LOGINรอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา แม้กระทั่งตอนที่ลงจากรถและหิ้วข้าวกล่องมาตามทางเดิน กันต์ธียอมรับว่าตัวเองเป็นคนใช้ชีวิตระมัดระวังพอสมควร ทุกอย่างอยู่ภายใต้กรอบและแบบแผนที่ชัดเจน การตัดสินใจเมื่อเช้านี้จึงถือเป็นเรื่องที่บ้าระห่ำและไร้กฎเกณฑ์ในรอบหลายปีตั้งแต่เขาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
หมอหนุ่มไหวไหล่เบาๆ บางทีการได้เห็นทารกน้อยที่หน้าตาถอดแบบมาจากข้าวหวาน ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่บนโลกใบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ เผลอๆ คงออกมาเป็นเด็กที่หน้าตาน่ารักที่สุดในจักรวาลด้วยกระมัง
ถ้ามีลูกขึ้นมาจริงๆ ยายเด็กไฮโซคนสวยอาจจะชื่นบานขึ้น ความสุขของเธอก็จะได้ถูกแบ่งเบาไปอยู่ที่ลูกบ้าง ไม่ต้องมาวอแวกวนใจเขาให้ปวดหัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันอาจฟังดูเป็นวิธีแก้ปัญหาที่พิลึกพิลั่นไปสักนิด แต่เขาก็ดันลั่นปากบอกไปแล้วว่าไม่ต้องให้หญิงสาวคุมกำเนิดอีก
มาคิดกลับคำก็ไม่ทันแล้วล่ะ หลังจากนี้นายแพทย์กันต์ธีต้องใช้สอยให้ประหยัดมากขึ้น เก็บเงินไว้ซื้อแพมเพิร์สให้ลูกดีกว่า ชายหนุ่มหัวเราะขำตัวเอง ก่อนจะก้มลงมองกล่องสี่เหลี่ยมในมือ ยังไงซะก็ยังมีข้าวกินแหละวะ ไอ้ที่จะยกเลิกผูกปิ่นโตก็เป็นอันจบไปก่อน อย่างที่บอกเขาต้องประหยัด
“อเมริกาโนเย็นไหมคะหมอกันต์”
จู่ๆ ก็มีมือขาวสะอาดแตะเบาๆ บนข้อมือแกร่งของเขาระหว่างทางแยก กันต์ธีชะงักไปครู่ก่อนจะหันไปมองนีรา ซูเปอร์ไวเซอร์สาวของบริษัทยารายใหญ่ เธอยื่นแก้วกาแฟแบรนด์ดังที่คนกำลังต่อคิวยาวเหยียดให้เขาถึงมือ
“ขอบคุณครับ” ไม่มีประโยชน์ที่จะแสดงอาการปั้นปึ่ง แม้คราแรกที่ได้พบเขาจะทำหน้าไม่ถูกไปบ้าง แต่เมื่อลองสำรวจความรู้สึกภายใน ชายหนุ่มก็รู้ว่าความเสียใจทุรนทุรายไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว บางทีอาวุธที่ชื่อว่าเวลาก็มีอานุภาพน่ากลัวจริงๆ มันสามารถลบล้างความรู้สึกที่เคยลึกซึ้งให้เหลือเพียงผิวเผินอย่างคนรู้จัก ในขณะเดียวกันเวลาก็สามารถกัดเซาะคนที่เราไม่เคยคิดจะรักใคร่ให้ค่อยๆ จมและหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ
“วันนี้นิมาออร์โธค่ะ คู่ปรับวอร์ดศัลย์” หญิงสาวถือโอกาสเดินเคียงคู่ไปกับนายแพทย์หนุ่ม เมื่อเห็นเขาไม่ได้มีท่าทางเย็นชาเหมือนก่อนหน้า
“ออร์โธน่าจะขวัญใจดีเทลเลยนะ ยิงยากระจาย”
“หมอกันต์ก็ปรานีบริษัทนิบ้างแล้วกันนะคะ”
“ผมซื้อเท่าที่ขาดอยู่แล้วครับ งบน้อย”
เห็นชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ นีราก็ส่งเสียงหัวเราะตามไปบ้าง เธอลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่แสนหล่อเหลาของกันต์ธีด้วยความเสียดาย มือเล็กๆ กำแน่นจนเล็บคมจิกบนกลางฝ่ามือ นึกเคืองแค้นทุกคนที่เคยร่วมกันพรากเขา ไม่อย่างนั้นวันนี้เธอคงมีความสุข เป็นภรรยาที่เขาหวงแหน ไม่ต้องมายืนรอพบหมอตั้งแต่ตีสี่ตีห้า ทำตัวเหมือนหมาล่าเนื้อ เพื่อแลกกับรายได้ในแต่ละเดือน ทั้งหมดนี้มันไม่ยุติธรรมกับเธอเลยจริงๆ
“นิเพิ่งกลับมาได้สองสามเดือน ยังปรับตัวไม่ค่อยได้เลยค่ะ” นีราเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา ถือโอกาสชักนำชายหนุ่มเข้าเรื่องส่วนตัว
“แล้วทำไมถึงกลับมาล่ะ” ครั้งที่ตัดขาดความสัมพันธ์ นีรายืนยันหนักแน่นว่าเขากับเธอคงไม่มีทางบรรจบกันได้อีก หญิงสาวมีฝันและความต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ส่วนเขามีภาระหน้าที่ต้องดูแลครอบครัว
นีราใช้สายตาทอดอ่อนส่งไปยังชายหนุ่มแทนคำตอบ ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเศร้า “นิคิดถึงอะไรหลายอย่างที่นี่ค่ะ คิดถึงเพื่อน คิดถึงอาหาร แล้วก็คิดถึงคน”
“ก็เป็นธรรมดาแหละครับ” กันต์ธีตอบเพียงสั้นๆ ไม่ออกปากแสดงความคิดเห็นใดๆ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความนัยที่หญิงสาวพยายามส่งให้ การพบกันในวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันสายเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“มันไม่ธรรมดาหรอกค่ะ เพราะนิเลือกทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมา ความรู้สึกของนิมันจริงจัง”
“แต่ก็เก่งนะ กลับมาถึงก็เป็นซูเปอร์ไวเซอร์ได้เลย” นายแพทย์หนุ่มเสเปลี่ยนเรื่องไปทางอื่น เขารู้จักนีราดีพอๆ กับที่รู้จักตัวเอง เธอเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย เป็นผู้หญิงยุคใหม่ เป็นคนเข้มแข็งแบบที่เขานึกชื่นชมมาโดยตลอด เพียงแต่คงต้องเป็นการชื่นชมอยู่ห่างๆ ตลอดไป ไม่มีสิทธิ์เป็นอะไรได้มากกว่านั้นอีก
“เก่งเหรอคะ คงไม่จริงหรอก” นีราแกล้งทำเสียงเย้ยหยันในลำคอ “ความจริงนิจะได้เป็นผู้จัดการภาคบริษัทเครื่องมือแพทย์ของครอบครัวภรรยาหมอ แต่อยู่ๆ ทางนั้นก็บอกเลิกสัญญา ลอยแพกันดื้อๆ”
“ทำไม”
“นั่นสิ ภรรยาหมอไม่บอกอะไรเลยเหรอคะ”
“ข้าวหวานเขาไม่ได้เข้าไปอยู่ในทีมบริหารด้วย คงไม่รู้เรื่องอะไรหรอก” นายแพทย์กันต์ธีออกปากอธิบายแทนภรรยา
ยิ่งได้ฟังผู้ชายที่เคยรักเธอสุดขั้วหัวใจ กำลังกางปีกปกป้องหญิงอื่น ในอกก็เหมือนมีลูกไฟที่เผาไหม้จนทุรนทุรายไปทั่วร่าง ผู้หญิงที่ชื่อข้าวหวานคนนั้นใช้วิธีสกปรกขโมยคนรักของเธอไปแท้ๆ ทั้งที่ก่อนหน้าได้รับรู้มาว่ากันต์ธีไม่ค่อยรักใคร่กลมเกลียวกับภรรยา แต่จากสภาพการณ์ตอนนี้ มันกลายเป็นว่าใครก็แตะไฮโซสาวคนนั้นไม่ได้เลย
“ถ้าอย่างงั้นก็คงเป็นเพราะนิมีคุณสมบัติไม่พอเองมั้งคะ นิอาจจะคิดมากไป คิดแบบคนขี้แพ้ที่ต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ไว้ผมจะลองถามให้ก็แล้วกันครับ” หมอหนุ่มเลือกตอบเฉพาะเรื่องงาน เขาไม่อยากสานต่อประเด็นดรามาใดๆ ทั้งนั้น แต่จากที่ฟังก็น่าจะมีเค้าอยู่ลางๆ ว่าครอบครัวของข้าวหวานจะเลือกตัดหนทางของนีราเพียงเพราะเรื่องส่วนตัว หากทั้งหมดเกี่ยวพันมาจากตัวเขามันก็ไม่ยุติธรรมเลยสำหรับหญิงสาวที่ต้องมาเสียโอกาสทั้งที่ความสามารถของเธอไปถึง
“อย่าเลยค่ะ นิไม่อยากให้หมอมีปัญหากับภรรยา”
“ข้าวหวานไม่ใช่คนใจร้ายหรอก ถ้าคุณถูกกลั่นแกล้งจริง ผมมั่นใจว่าเขาต้องช่วยคุณแน่นอน”
“ภรรยาหมอกันต์คงเป็นคนดีแล้วก็น่ารักมากสินะคะ”
“ก็สไตล์ข้าวหวานนั่นแหละ” บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าน่ารักไหม น่ารักเป็นครั้งคราวก็แล้วกัน บางทีก็ดื้อรั้น บ้างก็งอแง แต่แค่คิดถึงท่าทางกระดี๊กระด๊าเป็นปลากระดี่ของเธอเมื่อเช้า ดวงตาเรียบนิ่งของเขาก็ทอประกายอบอุ่นขึ้น
มันอ่อนโยนลงจนคนที่ลอบมองอยู่แอบกัดปากได้รสเลือด
นีราเก็บกลั้นความริษยา ก่อนจะปั้นยิ้มสะอาดตาแบบเป็นมิตรให้กับนายแพทย์หนุ่ม “บ่ายนี้หมอกันต์ว่างไหมคะ นิอยากจะเลี้ยงข้าวสักมื้อเป็นการตอบแทนออร์เดอร์เมื่อวานค่ะ”
“ขอบคุณมาก”
“ร้านไหนดี” ซูเปอร์ไวเซอร์สาวสวยเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
กันต์ธียกกล่องในมือให้สูงขึ้น แกว่งมันเบาๆ กลิ่นหอมฉุยของอาหารก็โชยออกมาเตะจมูก ดวงตาที่แต่งแต้มด้วยอายไลน์เนอร์จนคมกริบยิ่งร้อนผะผ่าวเมื่อได้ฟังคำตอบหน้าระรื่นเคล้าเสียงหัวเราะของอดีตคนรัก
“แต่ไม่ต้องเลี้ยงข้าวผมหรอก ผมผูกปิ่นโตกับภรรยาแล้วครับ”
แซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่มีชีวิต...ผมรู้สึกแบบนั้นมาตลอด เพราะทุกครั้งที่ได้ยินข้าวหวานเป่าเจ้าเครื่องดนตรีชนิดนี้ เธอใส่อารมณ์ ใส่ความรู้สึกรวมถึงเสน่ห์ของเธอลงไปด้วย เธอเซ็กซี่เสมอยามเมื่อยืนอยู่บนฟลอร์และสะกดคนด้วยเสียงเพลงอย่างเช่นคืนที่เราอยู่บนเรือสำราญด้วยกันจริงอยู่คนอื่นอาจจะเห็นเธอในมุมของนักดนตรี ไฮโซสาวพราวเสน่ห์แต่เสน่ห์อย่างอื่นของเธอมีมากมายกว่านั้นถึงแม้ครั้งหนึ่งผมจะหลับหูหลับตา มองเธอผ่านหน้ากากแห่งอคติ แต่ได้โปรดเข้าใจกันบ้าง ตอนนั้นผมคือผู้ชายที่จำใจแต่งงานโดยไม่ได้รักผมไม่ถึงกับโกรธเกลียดข้าวหวาน แค่ขวางหูขวางตานิดหน่อย ผมทำนิสัยแย่ เธอก็ยังยิ้มอ่อน ผมเย็นชา เธอก็ยังทำข้าวกล่องให้ไปกินที่ทำงานทุกเช้า บอกตรงๆ ผมค่อนข้างได้ใจข้าวหวานเป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอรักผมมาก รักแบบที่ไม่มีทางไปไหนรอดน่าขำ…ผมไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนตลอดเวลาที่ผมเย็นชา เธออดทนเพราะหวังว่าผมคงอ่อนโยนขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้าเวลาที่ผมทำนิสัยแย่ เธอมักจะยิ้มหรือนิ่งเงียบ นั่นเพราะเธอคงไม่อยากให้เราทะเลาะกันจนบานปลายการใช้ชีวิตคู่ที่เธอพยายามและเฝ้าทะนุถนอมมันเพียงฝ่ายเดีย
แสงอาทิตย์อ่อนแสงลงจนดูอ่อนโยนกับท้องทะเล เด็กน้อยหลายคนและนกนางนวลหลายตัวกำลังเล่นลมอย่างสนุกสนาน ฉันมองภาพงดงามซึ่งเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างมีความสุข แต่ใช่ว่าชีวิตจะมีเพียงภาพอันสว่างไสวเช่นนี้เพียงอย่างเดียวคนเราล้วนมีช่วงเวลาที่หวาดกลัวที่สุดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น สำหรับฉันมันเกิดขึ้นตอนอายุสิบห้าคืนที่ฝนตกกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว เศษกระจกแตกกระจัดกระจาย รถที่พลิกคว่ำ เลือดของฉัน พ่อและแม่ นองไปกับสายฝน กระดูกแขนขาหัก มันเจ็บปวดที่ต้องนอนมองคนที่รักตายอยู่ตรงหน้า แต่กระนั้นฉันก็ยังกลัวความตายที่กำลังคืบคลานมากัดกินฉันอีกคนความอบอุ่นของฝ่ามือมนุษย์แตะเบาๆ ที่ข้างคอของฉัน ผู้ชายที่เปียกโซกไปทั้งตัว เขายิ้มอย่างอ่อนโยนท่ามกลางความมืดและคาวเลือด นับแต่นั้นฉันฝังรอยยิ้มสว่างไสวของเขาไว้ในความทรงจำ“ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ น้องจะปลอดภัยแน่นอน” เขาพูดแบบนั้นและฉันก็ปลอดภัยจริงๆ แม้ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลของคุณปู่อยู่เกือบปีอาการทางกายของฉันดีวันดีคืนเพราะอยู่ในวัยที่ร่างกายแข็งแรง ทว่าอาการทางใจมันกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆฉันมักหายใจไม่ออกเสมอ หัวใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะในช่วงคืนที่ฝนตก
สถานตากอากาศบางปูในวันสุดสัปดาห์ผู้คนหนาแน่นกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงเข้าใกล้ปลายปีแบบนี้กันต์ธีหยิบหมวกปีกกว้างสวมบนศีรษะของภรรยาสาวที่กำลังท้องแก่ อีกมือก็ก้มลงจูงเด็กชายเขตต์วัยสามขวบกว่าที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัว ที่สำคัญคือลูกเขาซนมากอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ หมอหนุ่มยังคงเป็นมนุษย์เย็นชาที่ไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย ทว่าเขากลับรักเด็กคนนี้จับจิตจับใจ“เดินรอแม่ด้วยสิลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากเตือน หนูน้อยที่อยู่ในช่วงพลังงานล้นเหลือก็ก้าวเท้าช้าลง ปล่อยมือจากบิดาและหันไปประคบประหงมมารดาแทน“คับ” เด็กชายเขตต์ยิ้มแฉ่งให้กับผู้เป็นแม่ที่ยังเดินอุ้ยอ้าย ฝีเท้าเล็กๆ ก็ขยับช้าลงฉับพลันกันต์ธีมองความอ่อนโยนของลูกชาย โชคดีที่เขตต์ได้รับนิสัยน่ารักแบบนี้มาจากฝั่งของข้าวหวาน เขาจำได้ วันที่รู้ว่าในท้องของภรรยาเป็นลูกสาวเขาก็บอกกับลูกชายคนโตว่าต่อไปจะมีน้องน้อยที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาออกมาเป็นเพื่อนเล่นอีกคน เด็กชายเขตต์ก็ดีอกดีใจ ทุกวันนี้พี่ชายตัวโตก็มักจะวิ่งเข้าโอบกอดท้องกลมเหมือนลูกแตงโมของมารดาอยู่ทุกวัน“น้องเขตต์จับมือคุณพ่อไว้นะคะ” คุณแม่ยังสาวรีบเตือนบุตรชายเมื่อเดินพ้นระยะจากลานจอดร
พ้นจากช่วงงานยุ่งติดพันมาพักใหญ่ ในที่สุดคู่สามีภรรยานักบริหารก็หาเวลาว่างมาล่องเรือสำราญกันได้สำเร็จแม้จะเป็นการมาพักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆ ราวสามสี่คืน แต่นายแพทย์กันต์ธีก็เปี่ยมไปด้วยสุขที่เห็นภรรยาสาวผ่อนคลายลง เธอดูสดใสและเปล่งปลั่งขึ้นจนเขารู้สึกได้ ผิวขาวน้ำนมของหญิงสาวเหมือนจะเปล่งรัศมีเรืองแสง ยิ่งยามที่เธอเฉิดฉายอยู่ในชุดสีแดงแบบนี้ด้วย เขาไม่เหลือสายตาไปมองใครเลยแม้แต่วินาทีเดียว“เรือลำเดิมเลยค่ะพี่กันต์ จำได้หรือเปล่า”“จำได้สิครับ” ชายหนุ่มเดินโอบไหล่บอบบางพาไปยังบริเวณราวเหล็กด้านข้างเรือ ตั้งใจว่ารอให้แดดร่มลมตกกว่านี้ก่อนค่อยชักชวนภรรยาสาวขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าสำหรับดินเนอร์มื้อค่ำ“ที่บอกว่าจำได้เนี่ย คือจำว่ามากับหวาน หรือมากับดีเทลยาคนนั้นที่พากันเข้าห้องไปคะ” หญิงสาวเปิดปากกระแนะกระแหน ในใจก็นึกว่าจะไม่จิกกัดเขาเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว แต่เมื่อก้าวขามาอยู่บนเรือสำราญ หัวใจมันคันยุบยิบ ปล่อยไปกันต์ธีก็เหมือนจะลอยตัว วันนี้เลยขอเคลียร์สิ่งที่ค้างคาสักหน่อย แล้วเธอจะมูฟออนจากเรื่องสาวๆ ของเขาเสียที“โธ่ หวาน”“อย่ามาทำเสียงแบบนั้นกลบเกลื่อนค่ะพี่กันต์ มันไม่ได้ผล” ไฮโซสาวยกแข
ทริปล่องเรือสำราญล่มไม่เป็นท่าเพราะนายแพทย์หนุ่มป่วยจนไข้ขึ้นถึงแม้กันต์ธีจะพยายามผงกหัวแล้วร้องโวยวายเสียงแหบพร่า บอกกับหญิงสาวว่าให้เตรียมตัวไปทริป แต่ด้วยสภาพของเขาที่มันตรงกันข้าม พอเริ่มงอแงหนักข้อขึ้น ไฮโซสาวก็เปลี่ยนมายืนเท้าเอว พลิกจากลูกโอ๋เป็นดุเสียงเข้มแทน“ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ยืนยันจะไปล่องเรือ หวานจะได้ไม่ต้องขนของกลับมาที่นี่”“ทำไมล่ะ” คนป่วยเบิกตาโต เสียงแห้งไปกว่าเดิมอีกพันเท่า พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนหมดเรี่ยวหมดแรง“ก็หวานจะเอาวันหยุดของเรา ย้ายของซะหน่อย ถ้าพี่กันต์อยากไปเที่ยวมาก งั้นเรื่องขนของกลับมาที่นี่ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ค่ะ”ได้ยินเหตุผลของหญิงสาว คนดื้อก็เด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าซีดเผือดเริ่มกลับมามีสีเลือดพร้อมกับทำเสียงจริงจัง จนคนที่แอบมองอยู่ต้องอมยิ้ม “ได้ยินกรมอุตุบอกว่าช่วงนี้คลื่นลมแรง เราอยู่บ้านก็ดีเหมือนกัน”“พูดง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อยค่ะ”“แล้วรักไหม” ไม่ใช่เพราะพิษไข้นี่หรอกที่ทำให้เขาอยากออดอ้อน แต่เพราะความรักที่ท่วมท้นล้นเอ่อ ในหัวใจมันรู้สึกหวานๆ คล้ายอยากให้เธอเติมคำว่ารักเข้ามาเพิ่ม อยากได้ยินอยู่แบบนั้นราวกับมันเป็นเสียงดนตรีบรรเลงที่อยา
หลังส่งมารดาขึ้นรถกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์หนุ่มก็เดินเข้าครัวเพื่ออุ่นซุปเยื่อไผ่กระดูกอ่อน เดือดพลุ่งทั่วหม้อเขาก็ยกลงตักใส่ถ้วยกระเบื้อง พยายามฝืนกลืนให้ตัวมีแรง ในใจคิดไปว่าฝีมือมารดาคงอร่อยมากหากได้กินในช่วงเวลาปกติ ทว่าตอนนี้ปากของเขาเริ่มขมปร่าไม่รู้รสชาติเสียแล้ว กลิ่นที่ควรหอมฟุ้งจากน้ำต้มซุปกระดูกหมูก็ไม่พาเข้าสู่โสตประสาทใดๆเมื่อท้องอุ่นขึ้น คนใกล้ป่วยก็พาตัวเองไปยังห้องนอนกว้างข้าวหวานมักหาเวลามานอนค้างด้วยที่นี่เป็นบางครั้ง แต่หลังจากค่ำคืนที่หญิงสาวกลับไป เขาจะยิ่งทุรนทุรายด้วยความคิดถึงกว่าเดิมเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง เฉกเช่นคืนนี้ที่หลานสาวเจ้าสัวต้องควงปู่เพชรไปงานเลี้ยงที่สมาคม ส่วนเขาเร่งมือเคลียร์งานจึงไปกับเธอไม่ได้ ช่วงเวลาของการได้พบหน้าในตอนกลางวันมันไม่เพียงพอ ทั้งที่รู้สึกอ่อนเพลียขนาดนี้ แต่กันต์ธีก็ยังหลับไม่ลง‘นอนหรือยังคะ’ ข้อความที่เด้งขึ้นจากแอปพลิเคชันสนทนา ทำให้คนที่กำลังน้อยอกน้อยใจเปิดปากยกยิ้ม เขารีบพิมพ์กลับไปทันทีแบบไม่เล่นตัว‘ยังไม่นอน คิดถึงข้าวหวานจัง’ครู่ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็แผดร้องขึ้น ชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงยกขึ้นปัดรับด้







