หน้าหลัก / วาย / การันต์กันธีต์ / บทที่ 13 : กันธีต์ ไม่ใช่ชื่อคนแต่เป็นมลพิษทางอากาศและเสียง

แชร์

บทที่ 13 : กันธีต์ ไม่ใช่ชื่อคนแต่เป็นมลพิษทางอากาศและเสียง

ผู้เขียน: โบกร
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-17 00:33:47

ร้านเจ๊โอว

 

“สั่งได้ตามสบายเลยนะ พี่เลี้ยงเอง”

หลังจากรอคิวมาร่วมชั่วโมงเพราะไม่ได้จองคิวมาก่อนล่วงหน้า ก็ถึงคิวของสองหนุ่มได้โต๊ะนั่งกินข้าวกันพอดี ร้านเจ๊โอวถือเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารในตำนานย่านบรรทัดทองที่เลื่องลือในเรื่องของมาม่าต้มยำด้วยรสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร แถมยังมีลูกค้าเนืองแน่นทุกวัน

“พี่ขุนพลรู้ไหมครับว่ากานเคยเห็นรีวิวร้านเจ๊เขาในทีวีด้วยนะครับ อยากลองกินมานานแล้ว”

ใบหน้ายิ้มแย้มในยามเอ่ยถึงของกินที่เคยเห็นผ่านตาในทีวีและไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้มาลองกิน เนื่องจากแต่ละเมนูของเจ๊เขาราคาไม่ใช่เบา ๆ คนที่ต้องประหยัดสุดชีวิตแบบเขาจึงไม่เคยได้ย่างกายเข้ามาใกล้ พอได้เข้ามานั่งอยู่ในร้านที่วาดฝันเอาไว้ว่าถ้าหาเงินได้เยอะ ๆ จะมาลองกิน มันเลยอดที่จะมีความสุขจนแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าไม่ได้

“ถ้าอยากกินก็สั่งมาเยอะ ๆ ไม่ต้องเกรงใจ”

“สั่งเท่าที่เรากินไหวก็พอครับ ถ้าสั่งมาเยอะแล้วกินเหลือ กานเสียดาย”

“ถ้าเหลือเราห่อกลับได้ไม่ต้องกังวล”

นี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขุนพลเห็นในตัวเด็กคนนี้ กานเป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์และรู้คุณค่าของเงิน เด็กหนุ่มมักจะมีความเกรงอกเกรงใจเขาและเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะเพิ่งร่วมงานกันมาเพียงไม่กี่วันก็ตาม แต่ทั้งหมดนี้มันคือเหตุผลที่ทำให้เขานึกเอ็นดูและอยากลองจีบคนตรงหน้าดูสักตั้ง

“ไม่เป็นไรครับ สั่งเท่าที่เรากินไหวก็พอแล้ว แค่กานได้มาลองกินก็ดีใจจะแย่”

“งั้นเลือกเลยว่าอยากกินอะไร”

“เห็นในรีวิวตอนนั้นเขาบอกว่ามาม่าต้มยำอร่อยครับ สั่งได้ไหมครับ”

“สั่งได้สิ เอาหมูกรอบ กับยำแซลมอนมาลองชิมดู พี่ชอบหมูกรอบร้านเจ๊แกมาก”

ขุนพลเปิดหน้าเมนูแล้วจิ้มลงไปที่รูปของหมูกรอบซึ่งมีให้เลือกสั่งหลายขนาด หมูกรอบร้านเจ๊โอวถือเป็นหมูกรอบที่รสชาติดีและอร่อยมาก ตัวเขาเองยังไม่เคยกินหมูกรอบที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่ มันมีความกรอบแต่ทว่าไม่แข็ง กัดเข้าไปแล้วแทบละลายในปาก

“งั้นกานสั่งเป็นมาม่าต้มยำ หมูกรอบ แล้วก็ยำแซลมอนแบบที่พี่ขุนพลแนะนำเลยครับ”

“เราไม่อยากลองอย่างอื่นบ้างเหรอ ร้านเขามีพวกเมนูผัดด้วยนะ”

“แค่สามอย่างนี้ก็ร่วมพันแล้ว กินให้หมดก่อนค่อยสั่งอย่างอื่นก็ได้ครับ”

ถึงอย่างไรกานก็ไม่สามารถสลัดความเกรงใจทิ้งลงไปได้ แค่พี่ขุนพลพาเขามาเลี้ยงข้าวร้านในฝัน แค่นี้ก็เป็นพระคุณจะแย่ ดังนั้นเขาจะเลือกกินเฉพาะสิ่งที่อีกคนแนะนำและอยากกินจริง ๆ มันเพียงพอแล้ว แค่ได้รู้ว่าร้านเด็ดเขามีรสชาติอาหารอย่างไร เท่านั้นก็ถือว่าโอเคแล้วสำหรับตน

“งั้นพี่สั่งผัดกุยช่ายขาวไปอีกจานแล้วกัน กับข้าวสวยมาเพิ่ม”

“ได้ครับ ขอบคุณนะครับพี่ขุนพล”

เสียงขอบคุณถูกเปล่งออกมาจากหัวใจคนพูด นำพารอยยิ้มมาสู่คนฟังได้ไม่ยาก ขุนพลมองแววตาใสซื่อของผู้ช่วยด้วยความรู้สึกหลากหลาย และเมื่อจดรายการอาหารที่ต้องการสั่ง พร้อมทั้งยื่นให้พนักงานเรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่เจ้ามือในมื้อนี้อยากทำมากที่สุดคงหนีไม่พ้น

“กานครับ”

“ครับ”

“หลังจากนี้เรียกพี่ว่าพี่ขุนก็พอนะครับ เรียกเต็มยศแล้วมันฟังดูห่างเหินมาก”

“โอ้ย กานตกใจหมด นึกว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายเสียอีก”

“เรียกพี่ขุนเฉย ๆ ก็พอนะครับ”

“ได้สิครับพี่ขุน…ถ้าไม่ลืมนะครับ คิคิ”

รอยยิ้มกว้างจนมองเห็นฟันขาวเรียงสวยแทบครบทุกซี่ พร้อมกับเสียงหัวเราะทิ้งท้ายถูกส่งออกมาให้รุ่นพี่ด้วยความเต็มใจ เขาหรือคิดไปไกลว่าอีกคนต้องทักท้วงเรื่องไม่ดีแน่ ๆ เพราะจู่ ๆ ก็เรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแบบนั้น ที่แท้ก็แค่อยากให้เรียกชื่อสั้นลง

สองหนุ่มจึงสรรหาเรื่องอื่นมาชวนกันคุยโดยไม่สนใจบรรยากาศรอบ ๆ แม้ว่าจะมีลูกค้ามากหน้าหลายตาเดินต่อคิวตบเท้าเข้ามานั่งอยู่ด้านในไม่ขาดช่วง แต่ก็ไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของคนทั้งคู่ได้ จนกระทั่ง

“มีน้ำมะม่วงปั่นขายด้วยไหมน้อง”

เมนูคุ้นหูกับน้ำเสียงคุ้นเคยอย่างกับมีผีเจ้ากรรมนายเวรคอยติดตามกำลังทำให้กานเริ่มขนลุกซู่ และด้วยความที่โต๊ะในร้านถูกจัดวางไม่ได้ไกลกันมากนัก บางโต๊ะนี่แทบจะอยู่ติดกัน เขาเลยสามารถมองเห็นคนพูดซึ่งนั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ กันได้อย่างถนัดตา อีกฝ่ายกำลังยื่นใบออเดอร์ให้พนักงานอยู่พอดี

“นี่มึงอีกแล้วเหรอ”

“ครับน้องกาน”

ธีต์นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าด้วยท่าทีกวน ๆ เขาส่งยิ้มมาให้กานและไม่ลืมที่จะส่งยิ้มเผื่อแผ่มาถึงบาร์เทนเดอร์

“มึงจะตามมาหลอกหลอนอะไรกูขนาดนั้นวะ”

“ใครว่ากูตามมึงมา กูหิวข้าวต่างหาก”

“ร้านอื่นมีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาร้านเดียวกับกู”

“เอ้าก็กูชอบร้านนี้ ทำไมกูจะมาไม่ได้”

คำตอบพ่วงมาด้วยแววตาเจิดจ้าเป็นประกายอย่างกับว่าเหตุการณ์กินข้าวร้านเดียวกันเป็นเรื่องบังเอิญของธีต์กำลังทำให้กานหงุดหงิดจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เขาอยากลุกขึ้นไปตบหัวอีกฝ่ายให้ทิ่มลงไปบนโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด โทษฐานที่มันมานั่งลอยตากระดิกขาเป็นหมาอยู่แบบนี้ แต่ถึงอยากทำเช่นนั้นมากแค่ไหน เขาก็ทำได้เพียงสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้

“งั้นเชิญมึงแดกไปเลย กูไม่รบกวนเวลาแดกข้าวของมึง”

ทุกถ้อยคำช่างหยาบคายนักสำหรับคนฟังอย่างธีต์ แต่มีหรือที่คนหน้าหนาอย่างผู้มาใหม่จะสนใจ รอยยิ้มมาดร้ายถูกส่งกลับไปคือคำตอบว่าเจ้าของเรือนผมสีส้มไม่ได้สนใจกับคำสรรเสริญของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

เห็นดังนั้นกานจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำแล้วหันมาให้ความสนใจกับพี่ขุนพลต่อ

“อย่าไปสนใจหมาแถวนี้เลยครับพี่ขุน เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่องอะไรกันนะครับ”

“เรากำลังพู-”

ริมฝีปากหยักกำลังเอื้อนเอ่ยในสิ่งที่ค้างคาเอาไว้ แต่เสียงไอไม่เบานัก จากชายหนุ่มโต๊ะข้าง ๆ ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

“แค่ก แค่ก ๆ โทษทีวะน้องกาน พอดีพี่ธีต์สำลักน้ำเปล่า”

“เดี๋ยวก็ได้ตายจริง ๆ หรอกมึง”

“โอ๊ะ น้ำเปล่าน่าจะลงคอไปแล้ว”

ไม่พูดเปล่า ยังทำท่าทางประกอบด้วยการยกมือขึ้นมาลูบไปตามลำคอให้รุ่นน้องได้ชม ท่ามกลางแววตาของกานที่ส่งรังสีอำมหิตกลับมาให้เขา

“อาหารมาแล้วครับกาน อย่าไปสนใจเลย กินกันเถอะ”

ขุนพลชิงพูดสวนขึ้นมาเพื่อดึงความสนใจของกานให้กลับมาอยู่ที่เขา และเหมือนโชคจะเข้าข้างเมื่ออาหารที่สั่งไป ถูกพนักงานของร้านทยอยนำมาเสิร์ฟ

“มาม่าต้มย้ำหม้อไฟที่กานอยากกินครับ”

ถ้วยแบ่งขนาดเล็กที่ภายในมีมาม่าและเครื่องเคียงสีสันน่ารับประทานถูกยื่นมาตรงหน้าของกาน แน่นอนว่าคนที่รักอาหารยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดอย่างกานเลิกให้ความสนใจศัตรูตัวฉกาจไปในทันที เขาหันมาจ้องสิ่งที่อยากกินในถ้วยแบ่งที่พี่ขุนตั้งให้ด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ขอบคุณครับ กานกินเลยนะครับ”

“กินเถอะ กินตอนร้อน ๆ อร่อยเหาะอย่างนี้”

นิ้วโป้งสองข้างถูกชูมาการันตีรสชาติของอาหารจนกานอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม หากแต่มีมลพิษทางเสียงจากบุคคลที่ชอบทำตัวไม่ต่างจากเจ้ากรรมนายเวรดังขึ้นล้อเลียนให้ได้ยินก่อนที่กานจะได้มีโอกาสตอบกลับขุนพลไป

“แดกมาม่าแล้วเหาะได้ กูคงได้เรียกกินเนสบุ๊คมาจดลงบันทึกของโลก”

“.....” ขุนพลนั่งเงียบ

“อย่าไปสนใจมันเลยครับ พวกสติไม่ดีก็อย่างนี้ เรากินกันเถอะ”

เนื่องจากเขาไม่อยากให้บรรยากาศมื้อดึกในวันนี้ต้องดำเนินไปอย่างไม่มีความสุข จึงตัดปัญหาด้วยการชวนพี่ขุนพลกินแล้วนั่งพูดเรื่องอื่นโดยทำเป็นหูทวนลมกับน้ำเสียงค่อนขอดของไอ้หัวขี้ที่มันมักจะโพล่งสวนบทสนทนาของเขาและพี่ขุนพลอยู่แทบจะทั้งตลอดการกิน จนในที่สุดความอดทนก็หมดลง ทางออกเดียวในตอนนี้จึงเป็นการขอย้ายโต๊ะ

กานเรียกพนักงานของร้านเมื่อเห็นว่ามีโต๊ะว่างอยู่พอดี

“ผมขอย้ายโต๊ะได้ไหมครับ พอดีนั่งตรงนี้แล้วได้กลิ่นตุ ๆ เหมือนมีหมาตายเลยครับ”

พนักงานร้านถึงกับหน้าถอดสีเมื่อลูกค้าบอกว่าได้กลิ่นเหม็นเน่า แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้กลิ่นอะไรก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็เร่งรีบย้ายโต๊ะให้ลูกค้าอย่างไว

“ขอโทษเรื่องกลิ่นรบกวนด้วยนะครับ”

หนึ่งในพนักงานที่มาช่วยย้ายโต๊ะเอ่ยบอกด้วยแววตาวูบไหว

“ไม่เป็นไรครับ จมูกผมอาจจะไม่ดีไปเอง อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ”

“ครับ เชิญคุณลูกค้ากินต่อนะครับ พวกผมไม่รบกวนแล้ว”

“ครับผม”

กานส่งยิ้มให้พนักงาน เขาเองก็รู้สึกผิดในใจที่ต้องโกหกออกไปคำโต เหตุเพราะอยากนั่งให้ไกลจากไอ้หัวขี้ ที่จริงในร้านมันไม่ได้มีกลิ่นอะไรเหม็นหรอก เขาแค่เหม็นขี้หน้าไอ้หัวขี้และรำคาญที่มันเอาแต่กระแอมและพูดจาแขวะพวกเขาไม่เลิกต่างหาก

“นั่งนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อยนะครับพี่ขุน”

“เรานี่มันร้ายไม่เบาเลยนะ”

“ว่าไม่ได้หรอกครับ กับคนแบบนั้นพูดจาดี ๆ ด้วยก็เปลืองแรง เหมือนพูดกับควาย”

“พูดแบบนี้ควายทั้งโลกคงน้อยใจแย่”

“แค่เปรียบเปรยนะครับ พี่ขุนกินต่อเถอะครับ ไอ้บ้านั่นมันคงไม่กล้าย้ายมานั่งกวนเราใกล้ ๆ หรอก”

ว่าจบก็หันหน้ากลับไปมองยังโต๊ะของอีกฝ่าย ซึ่งเขาก็เห็นว่าไอ้หัวขี้กำลังจ้องตาเขาเขม็งเพราะทำอะไรไม่ได้ “หึ” แต่แล้วจะทำไม ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรผิด คิดว่ามาปั่นประสาทเขาแบบนั้น แล้วเขาจะทนนั่งต่อเหรอ สู้ย้ายโต๊ะหนีไปเลยให้จบ ๆ

หากมันจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าชนะสงครามประสาทในครั้งนี้ เขาขอบอกเลยว่าคิดผิดมหันต์ ที่เขาย้ายโต๊ะหนีเพราะรำคาญ สถานการณ์ตอนนี้คงไม่ต่างจากการที่รู้สึกรำคาญใครสักคนแล้วไม่อยากเห็นมันคนนั้นผ่านหน้าฟีดโซเชียล เลยกดปุ่มบล็อกอย่างที่ไอ้ดลและไอ้พร้อมชอบบ่นให้เขาฟังบ่อย ๆ

‘รำคาญฉิบ!!’

 

เช้าวันต่อมา มหาวิทยาลัยคิงส์เวล

“แล้วมันแม่งก็ย้ายโต๊ะหนีกูโว้ย”

“สมน้ำหน้า พี่มึงรู้ตัวไหม ว่ามึงทำตัวเองประสาทแดกมาก”

“กูปกติจะตายเหอะ”

พี่ใหญ่ประจำกลุ่มชักสีหน้าใส่เพื่อนขณะกำลังนั่งเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาตามไปราวีไอ้กานจนถึงร้านอาหาร แต่กลับถูกอีกฝ่ายย้ายโต๊ะหนี มากไปกว่านั้น เด็กเปรตนั่นยังหาว่าเขาเหม็นเหมือนหมาตายอีกด้วย คิดแล้วมันแค้นใจนัก ฝ่ามือใหญ่ตบลงไปที่โต๊ะเรียนอย่างแรงจนเกิดเสียงดังไปทั่วห้อง โดยไม่สนสายตาว่าใครจะมองมาที่ตน

“กูว่าตอนนี้พี่มึงก็ประสาทแดก โต๊ะมันผิดอะไรถึงไปลงกับมัน กูไม่เข้าใจจริง ๆ”

“กูแค้นใจโว้ย ไอ้โยมึงอยู่ข้างกูใช่ไหมเพื่อน”

ถึงจะอายุมากกว่าเพื่อนในกลุ่ม แต่การกระทำและอายุสมองของธีต์ช่างสวนทางยิ่งนัก เขาหันไปถามกึ่งฟ้องวาโยที่ตอนนี้กำลังตั้งอกตั้งใจฟังเพื่อนพูดด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวเบื่อหน่ายและอยากทิ้งตัวลงนอนเสียเดี๋ยวนี้

“จบยัง เสียเวลานอน”

หนุ่มหล่อพูดน้อยที่พูดขึ้นมาแต่ละทีก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนอนอย่างวาโยปรายตาไปมองยังโต๊ะเรียนเบื้องหน้า อย่างกับต้องการใช้ความคิดว่าเขาจะเอนหัวลงนอนในทิศทางใดถึงจะได้หลับสบาย

“กูไม่น่าคาดหวังอะไรจากเจ้าชายนิทราอย่างมึงเลยจริง ๆ เชิญคุณชายวาโยนอนลงไปเถอะครับ”

“ขอบใจ”

วาโยเหมือนกดปุ่มปิดสวิตช์ร่างกาย ใบหน้าหล่อเหลาทิ้งตัวลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราของตัวเองในทันที โดยไม่ได้อยู่ฟังว่าเพื่อนจะพูดสิ่งใดต่อ เสียงลมหายใจเบา ๆ ดังออกมาอย่างสม่ำเสมอในเวลาอันรวดเร็ว บ่งบอกว่าเจ้าของร่างหลับสนิทลงไปแล้วจริง ๆ

“กูละยอมใจมันเลย แค่ได้ทิ้งหัวลงใส่อะไร มันก็หลับได้ทุกที่”

“นี่ยังดีนะพี่มึง ช่วงนี้มันไม่ไปแอบหลับอยู่หลังคณะแล้ว”

“ทำไมวะ”

“เห็นบ่นว่าไปเจอคนน่ารำคาญมา มันเลยไม่อยากไปนอนที่นั่น”

“ใครกันวะที่ทำให้ไอ้โยพูดถึงได้ กูอยากเจอหน้าเลย”

หากเป็นคนอื่นเจอใครสักคนแล้วบ่นว่าคนนั้นน่ารำคาญมันคงเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเพื่อนรักของเขาอย่างวาโยมันถือว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะไอ้เพื่อนตัวดีมันเคยพูดถึงคนอื่นเสียที่ไหน ถ้าเป็นเรื่องสารพัดชื่องูของมันก็ว่าไปอย่าง ‘ตั้งแต่รู้จักกันมาไอ้โยพูดชื่องูให้เขาได้ยินมากกว่าชื่อคนเสียอีก’

“กูซักมันจนเปื่อย บอกแค่ว่าเรียนอยู่นิเทศ ทำตัวเหมือนจานสีน่ารำคาญ”

มหาสมุทรพูดเสียงเนือย ๆ เนื่องจากเขาเองก็ใช้ความสามารถทุกอย่างในการคาดคั้นเอาคำตอบถึงคนน่ารำคาญที่ไอ้โยพูดถึง แต่ในเมื่อมันให้ความร่วมมือมาแค่ชื่อคณะแล้วตัดบทไปเสียดื้อ ๆ เขาเองก็จนปัญญาที่จะสืบสาวหาบุคคลนิรนามนั้น

“เออ ช่างมันเถอะ ว่าแต่มึงมีเรื่องอะไรที่ให้กูทำแก้เบื่อหน่อยไหมวะ เซ็งเรื่องไอ้กานไม่หาย”

“มี ไปค่ายอาสากับกูไหมพี่มึง”

โทนเสียงถูกเปลี่ยนอย่างมาเป็นร่าเริงด้วยความกะทันหันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีเรื่องตื่นเต้นและตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงวันออกเดินทางไว ๆ

“ค่ายอาสา?”

“อืม ของจารย์นพ แกมาชวนกูไป เห็นบอกว่าทำบุญใหญ่ก่อนเรียนจบ เป็นค่ายปรับปรุงโรงเรียนบนดอย พี่มึงสนใจหรือเปล่า”

“กูขอบายละกัน ไม่ชอบลำบากวะ แต่ถ้าจะให้ช่วยบริจาคเงินบอกได้”

ธีต์ยกมือขึ้นโบกปฏิเสธกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว จะให้เขายอมรับตรง ๆ ก็ได้ว่าตัวเองเป็นพวกหนักไม่เอา เบาไม่สู้ ยิ่งได้ยินคำว่าค่ายอาสาแค่คิดเขาก็เหนื่อยรอตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเดินทาง เขามันเป็นประเภทเน้นโอนทำบุญไม่เน้นลงมือปฏิบัติเพราะไม่อยากเหนื่อย

“ไม่ไปจริงเหรอ?”

แววตาที่แฝงไปด้วยลับลมคมในทำเอาคนมองย่นหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย “ทำไมถามด้วยเสียงแปลก ๆ แบบนี้” ธีต์พยายามคาดคั้นเอาคำตอบจากไอ้หมุดให้ได้

“พี่มึงไม่ไปค่ายอาสานี้จริง ๆ เหรอ”

“กูว่าเมื่อกี้กูพูดภาษาคนนะหมุด ไม่ไปก็คือไม่ไปโว้ย กูแก่แล้ว และกูเหนื่อยง่ายมาก อย่าพากูไปลำบากเลย แค่เดินขึ้นบันไดก็หอบจะแย่”

“แต่กูได้ยินมาว่าค่ายนี้พวกเด็กทุนคณะเราไปกันทุกคนนะพี่มึง”

พอได้ยินคำว่า ‘เด็กทุน’ ความกระตือรือร้นก็เข้าสิงร่างของธีต์อย่างไว ร่างสูงหูผึ่งเมื่อรู้ว่าหนึ่งในเด็กทุนมันมี ‘ไอ้กาน’ รวมอยู่ด้วย

“เหรอวะ”

“ใช่นะสิ เด็กทุนเขาไปกันทุกปี มึงไม่รู้หรือไง”

“อืม งั้นปีนี้กูลองไปด้วยก็ได้ อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศทำบุญดูบ้างวะ”

พี่ใหญ่ประจำกลุ่มพูดหน้าตายทั้งที่เมื่อครู่ยังแทบจะกินหัวเพื่อนที่มาคะยั้นคะยอถามเรื่องค่ายอาสาอยู่หยก ๆ

มหาสมุทรไหวไหล่ด้วยความกวน ๆ เขารู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าหากเอาเรื่องของเด็กนั่นมาอ้าง แม้จะให้พี่มันไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหน ไอ้คนปากแข็งอย่างมันก็ต้องดั้นด้นตามไปอยู่ดี ฝ่ามือใหญ่ยื่นออกไปจับตามเนื้อตัวของเพื่อนราวกับกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่าง

“มึงมาหาไรบนตัวกูไอ้หมุด กูไม่ใช่ไม้ตะเคียนให้มึงมาขูดหาหวยนะ”

“นี่ไอ้พี่ธีต์เพื่อนกูหรือกิ้งก่ากันวะ?”

“เล่นอะไรของมึงไอ้หมุด”

“เปลี่ยนสีเร็วขนาดนี้กูเลยไม่มั่นใจว่าใช่ไอ้พี่ธีต์ตัวจริงหรือเปล่านะสิ”

“ไอ้หมุด มึงนี่มัน!! ไม่วอนตีนกูสักเรื่องจะตายหรือไง”

“ตายค่ะ”

มหาสมุทรล้อเลียนเพื่อนปิดท้าย รอยยิ้มร้าย ๆ ฉบับพ่อพระแต่ใจมารที่เพื่อน ๆ มักตั้งฉายาให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา เห็นทีงานนี้คงมีเรื่องสนุก ๆ เกิดขึ้นให้เขาได้เอาไปเล่าต่อกันฟังไปอีกหลายชั่วอายุคน

ร้อยวันพันปีคนอย่างไอ้พี่ธีต์มันยอมพาตัวเองไปลำบากที่ค่ายอาสาเสียที่ไหน ทุกปีก็เห็นบริจาคแต่เงินไม่เคยจะไปร่วมเอง แต่คราวนี้ดันเปลี่ยนใจง่ายดายเพียงเพราะได้ยินที่เขาบอกว่า ‘เด็กทุน’ เข้าร่วมด้วย งานนี้เตรียมรอเจอเรื่องราวป่วน ๆ กันได้เลย ‘ไม่โรงเรียนแตกก็ค่ายแตกแน่นอน ไอ้หมุดคอนเฟิร์ม’

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • การันต์กันธีต์   ตอนจบ : วันเกิดปีนี้พี่ธีต์ไม่ต้องฉลองคนเดียวอีกต่อไปแล้วนะ

    “ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 48 : ฟ้าหลังฝนงดงามเสมอสินะ

    “ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 47 : แม่ยายและว่าที่ลูกสะใภ้หมายเลขหนึ่ง

    ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 46 : คำบอกรักจากพี่ธีต์ที่ไปไม่ถึงคนฟัง

    “กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 45 : ความรักของพ่อ ความรักของแฟน

    “คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 44 : ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

    โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status