Mag-log in“เป็นอะไรวะ” นายแพทย์ธาดาถามเมื่อเพื่อนดูมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าปกติ ศัลยแพทย์ผู้เยือกเย็นและเก็บอารมณ์ได้ดีอยู่เสมอกลับแสดงความหงุดหงิด และยกแก้วกรอกเหล้าเข้าปากมาตลอดครึ่งชั่วโมงที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“เบื่อ อยากหย่าว่ะ”
“เฮ้ย มึงโง่ปะเนี่ย เพียบพร้อมแบบคุณหวาน ชาตินี้มึงจะหาที่ไหนอีก”
“เออ ก็อยากปล่อยเขาไปหาคนที่ดีกว่ากูนั่นแหละ” กันต์ธีหมายความตามที่พูดจริงๆ บางทีการอยู่กับเขาอาจทำให้หญิงสาวเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิต
“มีเยอะแน่ๆ ไอ้กันต์ มึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นเลย” ผู้หญิงแบบไฮโซข้าวหวาน สวยเหมือนดาราออราพุ่งกระจายด้วยรูปลักษณ์ ไหนจะฐานะเงินทองที่มั่งคั่ง พ่อตาแม่ยายก็ตายจากไปหมดแล้ว ไม่มีพี่น้องมาคอยแย่งสมบัติ คุณสมบัติแบบนี้ผู้ชายทั่วประเทศก็พร้อมจะเอื้อมมือคว้าไว้อยู่แล้ว ต่อให้เธอจะแต่งงานซ้ำแล้วซ้ำอีกกี่รอบก็ตาม
“ข้าวหวานเขาอยากมีลูก”
“ก็แต่งงานมาสักพักแล้วไง เพื่อนรุ่นเราก็เริ่มทยอยมีลูกกันคนสองคนแล้วนะเว้ย” จริงอยู่ว่าคนสมัยนี้แต่งงานช้าลงมาก แต่ด้วยวัยของเขากับกันต์ธีที่อายุก็ล่วงเข้าสามสิบกว่ากันแล้ว แถมด้วยความมั่นคงทั้งสามีภรรยา เมียเพื่อนเขาจะอยากมีลูกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“แต่กูไม่อยากมีไง”
“นี่มึงไม่รักเขาเลยเหรอ”
“เฉยๆ”
“เอาให้แน่นะโว้ย”
“มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้รักเขามาตั้งแต่ต้น”
“แต่มึงก็ยอมแต่งงานกับเขาไงไอ้กันต์”
“เออ ก็คำว่าความรับผิดชอบนี่แหละทำให้กูต้องติดแหง็กอยู่แบบนี้” นายแพทย์กันต์ธียกมือกวักเรียกบริกรเพื่อสั่งแอลกอฮอล์เพิ่ม ก่อนจะพ่นคำที่อยู่ในใจออกมาอีก “แต่เขาเองก็รู้ทั้งรู้ ยอมมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักตัวเองก็ต้องรับสภาพสิวะ”
“เขาก็แค่คว้าโอกาสไหมวะ เขาเลือกอย่างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองไง”
“นี่ตกลงมึงเพื่อนใครไอ้ธาดา”
“เพื่อนมึง กูถึงได้เตือนมึงอยู่นี่ไง” นายแพทย์ธาดาหรี่ตามองเพื่อนรักก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ กันต์ธีเป็นคนหัวแข็ง วันที่ตัดสินใจยอมแต่งงานกับไฮโซคนสวย อาจมีหลายเหตุผลร่วมกันก็จริง แต่เพื่อนแบบเขาก็เคยเดาไว้แล้วว่ากันต์ธีจะต้องหย่าขาดภายในสามเดือนหกเดือนอย่างแน่นอน ก็นิสัยมันแย่ขนาดนั้น แย่ในแบบที่ว่าไม่เคยถนอมน้ำใจใครบนโลกใบนี้ ความอดทนก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน บวกกับความไม่รักมาเป็นทุนอยู่ก่อนตั้งแต่เริ่ม หากผ่านหกเดือนแรกไปได้เขาก็คิดว่าข้าวหวานอาจจะเส้นเลือดในสมองแตกไปแล้ว
ทว่านี่มันผ่านมาสามปี และกันต์ธีเองก็คงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ถึงจะบ่นว่าเบื่อหน่ายสารพัด แต่ก็ยอมให้
หญิงสาวลากไปเดินชมแกลลอรีศิลปะ ยอมไปฟังเพลงแจซ ยอมไปนั่งรอภรรยาสอนดนตรีเด็กในวันว่างข้าวกล่องมื้อเที่ยงที่เจ้าตัวบ่นว่าไม่อร่อยมาโดยตลอด กันต์ธีก็ไม่เคยทิ้งขว้างหรือแม้แต่แบ่งปันให้ใคร ไอ้หมอนี่มันกินจนหมดทุกวันโดยไม่เคยใช้บริการศูนย์อาหารของโรงพยาบาลเลยสักมื้อ
ถ้าบอกว่าทั้งหมดนี่คือการฝืนทน เขาก็คิดว่าเพื่อนสนิทคนนี้สามารถฝืนทั้งต่อหน้าและลับหลังภรรยาได้ดีชะมัด เพราะฉะนั้นในเรื่องการหย่าขาดอะไรจึงไม่เคยอยู่ในหัวของธาดาเลยสักนิด แต่พอมาได้ยินวันนี้จากปากเพื่อนก็ต้องยอมรับว่าค่อนข้างตกใจเลยทีเดียว
เสียงดนตรีสดยังเล่นต่อไปเรื่อยๆ...
พร้อมกับที่มีกลุ่มลูกค้าใหม่เดินเข้ามาอีกสองสามคน ดูจากท่าทางเดาได้เลยว่าคงเป็นไฮโซหรือนักธุรกิจที่พากันมาสังสรรค์
“มีอะไรวะ” ธาดาแปลกใจที่เห็นสายตาของกันต์ธีมองไปยังกลุ่มนั้นหลายครั้ง
“ญาติ” คำตอบของหมอกันต์ธีเจือน้ำเสียงแปลกประหลาด คล้ายมีแววอริไม่เป็นมิตรเฉกเช่นคนที่เป็นญาติพึงกระทำ
ต่อกันครู่เดียวหนึ่งในสมาชิกจากกลุ่มนักท่องราตรีไฮโซก็มาเยือนถึงโต๊ะ เป็นผู้ชายหน้าตาดีจัด บุคลิกก็ดูมั่นอกมั่นใจสมกับที่เป็นนักธุรกิจหนุ่ม นายแพทย์ธาดายิ้มให้แบบคนเฟรนด์ลี เหลือบสายตามองหน้าเพื่อนตัวเอง กลับเห็นท่าทางเหมือนหมาป่าดุร้าย ที่แม้จะเก็บเขี้ยวเล็บไว้เป็นอย่างดี แต่กระแสอารมณ์ของความไม่ชอบขี้หน้ากลับแผ่ซ่านออกมาชัดเจน
เมื่อกี้ฟังผิดไปหรือเปล่าวะ มันว่าญาติหรืออาฆาตกันแน่
“นั่งก่อนสิครับ” กันต์ธีเป็นฝ่ายเอ่ยชวน และอีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงนั่งแบบไม่เกรงใจเช่นกัน “นี่ไอ้ธาดาเพื่อนผมครับเป็นหมอ ส่วนนี่คุณเหนือฟ้า”
“สวัสดีครับ” หมอธาดากล่าวทักทายผู้มาใหม่ แม้จะงงอยู่
บ้างที่เพื่อนไม่ยอมแจ้งสถานะก็ตาม ญาติฝ่ายไหนของมึงวะ ไอ้คุณเหนือฟ้านี่…“ไม่ยักจะรู้ว่าหมอก็มีเวลาว่างมาเที่ยวเหมือนกัน” ญาติที่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนในสายตาของธาดาทักทายกลับ แต่สายตาก็พุ่งเป้าไปที่กันต์ธีเพียงอย่างเดียว
“หมอก็เป็นคนไม่ใช่เสาน้ำเกลือนี่ครับ ชีวิตถึงจะได้อยู่แค่โรงพยาบาล”
“ก็ดี ข้าวหวานจะได้ไม่เหงาจนเกินไป”
คงเพราะชื่อของภรรยาที่ออกจากปากผู้ชายตรงหน้ากระมัง ที่ทำให้ดวงตาเฉยเมยของกันต์ธีเข้มขึ้นอีกหลายระดับ ก่อนจะกดลงให้เหลือเพียงความว่างเปล่า และน้ำเสียงที่เย็นชาจับขั้วหัวใจ
“เป็นห่วงหลานสาวงั้นเหรอครับ”
“ใช่ ผมเป็นห่วงข้าวหวานอยู่ตลอด” เหนือฟ้ารับคำหน้าตาเฉย ทั้งที่ภายในใจเหมือนมีไฟสุมให้คุกรุ่น ไอ้หมอนี่ได้โอกาสดูแลคนสำคัญในชีวิตเขาไปแล้วแท้ๆ แต่กลับดูแลข้าวหวานแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหญิงสาวต้องเจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหนที่ต้องอยู่กับคนยโสโอหังและขวางโลก อีโก้สูงทะลุจักรวาล ในขณะที่ฐานะทางการเงินต่ำเตี้ยเหมือนอยู่ในนรกอเวจี พูดก็พูดเถอะเพิ่งเคยเห็นผัวจนแต่กดขี่เมียรวย เห็นหน้ามันแล้วทุเรศจนต้องเดินมาหาเรื่องถึงโต๊ะ แต่ก็ทนสนทนากับมันต่อไปไม่ไหว จนต้องรีบลุกเหมือนกัน
“จะไปแล้วเหรอครับคุณเหนือฟ้า” เป็นธาดาที่ออกปากถาม
“ครับ พอดีผมพาลูกค้ามาเอนเตอร์เทน เห็นหมอกันต์เลยแวะมาทักทาย ก็อย่างที่บอกผมนึกไม่ถึงว่าหมอจะมีเวลาว่างมานั่งดื่มแบบนี้ด้วย”
“ผมก็คงถึงเวลาต้องกลับแล้วเหมือนกัน” กันต์ธีเอ่ยปากขึ้นพร้อมกับยกยิ้มร้ายกาจ “เพราะหวานก็คงคิดถึงผมมากแล้ว”
“ก็ดี” เหนือฟ้าข่มความโกรธและอิจฉา ลุกเดินออกมาจากโต๊ะของนายแพทย์ทั้งสองทันที
คล้อยหลังนักธุรกิจหนุ่มหน้าตาสะอาด นายแพทย์ธาดาก็เปิดปากถามถึงสิ่งที่สงสัยอย่างเร่งด่วน “ญาติฝ่ายไหนของมึงวะ”
“ญาติเมีย”
“ลูกพี่ลูกน้องน่ะเหรอ” หมอหนุ่มคิดเดาเอาจากบุคลิกหน้าตาของเหนือฟ้าว่าคงจะเป็นรุ่นน้องพวกเขาสักสามสี่ปีเห็นจะได้
“อา เขาเป็นอาของข้าวหวาน”
“ฮ้า”
“ลูกบุญธรรมของท่านเพชร ปู่ข้าวหวานไง”
“ที่ว่าพ่อตามึงไปขับรถชนพ่อแม่เขาตายหมดนั่นอะนะ”
“อืม คุณปู่เลยรับมาเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่ยังเรียนอยู่มหา’ลัยนั่นแหละ” กันต์ธีกระดกเหล้าแก้วสุดท้ายเข้าปากและชักชวนนายแพทย์ธาดาให้กลับบ้านพร้อมกัน อยู่ต่อก็ไม่เกิดความรื่นเริงบันเทิงใจเสียแล้ว เพราะต้องมาเจอบุคคลที่เหม็นขี้หน้าในสถานที่ที่ตั้งใจมาพักผ่อน
อาเหนือของข้าวหวาน
อาที่เพิ่งอายุเพียงแค่สามสิบ อานอกไส้ที่ใส่ใจดูแลหลานสาวเกินเหตุ ต่อให้มองลงมาจากชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาล เขาก็รู้ว่ามันคิดยังไงกับข้าวหวาน ไอ้เหนือฟ้าไม่ได้มีสายตาให้เมียเขาแบบบริสุทธิ์ใจ
“กลับเลยเหรอวะ”
“จะอยู่ทำอะไรอีกล่ะ” เสียอารมณ์หมดแล้ว
“กูนึกว่ามึงพูดเล่น ที่ไหนได้มึงกลับไปเอาใจเมียจริงๆ สินะ”
“กูไม่ได้เอาใจใคร”
“มึงนี่นะ” ธาดาส่ายหัวไม่หยุดแบบที่เป็นนอตก็เกลียวหวานไปแล้ว เอือมระอากับความเย็นชาเกินกว่าเหตุของเพื่อนสนิท “ตอนอยู่ไม่เห็นค่า ตอนบอกลาอย่าเสียดายนะไอ้กันต์”
แซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่มีชีวิต...ผมรู้สึกแบบนั้นมาตลอด เพราะทุกครั้งที่ได้ยินข้าวหวานเป่าเจ้าเครื่องดนตรีชนิดนี้ เธอใส่อารมณ์ ใส่ความรู้สึกรวมถึงเสน่ห์ของเธอลงไปด้วย เธอเซ็กซี่เสมอยามเมื่อยืนอยู่บนฟลอร์และสะกดคนด้วยเสียงเพลงอย่างเช่นคืนที่เราอยู่บนเรือสำราญด้วยกันจริงอยู่คนอื่นอาจจะเห็นเธอในมุมของนักดนตรี ไฮโซสาวพราวเสน่ห์แต่เสน่ห์อย่างอื่นของเธอมีมากมายกว่านั้นถึงแม้ครั้งหนึ่งผมจะหลับหูหลับตา มองเธอผ่านหน้ากากแห่งอคติ แต่ได้โปรดเข้าใจกันบ้าง ตอนนั้นผมคือผู้ชายที่จำใจแต่งงานโดยไม่ได้รักผมไม่ถึงกับโกรธเกลียดข้าวหวาน แค่ขวางหูขวางตานิดหน่อย ผมทำนิสัยแย่ เธอก็ยังยิ้มอ่อน ผมเย็นชา เธอก็ยังทำข้าวกล่องให้ไปกินที่ทำงานทุกเช้า บอกตรงๆ ผมค่อนข้างได้ใจข้าวหวานเป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอรักผมมาก รักแบบที่ไม่มีทางไปไหนรอดน่าขำ…ผมไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนตลอดเวลาที่ผมเย็นชา เธออดทนเพราะหวังว่าผมคงอ่อนโยนขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้าเวลาที่ผมทำนิสัยแย่ เธอมักจะยิ้มหรือนิ่งเงียบ นั่นเพราะเธอคงไม่อยากให้เราทะเลาะกันจนบานปลายการใช้ชีวิตคู่ที่เธอพยายามและเฝ้าทะนุถนอมมันเพียงฝ่ายเดีย
แสงอาทิตย์อ่อนแสงลงจนดูอ่อนโยนกับท้องทะเล เด็กน้อยหลายคนและนกนางนวลหลายตัวกำลังเล่นลมอย่างสนุกสนาน ฉันมองภาพงดงามซึ่งเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างมีความสุข แต่ใช่ว่าชีวิตจะมีเพียงภาพอันสว่างไสวเช่นนี้เพียงอย่างเดียวคนเราล้วนมีช่วงเวลาที่หวาดกลัวที่สุดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น สำหรับฉันมันเกิดขึ้นตอนอายุสิบห้าคืนที่ฝนตกกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว เศษกระจกแตกกระจัดกระจาย รถที่พลิกคว่ำ เลือดของฉัน พ่อและแม่ นองไปกับสายฝน กระดูกแขนขาหัก มันเจ็บปวดที่ต้องนอนมองคนที่รักตายอยู่ตรงหน้า แต่กระนั้นฉันก็ยังกลัวความตายที่กำลังคืบคลานมากัดกินฉันอีกคนความอบอุ่นของฝ่ามือมนุษย์แตะเบาๆ ที่ข้างคอของฉัน ผู้ชายที่เปียกโซกไปทั้งตัว เขายิ้มอย่างอ่อนโยนท่ามกลางความมืดและคาวเลือด นับแต่นั้นฉันฝังรอยยิ้มสว่างไสวของเขาไว้ในความทรงจำ“ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ น้องจะปลอดภัยแน่นอน” เขาพูดแบบนั้นและฉันก็ปลอดภัยจริงๆ แม้ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลของคุณปู่อยู่เกือบปีอาการทางกายของฉันดีวันดีคืนเพราะอยู่ในวัยที่ร่างกายแข็งแรง ทว่าอาการทางใจมันกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆฉันมักหายใจไม่ออกเสมอ หัวใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะในช่วงคืนที่ฝนตก
สถานตากอากาศบางปูในวันสุดสัปดาห์ผู้คนหนาแน่นกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงเข้าใกล้ปลายปีแบบนี้กันต์ธีหยิบหมวกปีกกว้างสวมบนศีรษะของภรรยาสาวที่กำลังท้องแก่ อีกมือก็ก้มลงจูงเด็กชายเขตต์วัยสามขวบกว่าที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัว ที่สำคัญคือลูกเขาซนมากอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ หมอหนุ่มยังคงเป็นมนุษย์เย็นชาที่ไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย ทว่าเขากลับรักเด็กคนนี้จับจิตจับใจ“เดินรอแม่ด้วยสิลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากเตือน หนูน้อยที่อยู่ในช่วงพลังงานล้นเหลือก็ก้าวเท้าช้าลง ปล่อยมือจากบิดาและหันไปประคบประหงมมารดาแทน“คับ” เด็กชายเขตต์ยิ้มแฉ่งให้กับผู้เป็นแม่ที่ยังเดินอุ้ยอ้าย ฝีเท้าเล็กๆ ก็ขยับช้าลงฉับพลันกันต์ธีมองความอ่อนโยนของลูกชาย โชคดีที่เขตต์ได้รับนิสัยน่ารักแบบนี้มาจากฝั่งของข้าวหวาน เขาจำได้ วันที่รู้ว่าในท้องของภรรยาเป็นลูกสาวเขาก็บอกกับลูกชายคนโตว่าต่อไปจะมีน้องน้อยที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาออกมาเป็นเพื่อนเล่นอีกคน เด็กชายเขตต์ก็ดีอกดีใจ ทุกวันนี้พี่ชายตัวโตก็มักจะวิ่งเข้าโอบกอดท้องกลมเหมือนลูกแตงโมของมารดาอยู่ทุกวัน“น้องเขตต์จับมือคุณพ่อไว้นะคะ” คุณแม่ยังสาวรีบเตือนบุตรชายเมื่อเดินพ้นระยะจากลานจอดร
พ้นจากช่วงงานยุ่งติดพันมาพักใหญ่ ในที่สุดคู่สามีภรรยานักบริหารก็หาเวลาว่างมาล่องเรือสำราญกันได้สำเร็จแม้จะเป็นการมาพักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆ ราวสามสี่คืน แต่นายแพทย์กันต์ธีก็เปี่ยมไปด้วยสุขที่เห็นภรรยาสาวผ่อนคลายลง เธอดูสดใสและเปล่งปลั่งขึ้นจนเขารู้สึกได้ ผิวขาวน้ำนมของหญิงสาวเหมือนจะเปล่งรัศมีเรืองแสง ยิ่งยามที่เธอเฉิดฉายอยู่ในชุดสีแดงแบบนี้ด้วย เขาไม่เหลือสายตาไปมองใครเลยแม้แต่วินาทีเดียว“เรือลำเดิมเลยค่ะพี่กันต์ จำได้หรือเปล่า”“จำได้สิครับ” ชายหนุ่มเดินโอบไหล่บอบบางพาไปยังบริเวณราวเหล็กด้านข้างเรือ ตั้งใจว่ารอให้แดดร่มลมตกกว่านี้ก่อนค่อยชักชวนภรรยาสาวขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าสำหรับดินเนอร์มื้อค่ำ“ที่บอกว่าจำได้เนี่ย คือจำว่ามากับหวาน หรือมากับดีเทลยาคนนั้นที่พากันเข้าห้องไปคะ” หญิงสาวเปิดปากกระแนะกระแหน ในใจก็นึกว่าจะไม่จิกกัดเขาเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว แต่เมื่อก้าวขามาอยู่บนเรือสำราญ หัวใจมันคันยุบยิบ ปล่อยไปกันต์ธีก็เหมือนจะลอยตัว วันนี้เลยขอเคลียร์สิ่งที่ค้างคาสักหน่อย แล้วเธอจะมูฟออนจากเรื่องสาวๆ ของเขาเสียที“โธ่ หวาน”“อย่ามาทำเสียงแบบนั้นกลบเกลื่อนค่ะพี่กันต์ มันไม่ได้ผล” ไฮโซสาวยกแข
ทริปล่องเรือสำราญล่มไม่เป็นท่าเพราะนายแพทย์หนุ่มป่วยจนไข้ขึ้นถึงแม้กันต์ธีจะพยายามผงกหัวแล้วร้องโวยวายเสียงแหบพร่า บอกกับหญิงสาวว่าให้เตรียมตัวไปทริป แต่ด้วยสภาพของเขาที่มันตรงกันข้าม พอเริ่มงอแงหนักข้อขึ้น ไฮโซสาวก็เปลี่ยนมายืนเท้าเอว พลิกจากลูกโอ๋เป็นดุเสียงเข้มแทน“ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ยืนยันจะไปล่องเรือ หวานจะได้ไม่ต้องขนของกลับมาที่นี่”“ทำไมล่ะ” คนป่วยเบิกตาโต เสียงแห้งไปกว่าเดิมอีกพันเท่า พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนหมดเรี่ยวหมดแรง“ก็หวานจะเอาวันหยุดของเรา ย้ายของซะหน่อย ถ้าพี่กันต์อยากไปเที่ยวมาก งั้นเรื่องขนของกลับมาที่นี่ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ค่ะ”ได้ยินเหตุผลของหญิงสาว คนดื้อก็เด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าซีดเผือดเริ่มกลับมามีสีเลือดพร้อมกับทำเสียงจริงจัง จนคนที่แอบมองอยู่ต้องอมยิ้ม “ได้ยินกรมอุตุบอกว่าช่วงนี้คลื่นลมแรง เราอยู่บ้านก็ดีเหมือนกัน”“พูดง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อยค่ะ”“แล้วรักไหม” ไม่ใช่เพราะพิษไข้นี่หรอกที่ทำให้เขาอยากออดอ้อน แต่เพราะความรักที่ท่วมท้นล้นเอ่อ ในหัวใจมันรู้สึกหวานๆ คล้ายอยากให้เธอเติมคำว่ารักเข้ามาเพิ่ม อยากได้ยินอยู่แบบนั้นราวกับมันเป็นเสียงดนตรีบรรเลงที่อยา
หลังส่งมารดาขึ้นรถกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์หนุ่มก็เดินเข้าครัวเพื่ออุ่นซุปเยื่อไผ่กระดูกอ่อน เดือดพลุ่งทั่วหม้อเขาก็ยกลงตักใส่ถ้วยกระเบื้อง พยายามฝืนกลืนให้ตัวมีแรง ในใจคิดไปว่าฝีมือมารดาคงอร่อยมากหากได้กินในช่วงเวลาปกติ ทว่าตอนนี้ปากของเขาเริ่มขมปร่าไม่รู้รสชาติเสียแล้ว กลิ่นที่ควรหอมฟุ้งจากน้ำต้มซุปกระดูกหมูก็ไม่พาเข้าสู่โสตประสาทใดๆเมื่อท้องอุ่นขึ้น คนใกล้ป่วยก็พาตัวเองไปยังห้องนอนกว้างข้าวหวานมักหาเวลามานอนค้างด้วยที่นี่เป็นบางครั้ง แต่หลังจากค่ำคืนที่หญิงสาวกลับไป เขาจะยิ่งทุรนทุรายด้วยความคิดถึงกว่าเดิมเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง เฉกเช่นคืนนี้ที่หลานสาวเจ้าสัวต้องควงปู่เพชรไปงานเลี้ยงที่สมาคม ส่วนเขาเร่งมือเคลียร์งานจึงไปกับเธอไม่ได้ ช่วงเวลาของการได้พบหน้าในตอนกลางวันมันไม่เพียงพอ ทั้งที่รู้สึกอ่อนเพลียขนาดนี้ แต่กันต์ธีก็ยังหลับไม่ลง‘นอนหรือยังคะ’ ข้อความที่เด้งขึ้นจากแอปพลิเคชันสนทนา ทำให้คนที่กำลังน้อยอกน้อยใจเปิดปากยกยิ้ม เขารีบพิมพ์กลับไปทันทีแบบไม่เล่นตัว‘ยังไม่นอน คิดถึงข้าวหวานจัง’ครู่ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็แผดร้องขึ้น ชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงยกขึ้นปัดรับด้