกงยื่นม้วนพระราชโองการให้หลินเจิ้งหานรับไว้ แล้วเขาก็กล่าวต่อ“ข้าได้รับคำสั่งให้มาส่งมอบพระราชโองการนี้ด้วยตนเอง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะดำเน
บทที่ 1 เหมือนโลกหยุดหมุนจวนราชครูหลินสตรีใบหน้างดงาม กิริยาเรียบร้อยกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือของตน ท่าทางสง่างามในทุกการเคลื่อนไหว มือขาวนวลของนางถือพู่กันด้วยความชำนาญ แสดงถึงความเป็นผู้รู้ที่สั่งสมจากการฝึกฝนมานาน นางกำลังคัดอักษรด้วยความตั้งใจ แผ่นกระดาษขาวสะอาดถูกเติมแต่งด้วยตัวอักษรที่งดงามอ่อนช้อยและเป็นระเบียบ เสียงของพู่กันยามตวัดลงบนกระดาษดังก้องภายใต้ความเงียบสงบบุตรสาวของท่านราชครูนามว่าหลินซูหนานผู้นี้ เป็นหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมและเข้มแข็งยิ่ง นางไม่เคยยอมให้ใครมารังแกโดยไม่ตอบโต้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความอ่อนหวานอยู่ในตัว ทุกการกระทำและถ้อยวาจาที่เอื้อนเอ่ยมักแสดงออกถึงความสง่างาม นางเป็นโฉมสะคราญที่มีจิตใจกล้าแกร่งและไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใด ๆ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเมตตาและอ่อนโยนต่อผู้ที่สมควรได้รับไม่เพียงแค่บุคลิกที่ดูสง่างามเท่านั้น หลินซูหนานยังเป็นหญิงสาวที่มีความงามที่สามารถสะกดทุกสายตาที่พบเห็นได้อย่างยิ่งยวด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวานละมุน ผิวพรรณขาวนวลละเอียดดุจหยก เนื้อแก้มมีสีระเรื่อ ราวกับกลีบดอกบ๊วย ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนดูชุ่มชื่นดุจดอกไม้ที่







