LOGINบทที่ 5 ไฟซ่อนเถ้า
ข่าวคราวการกลับมาของอดีตฮองเฮาผู้เป็นมารดาแท้ ๆ ของฮ่องเต้ ลามไปทั่วทั้งราชสำนัก วันนี้ ขุนนางสายกลางและสายเก่าจำนวนหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหว
และหนึ่งในนั้นก็คือ หลี่ต้าหยง ขุนนางอาวุโสแห่งกรมพิธีการ ผู้ขึ้นชื่อว่า เคร่งคุณธรรมแต่แท้จริงคือมือขวาผู้ภักดีของอดีตฮ่องเต้
“ฝ่าบาท…”
หลี่ต้าหยงก้าวออกมากลางท้องพระโรง
“ข้าน้อยตระหนักดีว่าเรื่องนี้กระทบใจยิ่งนัก แต่…ในฐานะผู้อาวุโส ข้าน้อยไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป”
ฮ่องเต้ปรายตาอย่างนิ่งเฉย ท่าทางไม่แสดงอารมณ์
“ว่ามา”
“เจิ้งซูเฟย…แม้เคยมีข้อครหาในอดีต แต่ก็หาได้มีมูลความผิดอันชัดแจ้ง และที่สำคัญนางคือผู้ให้กำเนิดฝ่าบาท หากราชสำนักปล่อยให้มารดาของจักรพรรดิถูกทอดทิ้งเยี่ยงนี้…เกรงว่าอาจเสียหายต่อธรรมเนียมและหลักคุณธรรมของแผ่นดิน”
เสียงฮือฮาเริ่มดังขึ้นในหมู่ขุนนาง
ขุนนางบางคนพยักหน้า บางคนยังนิ่ง แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้านโจ่งแจ้ง
“…นี่มิใช่เรื่องว่าคู่ควรหรือเหมาะสมหรือไม่ หากแต่คือเรื่องของหลักการ”
หลี่ต้าหยงจงใจกล่าวเสียงหนักแน่น ฮ่องเต้นิ่งงัน มือประสานไว้บนตัก ดวงเนตรเยียบเย็นคล้ายครุ่นคิดหนัก ก่อนจะกล่าวเสียงช้า
“เรื่องนี้…ข้าจะใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนท่านทั้งหลายควรเข้าใจดีว่าผู้ใดเติบโตในวังนี้ย่อมยากจะลืมอดีตที่ฝังลึก”
เขาหยุดเสี้ยวหนึ่งของแววตาดูเหมือนเจ็บปวด
“แต่หากขุนนางทั้งหลายเห็นพ้องกันว่า เพื่อความเป็นธรรมและหลักการ ควรคืนศักดิ์ศรีให้นาง…ข้าก็…จักจำใจยอม”
ไท่หวงไท่โฮว่ยืนพิงหน้าต่าง
ฟังข่าวรายงานจากขันทีสนิท พลางยกพัดขึ้นกลบใบหน้าครึ่งหนึ่ง
“หลี่ต้าหยง…” นางพึมพำเสียงเย็น “เป็นคนของใครกันแน่”
ขันทีเงยหน้ากระซิบ “ขอทรงอภัย…เขาเคยเป็นคนของอดีตฮ่องเต้มาก่อนสมัยที่ยังไม่มีพระราชอำนาจเต็ม”
ดวงเนตรของไท่หวงไท่โฮว่วูบไหว
“เช่นนั้นทุกอย่าง อาจไม่ได้เกิดเพราะแรงกดดันจากขุนนาง…แต่เพราะแผนของใครบางคนต่างหาก”
ในวังหลวง…ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่า บังเอิญ
รุ่งเช้าในทุก ๆ วัน วังต้องห้ามเงียบสงบแต่เช้าวันนี้กลับมีเสียงวิ่งเร่งรีบของขันที และเงาขุนนางที่มาเร็วกว่าทุกวัน
ข่าวนักฆ่าที่พยายามลอบปลงพระชนม์เจิ้งซูเฟยที่พักส่วนหน้าของวัง แพร่ไปในชั่วคืน…และลุกลามราวเปลวเพลิงบนกองฟางแห้ง
ในท้องพระโรง
ฮ่องเต้นั่งประทับบนบัลลังก์ ท่ามกลางขุนนางที่ทยอยคุกเข่า
หลายคนแสดงความตกใจ หลายคนกล่าวว่า
“ไม่สมควรมีเรื่องอัปรีย์เช่นนี้ในระหว่างที่นางเพิ่งปรากฏตัว” เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว
“หม่อมฉันขอฝ่าบาทโปรดพิจารณา ไต่สวนหาตัวผู้อยู่เบื้องหลัง” เป็นเสียงของ จิ่นกั๋วกง ผู้ซึ่งเคยเป็นคนของไท่หวงไท่โฮว่ในอดีต
ฮ่องเต้ปรายตามอง ก่อนพยักหน้า
“ดี…เช่นนั้นจงเปิดการไต่สวนในชั้นต้น”
ภายในตำหนักไท่ฮวา
“โกรธ”
“เจิ้งซูเฟยถูกลอบฆ่า” บังเอิญเกินไปหรือไม่ ไท่หวงไท่โฮว่ทำหน้าตกตะลึง ราวกับไม่รู้เรื่อง
“เช่นนั้น…เป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่ง!”
“คนของเจิ้งซูเฟยยังไม่กลับเข้าวัง ก็มีผู้คิดล้างชีวิตแล้วหรือ หากปล่อยไว้ ย่อมกระทบเกียรติราชวงศ์!”
ขันทีสนิทก้มหน้า
“กระหม่อมให้คนส่งตัว ‘สตรีที่พัวพัน’ เมื่อคืนไปแล้ว นางเป็นเพียงอดีตนางข้าหลวงที่เคยรับใช้เจิ้งซูเฟยสมัยก่อน…แต่มิรู้ใครนำกลับมาใหม่ และไม่รู้ว่าเหตุใดเป็นนางที่ได้ไปดูแลเจิ้งซูเฟยอีกครั้ง”
“เช่นนั้น…” ไท่หวงไท่โฮว่กระซิบเย็น “ก็จงให้เรื่องจบที่นาง”
นางข้าหลวงคนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลยแม้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดหาใช่ความผิดของตนนางเพียงยิ้มขื่นเมื่อถูกประหาร ราวกับรู้อยู่แก่ใจว่า เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในวังหลังนี้ ช่างเถอะก้าวเข้ามาก็คือตายจากโลกภายนอกไปแล้ว
“นางตายแล้วหรือ”
ซูเฟยถามเบา ๆ ขณะยืนมองทิวสนบนเขา ฮ่องเต้พยักหน้า
“ถูกปิดปาก…แต่ไม่ใช่คำตอบที่ข้าอยากได้จากเจ้า” นางตื่นมาพบว่านางกำนัลที่ทางวังให้มาดูแลยื่นน้ำแกงยามเช้าให้ แต่กลายเป็นว่าขันทีของฮ่องเต้บุกเข้ามาแล้วตรวจน้ำแกงถ้วยนั้น พบว่ามันมียาพิษ
“เจ้าอยากรู้ว่า…ใครกล้าสั่งการใช่หรือไม่”
ฮ่องเต้ไม่ตอบเพียงเดินเข้าไปใกล้มารดาของตนอีกก้าวหนึ่ง
“หากผู้เป็นมารดาของกษัตริย์ยังตกอยู่ในอันตราย ข้าจะปกครองผู้ใดได้ หากแม้แต่แม่เพียงผู้เดียวข้ายังปกป้องไม่ได้ แล้วจะให้ประชาราษฎร์เชื่อว่าข้าปกป้องพวกเขาได้อย่างไร”
พระสุรเสียงหนักแน่นแต่สงบ สายพระเนตรเย็นเยียบราวกับบอกให้ทุกคนจำถ้อยคำนี้ไว้
“เจ้ามีหลักการมากกว่าที่ข้าคิด” รอยยิ้มบางของซูเฟยไม่รู้ว่าเยาะหรือชื่นชม “ไท่โฮว่าคงสอนเจ้ามาดีกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก
ฮ่องเต้ไม่สนพระวาจาเชิงหยอกนั้น เพียงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทุกคำเหมือนตรึงคนฟังไว้
“หากจะอยู่ในวังหลัง อย่างน้อยท่านควรมีตำแหน่ง ไม่เช่นนั้น หากเกิดเหตุซ้ำรอยเช่นเมื่อเช้าแม้แต่จะได้ลมหายใจครบวันยังยากและหากท่านตายตั้งแต่ย่างก้าวแรกกลับมา… สายตาประชาชนจะมองข้าเช่นไร”
“เอาตามเจ้าว่า” ซูเฟยเพียงส่งยิ้มอ่อน แต่แววตานั้นยากจะอ่าน ว่าพึงพอใจหรือกำลังรอจังหวะลงหมากต่อไป
ในวันเดียวกันนั้นเอง มีรับสั่งให้เจิ้งซูเฟยย้ายเข้าตำหนักหลวงเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของฮองเฮาองค์ก่อนแต่ไม่มีประกาศแต่งตั้งใดตามมา เหมือนหมากที่ถูกวางลงกลางกระดาน… รอให้คู่ต่อสู้เป็นฝ่ายขยับก่อน
ตำหนักเย็นใจ
ลมเย็นจากสวนหลวงพัดลอดกำแพงหินเข้าสู่ระเบียง เสียงกิ่งหลิวเสียดสีกันดังแผ่ว ราวกับซุบซิบข่าวลือของคนทั้งวัง
ขบวนขันทีและนางกำนัลยาวเหยียดเคลื่อนเข้าสู่ตำหนักหลวงเก่า แต่กลับไม่มีเสียงต้อนรับ มีเพียงความเงียบอึดอัดที่กดทับอยู่ในอากาศ
ทุกก้าวที่เจิ้งซูเฟยเดินผ่าน ล้วนมีสายตาแฝงความอยากรู้อยากเห็น หรือไม่ก็หวาดระแวง เหมือนเฝ้ารอให้เกิดอะไรสักอย่าง
ตำหนักแห่งนี้แม้จะถูกขัดถูจนเงาวับ แต่กลิ่นไม้เก่ายังซึมอยู่ในอากาศ ราวกับเก็บงำเรื่องราวที่ไม่มีใครอยากพูดถึง
มันคือสถานที่ที่ฮองเฮาองค์ก่อนเคยครอง… ก่อนจะถูกปลดและส่งไปยังเขาเทียนจี่
ซูเฟยหยุดยืนกลางโถงใหญ่ ลูบปลายนิ้วบนเสาแกะสลักมังกรทอง รอยยิ้มบางผุดขึ้น แต่ไม่ถึงดวงตา
ข้างนอก เสียงฝีเท้าของขันทีเวรลาดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอเกินไปเหมือนตั้งใจให้รู้ว่ามีคนเฝ้าทุกฝีก้าว
นางรู้ดี… ตำหนักนี้ไม่ได้ถูกมอบให้เป็นเกียรติ แต่เป็นกรงทองที่สวยที่สุด
และในกรงนี้ ทุกคนในวังหลังกำลังจ้องจับผิด รอเพียงจังหวะที่นางก้าวพลาดเพื่อตะครุบทันที
เสียงซุบซิบเริ่มดังไปทั่วหรือว่าฮ่องเต้…กำลังเตรียมคืนศักดิ์ให้นาง แต่ไท่หวงไท่โฮว่ยังคงนิ่ง ไม่มีถ้อยคำใด นั่นคือสิ่งที่ทำให้ราชสำนักเริ่มรู้สึก…ว่าเงียบเกินไป
เจิ้งซูเฟยก้าวเข้าวังอีกครั้ง…ในฐานะผู้ที่เกือบถูกลอบสังหารและฮ่องเต้กำลังใช้เรื่องนี้ ทดสอบความซื่อสัตย์ของคนในวัง ใช้นางเป็นเบี้ยคอยดูว่าผู้ใดที่อยู่ฝั่งเขาบ้าง
หากนางตายทั้ง ๆ ที่อยู่ในการดูแลของเขา ย่อมทำให้บัลลังก์สั่นคลอน การที่บุตรชายละเลยมารดาผู้ให้กำเนิดจนถึงแก่ชีวิตย่อมถูกตราหน้าไปจนวันตาย ขุนนางที่อยู่อีกฝั่งจะยกมันขึ้นมาพูดอีกไม่รู้จบ
ส่วนไท่หวงไท่โฮว่…ก็เพียงจิบชา พริ้มยิ้ม และคิดอยู่ในใจ
“หากเจ้าเล่นหมาก…ก็จงอย่าลืมว่าเจ้าเรียนเกมนี้จากใคร”
หากเจ้าจะครองบัลลังก์ได้นานก็จงเรียนรู้…ว่าความอ่อนแอในสายตาผู้อื่นอาจเป็นดาบที่คมกว่ายุทธภัณฑ์ทั้งปวง
บทที่ 17 พิษในร่มเงามีดที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม อันตรายยิ่งกว่าหอกทิ่มตรงหน้า และบางครั้ง การไว้ใจผิดคน…ก็เท่ากับเชิญภัยมาถึงตำหนักหลังการพิจารณาคดีในท้องพระโรง เจิ้งซูเฟยกลับตำหนักอย่างสงบ แต่ภายในวังยังมีแรงสั่นสะเทือนอยู่เงียบ ๆเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นขันทีผู้ดูแลตำหนักไท่ฮวา เอ่ยต่อไท่เฟยด้วยความนอบน้อม“เสี่ยวหลิง ลูกสาวมัวมัวเก่าผู้จงรักภักดี…ได้สมัครเข้ารับใช้ในตำหนักไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไท่หวงไท่โฮว่เพียงพยักหน้า แต่สายพระเนตรเย็นดุจน้ำแข็ง“บอกนางว่า…ข้าต้องการความจริง ไม่ใช่ความภักดี”เสี่ยวหลิง นางอายุเพียงสิบหกปี ใบหน้ากลมขาว ผูกเปียเล็กหลังศีรษะ พูดจาเรียบร้อย ไม่สอดรู้ ไม่เสนอตัวเกินงามวันแรกที่เข้าตำหนัก เจิ้งซูเฟยมองอย่างเรียบเฉย“เจ้าชื่ออะไร”“เสี่ยวหลิงเพคะ มารดาเคยทำงานในวังสมัยก่อน”“ข้าไม่ถามเรื่องมารดา ข้าถามว่าเจ้าตั้งใจจะรับใช้อย่างไร”คำตอบที่เสี่ยวหลิงตอบ คือการก้มกราบลงอย่างเงียบงันหลายวันผ่านไปเสี่ยวหลิงดูเป็นเด็กขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เคยซุบซิบ แต่นางมักอยู่ใกล้เอกสาร โต๊ะเขียนหนังสือ หรือห้องเก็บของสำคัญ และทุกค่ำคืน จะกลับห้องช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเสมอคนส
บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตายบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว บางคนภาวนาให้เขาตายเสียที แต่เขากลับก้าวเข้าสู่ประตูวัง…ด้วยเท้าที่มั่นคง และหัวใจที่ยังภักดีต่อความจริงต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมแล้งพัดแรงจากชายแดนเหนือ คาราวานหนึ่งจากแดนเถื่อนเคลื่อนเข้าสู่พระนครอย่างไร้ผู้เหลียวแลทว่าในหมู่ผู้เดินทางนั้น…มีชายสวมผ้าหยาบซีด ไม่เผยใบหน้า“นั่น…หน้าคล้ายอัครเสนาบดีหรงชิง!”“เป็นไปไม่ได้! เขาถูกประหารไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน!”ข่าวลือแพร่กระจายดุจไฟลามหญ้าในวังหลวงขุนนางชราหน้าซีดเผือด ขุนนางรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามราชสำนัก…เคยฆ่าคนผิดหรือไม่ในตำหนักลับของขุนนางผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ชายในชุดหยาบเผยโฉมอย่างชัดเจนต่อหน้าฮ่องเต้“หม่อมฉัน…หรงชิง ขอกลับมาสู่แผ่นดินภายใต้พระบารมีอีกครั้งสิบปีที่ผ่านมา…หม่อมฉันมิได้ตาย แต่ถูกขับให้ลี้ภัย รอวันที่ความจริงจะได้เป็นธรรม”เขาคลี่ผ้าผืนหนึ่งออกในนั้นคือจดหมายของเจิ้งซูเฟยจากสิบปีก่อนหมึก ตราประทับ และลายมือ…ตรงกับต้นฉบับทุกประการเนื้อความในจดหมายนั้น…มิใช่ถ้อยคำแห่งความรักแต่คือถ้อยคำแห่งความกล้า“…แม้ข้าจะไร้อำนาจ แต่หากท่านยังมีเมตตา ขอท่านอย่าปล่
บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหาใต้เงามืดในวังหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลัดเลาะตามเงาที่ถอดยาว เมื่อถึงตำหนักของเจิ้งซูเฟย หนึ่งในชายชุดดำก็แยกตัวออกมาและเล้นกายเข้าไปภายในประตูไม้เปิดออกช้า ๆเงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมไหมเข้มก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เมื่อเห็นเจิ้งซูเฟยที่กำลังนั่งให้คนสนิทพันผ้าพันแผลให้อยู่ ร่างสูงก็ยืนนิ่งราวกลับถูกแช่แข็งไว้ สนิทของเจิ้งซูเฟยเห็นผู้บุกลุกก็รีบลุกแล้วออกไปด้านนอกในทันทีชายในชุดดำทรุกกายลงนั่งแทนที มือหนาพันแผลที่ยังค้างเอาไว้ต่ออย่างเบามือเขาเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าที่มีดวงตาเช่นเขา“มาสาย”“เสด็จแม่ไม่เห็นต้อง…ทำเช่นนี้”“นางจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าให้ตำแหน่งแม่ง่ายดาย”“แต่แขนของท่าน หากข้าไปช้าอีกนิด ไม่รู้ว่า” เขาตอบเสียงแผ่ว “เสด็จย่าจะทำเช่นไรกับท่านต่อ ในตำหนักนั่นมีแต่คนของนาง”เจิ้งซูเฟยยกยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครในวังเคยเห็น“แต่เจ้าก็ไปทันมิใช่นหรือ เจ้าโตแล้วจริง ๆ เจ้า…โตพอจะปกป้องแม่แทนแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าเห็นท่านต้องบาดเจ็บตรงหน้า ไม่รู้ว่าทนเปิดบังความรักที่ข้ามีต่อท่านได้แค่ไหน”“มากกว่า
บทที่ 14 บาดแผลไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีตแววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใดพระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบในความเงียบที่กดทับ เสียงเคร
บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิมนางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือนไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหินเจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”เจิ้งซูเฟยเล
บทที่ 12 ลายมือจากอดีตคืนหนึ่งหลังการสอบสวนขันทีเฒ่าเสร็จสิ้น หลิวกงกงผู้ซื่อสัตย์ได้นำหีบไม้เก่าใบหนึ่งมาเฝ้าพระพักตร์ เป็นหีบที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำราเก่า ณ หอพระราชนิพนธ์ด้านใน ซึ่งไม่มีผู้ใดแตะต้องมากว่าสิบห้าปี“ฝ่าบาท… หม่อมฉันพบสิ่งนี้ระหว่างจัดระเบียบเอกสารเก่า พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายในหีบมีสมุดฉบับเล็กเย็บมือ บนปกไม่มีชื่อ แต่เมื่อเปิดออก กลับเป็น ลายมือของเจิ้งซูเฟย ในยามถูกจองจำที่ตำหนักเย็นใจระหว่างการตัดสินโทษข้อความที่เปลี่ยนทุกอย่าง‘…แม้ข้าต้องยอมสละเกียรติ ยอมเป็นหญิงบ้าในสายตาโลก หากเพียงเขา…ลูกของข้า…จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ยินดี’‘ข้าถูกล่อลวงให้ถือถ้วยชาที่มีพิษ’พระเนตรฮ่องเต้แข็งค้างไปนานแม้กระดาษจะเก่า แม้หมึกจะเลือนลางแต่ลายมือนั้น…ทรงจำได้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเห็นลายมือที่ซ่อนในสมุดเล่มนั้นกลายเป็น คำให้การที่ไม่มีใครสามารถลบได้“ลายมือเช่นนี้…คล้ายกับบทกลอนที่วางไว้ข้างพระแท่นบรรทมเมื่อหลายคืนก่อนท่านแม่…เขียนถึงข้าทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้พบอีก ”ฮ่องเต้เริ่มเชื่อว่าเจิ้งซูเฟยไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์อย่างที่ถูกเล่าทรงระลึกถ







