เข้าสู่ระบบ01:00 น.
“เลิกงานแล้วโว้ย”
กานร้องขึ้นเสียงดังท่ามกลางเสียงดนตรีและแสงไฟที่ยังคงทำหน้าที่สร้างบรรยากาศให้กับเหล่านักเที่ยวราตรีได้รู้สึกครึกครื้น เขาละมือจากกองแก้วขนาดมหึมาตรงหน้า หลังจากที่เช็ดทุกใบจนแห้งสนิทแถมยังใสกริบมองทะลุไปถึงดาวอังคาร พร้อมทั้งจัดวางมันลงไปในตำแหน่งเดิมได้อย่างสวยงามจนน่าภาคภูมิใจ
ขุนพลมองผู้ช่วยด้วยแววตายิ้ม ๆ กับความโก๊ะ ๆ ของอีกฝ่าย “รีบจังนะ มีใครรออยู่ที่ห้องหรือไง”
“เห้ย ไม่มีครับพี่ ผมเนี่ยหล่อมากก็จริง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านลืมส่งเนื้อคู่มาให้”
“จริงดิ เราโสดขนาดนั้นเชียว”
คราวนี้คนถามที่อยู่ในช่วงไม่มีออเดอร์ จึงหันมาจ้องหน้า ขุนพลมองกานตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับกำลังสำรวจว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มบอกเขาเมื่อครู่นั้นไม่เป็นความจริง
“จริง ๆ ครับพี่ขุนพล โสดสนิท อีกนิดจะไปบวชแล้ว”
“จีบได้ไหม?”
ขุนพลได้ทีเลยโพล่งในสิ่งที่อยากถามออกไป ทำเอาคนฟังอย่างกานตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อได้ยินคำถามแบบนี้ซึ่ง ๆ หน้า ใบหน้าหล่อทว่าดูกวน ๆ เลิ่กลั่กแถมยังหาต้นเสียงของตัวเองไม่เจอ
“บะ บ้า พะ พี่ขุนพลพูดอะไรออกมารู้ตัวไหมครับ”
“พี่จีบเราได้หรือเปล่า”
“จะมาจีบกานได้ยังไงครับ เราเพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันเอง”
“ชอบ เลยอยากจีบ ถ้าอนุญาตให้จีบ เราค่อยมาศึกษานิสัยใจคอกันทีหลังก็ได้ ถ้าได้คบกันเป็นแฟนน่าจะมีเวลาให้ได้ดูใจกันอีกยาว”
ประโยคราบเรียบทว่าดูรวบรัดแต่เป็นขั้นตอนตามแบบฉบับของผู้ชายเป๊ะอย่างขุนพล ยิ่งทำให้กานทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถูกจีบ แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีใครมาบอกกันต่อหน้าเช่นนี้
พอมาถูกคนตัวเป็น ๆ บอกว่าขอจีบ ไอ้กานที่ดูหน้าหนาหน้าทนขนาดไหนก็ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว
“พะ พี่ขุนพลชอบผู้ชายเหรอครับ”
ตัดสินใจถามออกไปด้วยใจที่หวั่น ๆ ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจเรื่องความรักระหว่างชายชาย เพราะส่วนตัวคิดว่าการที่เราจะชอบใครสักคน มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายมีเพศสภาพเป็นอย่างไร หากเขาอยู่กับคนนี้แล้วเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กันและกัน รู้สึกมีความสุขเมื่อมีเขาคนนั้นอยู่ในชีวิต จะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่ติดขัดอะไร
“อืม พี่ชอบผู้ชาย กานรังเกียจหรือเปล่า”
“โอ้ย เดี๋ยวนี้โลกเขาไปถึงไหนกันแล้วครับ จะเพศไหนชอบกัน แค่คนสองคนมีความสุข กานก็โอเคหมด ไม่รังเกียจหรอกครับ”
“ถ้าอย่างนั้นให้พี่จีบได้ไหม?”
ขุนพลถามต่ออย่างเฝ้ารอคำตอบในสิ่งที่ใจอยากได้ยิน เป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่เสียงดนตรีภายในร้านเงียบลง แล้วเข้าสู่ช่วงเปิดเพลงคลอเบา ๆ ทำให้ตอนนี้กานได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ตรงหน้าชัดเจนทุกถ้อยคำ
“กาน-”
“ขอน้ำมะม่วงปั่นแก้วนึงสิ”
ยังไม่ทันที่กานจะพูดสิ่งใดออกมา เสียงคุ้นหูของใครบางคนก็ดังสวนขึ้นมาจากทางด้านหลัง จนเขาต้องรีบหันไปมองในทันที “ไอ้หัวขี้” แววตาตกใจมองไปยังกันธีต์ที่กำลังยืนเกาะขอบบาร์สั่งเครื่องดื่มด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองเพิ่งจะทำลายบรรยากาศสุดโรแมนติกของการขอจีบระหว่างกานและขุนพลลงไปหมาด ๆ
“เออ กูเอง บอกให้เรียกดี ๆ มึงนี่ความจำปลาทองจังนะ”
เนื่องจากจุดที่กานยืนอยู่ไม่ได้ห่างจากแขกผู้มาใหม่มากนัก ธีต์เลยอาศัยจังหวะที่กานเผลอยกฝ่ามือขึ้นไปลูบที่เรือนผมของอีกฝ่าย โดยไม่สนใจสายตาจับจ้องของบาร์เทนเดอร์ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชอบขี้หน้ามันอยู่ดี ‘ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้จักกัน’
“ปล่อย เล่นบ้าอะไรของมึง” ร่างสูงโปร่งถอยห่างออกจากอีกคน
“บอกให้เรียกพี่ธีต์ มาเรียกไอ้หัวขี้อยู่ได้ ตอนอยู่ที่ห้องกู กูก็ย้ำมึงแล้วนะว่าเรียกพี่ธีต์ ๆ”
“แดกยาไม่เขย่าขวดหรือเปล่ามึง”
“กูสบายดี ขอน้ำมะม่วงปั่นแก้วนึงสิ”
“ร้านเหล้าจะมาสั่งน้ำมะม่วงปั่น มึงบ้าปะ”
กานรำคาญสายตากวน ๆ บวกกับการลอยหน้าลอยตาของอีกคนจนเผลอพูดจาไม่สุภาพออกไป จนขุนพลที่เป็นเหมือนคนกลางต้องเข้ามาห้ามปรามเอาไว้
“ใจเย็น ๆ กาน รู้จักกันเหรอ”
ท้ายเสียงเขาหันไปถามรุ่นน้องให้ได้ยินกันสองคน ท่าทางที่ดูเหมือนกำลังกระซิบกระซาบจนดูแนบชิดมากจนเกินไป ทำเอาคนมองอย่างธีต์ควันออกหู
“ถ้าจะคุยกันใกล้ชิดขนาดนั้น ไม่สิงร่างกันเลยล่ะ”
“ไอ้ธีต์!!”
“ทำไม กลัวกูลืมชื่อตัวเองหรือไง”
“มึงนี่มัน”
ร่างสูงโปร่งโกรธจนเกือบจะควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่ ที่จู่ ๆ เขาก็โดนไอ้หัวขี้มาหาเรื่องเข้าอีกจนได้ แล้วนี่มันรู้ว่าเขาทำงานอยู่ร้านนี้ ยังจะมาแดกเหล้าอีก ปกติคนเกลียดขี้หน้ากัน ถ้าเลี่ยงไม่เจอได้ก็ควรเลี่ยงไหมวะ
“ใจเย็น ๆ กาน รับน้ำมะม่วงปั่นนะครับ”
บาร์เทนเดอร์หนุ่มเข้ามาห้ามด้วยการหันไปถามลูกค้าของร้านอีกครั้ง แม้เขาจะสงสัยว่าอีกฝ่ายสนิทกับกานมากน้อยแค่ไหน หากแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกค้า ถึงอย่างไรสิ่งแรกที่บาร์เทนเดอร์อย่างเขาต้องทำก็คือการต้อนรับ เพราะถ้าแสดงท่าทีไม่ดีออกไป มันจะมีเรื่องเสื่อมเสียไปถึงปูนได้
“ครับ ขอมะม่วงปั่นหวานปกติ”
“สักครู่ครับ ผมคงต้องขอเข้าไปหลังครัวเพื่อถามเขาก่อนว่ามีมะม่วงหรือเปล่า”
“ได้ครับ”
ธีต์ได้ใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะคิดว่าเขาสามารถกันไอ้บาร์เทนเดอร์ออกไปจากตรงนี้ และคงได้อยู่กันตามลำพังกับไอ้กาน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเพราะอีกฝ่ายดันลากแขนของรุ่นน้องเขาไปต่อหน้าต่อตา
“อ้าว เห้ย!”
ไม่ทันเสียแล้ว ไอ้กานถูกลากออกไปจากบาร์เป็นที่เรียบร้อย แต่ช่างแม่งเถอะ เพราะเมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองเข้ามาขัดจังหวะคนทั้งสองได้พอดิบพอดี ‘คิดจะมาขอจีบไอ้กาน โอ้ย ตาต่ำมาก ไอ้เด็กนั่นมันมีไรดีกันวะ’
ไม่ทันเสียแล้ว ไอ้กานถูกลากออกไปจากบาร์เป็นที่เรียบร้อย แต่ช่างแม่งเถอะ เพราะเมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองเข้ามาขัดจังหวะคนทั้งสองได้พอดิบพอดี ‘คิดจะมาขอจีบไอ้กาน โอ้ย ตาต่ำมาก ไอ้เด็กนั่นมันมีไรดีกันวะ’
ระหว่างรอ ธีต์เปลี่ยนมายืนพิงแผ่นหลังลงไปบนเคาท์เตอร์บาร์ สายตายังคงกวาดมองไปทั่ว ๆ ร้านด้วยใจอันจดจ่อ ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นไปมองยังชั้นสองของร้านที่ตอนนี้มีหน้าของไอ้หมุดแนบอยู่กับกระจกพลางจ้องลงมายังเขาด้วยสายตาขี้เสือก
“เสือก”
ริมฝีปากยกยิ้มแล้วเค้นเสียงส่งออกไปให้เพื่อนรักเบา ๆ พร้อมกับชูนิ้วกลางปิดท้าย เขารู้ว่าไอ้หมุดต้องอ่านปากของเขาออกอย่างแน่นอย
“มึง ชอบ กาน”
และนี่คือสิ่งที่เขาอ่านปากไอ้หมุดกลับมา แววตาคมมองไปทางอื่นทันทีที่ถูกเพื่อนรักจับไต๋ได้ ช่วงนี้มันอะไรกันนะ ไอ้เวรหมุดเอาแต่พูดว่าเขาชอบไอ้กานแทบจะสามเวลาหลังอาหารอยู่แล้ว
‘คนแบบกันธีต์ไม่ตาต่ำไปคว้าเด็กกวนส้นตีนแบบนั้นมาทำเมียหรอกโว้ย ไม่สมศักดิ์ศรีคนหล่ออย่างเขา’
อีกด้าน
“ลูกค้าคนเมื่อกี้ใครเหรอกาน”
ขุนพลชิงถามทันทีที่เขามาถึงโซนครัว หลังจากที่เพิ่งเอ่ยปากขอให้ป้านีทำน้ำมะม่วงปั่นให้ เพราะส่วนตัวเขาถนัดเรื่องชงเหล้ามากกว่า ระหว่างรอกันอยู่สองคน จึงเป็นจังหวะเหมาะในการถามถึงผู้ชายผมสีส้มเมื่อครู่
“รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยกานเองครับ แต่พี่ขุนพลอย่าไปฟังมันมาก ไอ้เวรนี่ปากไม่มีหูรูด”
“แต่เขาพูดเหมือนสนิทกับกานเลยนะ จากที่พี่ฟังดูเหมือนว่าเราไปถึงห้องเขามา”
“พอดีกานขับรถไปเสยกระจกข้างมันมา แล้วทีนี้ไม่มีเงินใช้หนี้ มันเลยให้กานช่วยทำวิจัยจบครับพี่ กานเลยมีโอกาสได้ไปห้องมันมา”
ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้อย่างบอกคนตรงหน้าให้เข้าใจว่าเขาและไอ้ธีต์ไม่ได้เป็นอะไรกัน
“พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย พี่เข้าใจแล้วครับ”
“กานไม่อยากให้พี่ขุนพลเข้าใจผิดนี่ครับ”
“พี่ไม่เชื่อจากสิ่งที่ตาเห็นหรอกนะ พี่ชอบถามหาความจริงจากเจ้าตัวมากกว่า”
รอยยิ้มกว้างถูกส่งมาให้กานด้วยความเอ็นดู ขุนพลอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไปยีผมของอีกคนเบา ๆ แต่มันก็ทำให้ทรงผมที่กานพยายามหวีจนเรียบแป้เสียทรงจนได้
“พี่ขุนพลนี่นะ เอะอะ ๆ ยีผมกานตลอด”
“เรามันน่ามันเขี้ยว รู้ตัวบ้างหรือเปล่า”
“ถึกและบึกบึนแบบกานนี่นะครับน่ามันเขี้ยว น่าถีบยังจะดูใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า”
“ของแบบนี้เราลองให้คนนอกเป็นฝ่ายบอกดู”
ว่าจบน้ำมะม่วงปั่นที่สั่งไปก็ถูกยกมาเสิร์ฟโดยฝีมือของป้านีคนดีคนเดิม ทำให้การพูดคุยของคนทั้งคู่เป็นอันจบลงไปด้วย เพราะต้องรีบนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า
“ขอบคุณครับคนสวย”
ขุนพลนอกจากจะเป็นบาร์เทนเดอร์สุดฮิตประจำร้านแล้ว ชายหนุ่มยังเป็นคนที่ปากหวานและพูดเพราะเสียจนสาวน้อยสาวใหญ่หลงกันถ้วนหน้า แถมยังชอบเรียกป้านีด้วยถ้อยคำที่คนฟังได้ยินทีไรก็อดยิ้มไม่ได้
“ปากหวานจริงนะพ่อคุณ”
“ก็ป้านี้คือคนสวยสำหรับขุนนี่ครับ”
“ไปเลย มัวปากหวานอยู่นี่ ลูกค้ารอน้ำปั่นนานแล้ว”
“ครับผม”
มือหนายื่นออกไปหยิบถาดใส่น้ำมะม่วงปั่นมาถือไว้โดยที่ไม่ลืมที่จะใช้มืออีกข้างแตะไปที่ไหล่ของกานเบา ๆ “ไปกันเถอะ พี่ปูนมาเห็นว่าหน้าบาร์ไม่มีคน คงได้โกรธจนเส้นเลือดในสมองแตกกันพอดี”
“คิคิ พี่ขุนพลก็ว่าไป”
กานหัวเราะคิกคักไปตามประสาเมื่อได้ฟังคำเปรียบเปรยจากคนข้าง ๆ บางทีเขาก็แอบคิดว่าผู้ชายเพอร์เฟกต์แบบพี่ขุนพล น่าจะเป็นเจ้าของบาร์มากกว่าเป็นบาร์เทนเดอร์เสียอีก แม้ภาพลักษณ์จะดูแบดบอยแต่คำพูดคำจาช่างสุภาพดูเป็นผู้ใหญ่มาก เขามองรอยสักตามเนื้อตัวของอีกคนด้วยความชื่นชม พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยระหว่างเดินกลับไปหาลูกค้าเจ้าปัญหา
“น้ำมะม่วงปั่นหวานปกติมาแล้วครับ”
ขุนพลทำการเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ลูกค้าสั่งไปตรงหน้า พร้อมทั้งสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว ทำไมเขาจะมองไม่ออกว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของผู้ชายตรงหน้า มันเกิดมาจากความหึงหวงในตัวกาน
แม้ว่าเขาจะแสร้งทำเป็นมองข้าม และถามกับกานไปตรง ๆ แต่จากที่เห็นดูท่าแล้วกานไม่น่าจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังมีคนแอบชอบ
“ขอบใจ”
“ดื่มให้อร่อยนะครับ”
“อืม”
คนพูดตีบทแตกเป็นลูกค้าได้อย่างแนบเนียน ธีต์ยกน้ำมะม่วงปั่นขึ้นมายืนดูดอยู่ตรงนั้นโดยไม่ยอมเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง อีกทั้งสายตายังคงจับจ้องมองไปยังกานโดยไม่วางตา จนคนถูกมองถึงกลับส่ายหน้าด้วยความสุดจะทน
และดูเหมือนขุนพลจะสังเกตเห็น เขาจึงอยากลองทำอะไรบางอย่างเพื่อตอกย้ำในสิ่งที่คิด “เดี๋ยววันนี้ไปกินข้าวต้มโต้รุ่งกันไหม พี่เลี้ยงเอง”
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่กานที่ได้ยิน ธีต์เองที่ทำเป็นยืนดูดน้ำมะม่วงปั่น แต่หูยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีก็พลอยได้ยินไปด้วย เขาชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดที่หาสาเหตุไม่ได้ว่าเกิดมาจากสิ่งใด แต่รู้แค่ว่าเขาไม่พอใจที่ไอ้บาร์เทนเดอร์ทำท่าจะจีบรุ่นน้องของเขา
“เอ้ย ถ้าเลี้ยงกานไม่ปฏิเสธนะครับ”
“งั้นเราไปกันเลย เดี๋ยวพี่ให้เพชรมาดูต่อ”
เพชรคือหนึ่งในผู้ช่วยอีกคนของขุนพลที่ส่วนใหญ่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายในร้าน แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าชายหนุ่มชงเหล้าและเครื่องดื่มได้เช่นเดียวกัน จึงไม่มีปัญหาอะไรหากขุนพลจะออกจากร้านก่อนเวลาเลิกงานหรือลาหยุดไป
“แต่พี่ขุนพลเลิกงานตีสามเลยนะครับ ไปตอนนี้พี่ปูนไม่ว่าเอาเหรอครับ”
“รายนั้นไม่กล้าด่าพี่หรอก ไปกันเถอะ”
“อ่า ได้ครับ กานกินเยอะนะครับบอกไว้ก่อน”
“พี่เลี้ยงไหว สบายมาก”
ทุกประโยคธีต์ได้ยินเต็มสองรูหู เขาเผลอตัวบีบแก้วมะม่วงปั่นในมือแน่นด้วยความร้อนอกร้อนใจ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเช่นกัน แต่ตอนนี้เขาเหมือนคนที่กำลังจะอกแตกตาย ยิ่งได้ยินว่าทั้งคู่จะไปกินข้าวต้มโต้รุ่งด้วยกัน เลือดความอิจฉาในตัวยิ่งพลุ่งพล่าน แต่ถึงอย่างนั้นเขายังต้องตีหน้ามึนทำเป็นยืนดูดน้ำมะม่วงปั่นต่อไป โดยไม่ยอมหันไปมองว่าสองคนนั้นแสดงท่าทีอะไรต่อกันอีกหรือไม่
“งั้นเราไปกันเลยครับ หิวจนไส้บิดแล้ว”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน และมันดังออกมาจากปากของไอ้กาน เขาอยากจะจับมันมาตีก้นให้เข็ด ทีพูดกับเขาไม่เคยเลยสักครั้งที่จะแทนตัวเองว่ากาน หรือพูดลงท้ายด้วยครับ แต่ทำไมพอเป็นไอ้บาร์เทนเดอร์นั่น พูดจาเพราะขึ้นมาทันที ทำตัวเล็กตัวน้อยเลยนะมึง แค่ได้ยินเขาก็หมั่นไส้จะแย่
รออยู่สักพักเมื่อแน่ใจว่าคนทั้งคู่เดินออกไปจากโซนบาร์แล้ว ใจที่ร้อนรนก็นำพาให้เขาวิ่งหน้าตั้งไปยังชั้นสองของร้านทันที
“พวกมึง กูกลับก่อนนะ”
เปิดประตูวิ่งเข้าไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋า พร้อมหันมาบอกเพื่อนทั้งสองที่ตอนนี้ได้แต่งุนงงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“รีบกลับไปไหนวะ มีใครตายหรือเปล่าพี่มึง”
“ไอ้หมุด ปากมึงนี่นะ”
“ก็เนี่ย หายลงไปเฝ้าเด็กอยู่นานสองนาน พอเด็กเดินออกจากร้าน มึงก็วิ่งหน้าตั้งขึ้นมาหยิบของจะกลับซะงั้น”
“.....”
“กลับบ้านหรือตามเด็กมันไป บอกกูมาตามตรงไอ้พี่ธีต์”
น้ำเสียงคาดคั้นมาพร้อมกับแววตาดุดัน มหาสมุทรนั่งจ้องคนพี่ราวกับคนรู้ทัน ‘ก็แหงล่ะ ในเมื่อเขานั่งดูไอ้พี่ธีต์อยู่ตั้งนานสองนาน ทำไมจะไม่รู้ว่ามันกำลังปล่อยไก่ใส่เขาตัวโต’
“โกหกตัวเองไปคนเดียวเถอะ มึงอย่ามาตีเนียนโกหกกู”
“เออ กูจะตามไอ้กานไป พอใจมึงหรือยัง”
“เออ ค่อยแมนขึ้นมาหน่อย งั้นกูอวยพรขอให้มึงไม่ถูกน้องมันเตะปากกลับมาก็แล้วกัน”
“ไอ้หมุด!!”
เมื่อไอ้เวรหมุดมันยังตอแยเขาไม่เลิก คนพูดเลยตั้งท่าจะโบกกบาลเพื่อนสักทีก่อนออกไป แต่ด้วยความที่ไอ้กานมันออกไปจากร้านได้สักพักแล้ว ป่านนี้น่าจะยังอยู่ที่ลานจอดรถ ดังนั้นหากเขามัวแต่เสียเวลาทะเลาะกับไอ้หมุดต่อ วันนี้ท่าจะตามออกไปไม่ทันแน่ ๆ
‘เขาไม่ยอมปล่อยโอกาสให้ไอ้บาร์เทนเดอร์นั้นจีบรุ่นน้องของตัวเองหรอกนะ’
คิดได้ดังนั้นจึงรีบวิ่งหน้าตั้งออกไปจากห้อง VVIP ทันที โดยไม่อยู่ต่อปากต่อคำหรือร่ำลาใครให้เสียเวลา เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาต้องสนใจเป็นอย่างแรกเลยก็คือการตามไปก่อกวนมื้อดึกของไอ้กานต่างหากเล่า
‘เขาก็แค่ไม่ชอบเห็นมันเจริญอาหารเฉย ๆ เลยอยากไปแกล้ง ๆ ให้มันแดกข้าวไม่ลง…ก็แค่นี้เอง
“ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ
“ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ
ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่
“กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่
“คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ
โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ







