ยังไม่ทันที่เยี่ยนหยางจงจะมีปฏิกิริยาตอบกลับ จ้าวกุ้ยอินก็วิ่งถลาออกไปจากห้อง แล้วร้องตะโกนอย่างไม่กลัวตาย “ข้าเป็นคนสั่งให้ชิวสุ่ยโยนมีดสั้นพระราชทานเล่มนั้นลงมาเอง ได้ยินไหมว่าข้าเป็นคนสั่ง...”“อินเอ๋อร์ หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” เยี่ยนหยาจงได้สติคืนมา รีบหมุนกายวิ่งตามจ้าวกุ้ยอินที่กำลังจะออกพ้นประตูเรือนอยู่รอมร่อ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วยิ่ง คว้าข้อมือของนางเอาไว้ได้ทันท่วงที ครั้นเห็นคนพยายามดิ้นรนจึงยกร่างบางประหนึ่งว่าไร้น้ำหนักขึ้นพาดบ่า เดินกลับเข้าไปในห้องนอน“เจ้าหมียักษ์สารเลว ปล่อยข้า...ปล่อยข้านะ” นางทั้งทุบทั้งตี แต่ก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหินไม่มีผิด“เป็นถึงฮูหยินแม่ทัพ ห้ามเอ่ยวาจาส่งเดช”“ถ้าเลือกได้ ใครอยากเป็นฮูหยินของคนป่าเถื่อน ใจคอโหดเหี้ยม โลภโมโทสันอย่างเจ้ากัน”“...” เขาสังหารศัตรูไปเรือนแสน หากจะบอกว่าเป็นคนป่าเถื่อนและโหดเหี้ยมยังนับว่าเข้าใจได้ แต่เรื่องโลภโมโทสันเห็นได้ชัดว่าห่างไกลความจริง และการต่อปากต่อคำกับสตรีที่กำลังกระฟัดกระเฟียดก็ไม่ใช่วิสัยของตน“หากชิวสุ่ยเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด”เยี่ยนหยางจงเดินอาด ๆ ไปยังเตียงนอนแล้วโยนคนตัวเล็กลงไป
“ซื่อจื่อให้คนไปแจ้งทีเรือนใหญ่แต่เช้า ว่าท่านหญิงไม่ค่อยสบาย ฮูหยินจึงสั่งว่ารอท่านหายดีก่อนค่อยไปเยี่ยมคารวะยามเช้าเจ้าค่ะ” แม่นมจางรีบรายงานทันทีจ้าวกุ้ยอินได้ยินก็เค้นเสียงหึคำหนึ่ง ไม่ได้ซาบซึ้งในน้ำใจของเยี่ยนหยางจงแม้แต่นิดเดียว บุรุษผู้นั้นคิดว่าการทำดีเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านี้ จะสามารถทำให้นางลืมเลือนว่าเขาเป็นคนส่งชิวสุ่ยไปแดนน้ำพุเหลือง[1]หรือไร ไหนจะเล่ห์กลทั้งหลายที่เขานำมาใช้กับตนเองอีกช่างน่าขันสิ้นดี!แม้ไม่ต้องไปคารวะแม่สามีแล้ว แต่จ้าวกุ้ยอินไม่คิดจะนอนต่อ จึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง พอเห็นดังนั้นนางกำนัลคนนสนิทก็พากันปรนนิบัตินายหญิงล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนอาภรณ์ เนื่องจากเยี่ยนหยางจงแจ้งมารดาว่าภรรยายังป่วยอยู่ จ้าวกุ้ยอินเองก็ไม่อยากทำตัวผิดสังเกต จึงเลือกอาภรณ์สีขาวสะอาด จากนั้นสั่งชิวอิงให้เกล้าผมและแต่งหน้านางเพียงบาง ๆ เท่านั้นเมื่อได้รับคำสั่ง ชิวอิงก็อมยิ้มน้อย ๆ พลางคิดในใจ เพื่อให้ดูสูงส่งสง่างาม ปกติท่านหญิงมักเลือกเสื้อผ้าสีสด และแต่งหน้าเข้ม ๆ ทำให้แลดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวอยู่บ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วรูปโฉมของเจ้านายงดงามสดใสราวกับสตรีแรกแย้ม ใบหน้ารูปแตง
“แสดงว่า...” จ้าวกุ้ยอินหันหน้ากลับมา หลุบสายตาซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้แพขนตา พลางเอ่ยพึมพำเสียงเบา“ใช่เจ้าค่ะ ชิวสุ่ย...ถูกส่งออกไปจากจวนเรียบร้อยแล้ว”จ้าวกุ้ยอินผินหน้าไปทางหน้าต่าง ทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ภายนอก แต่มิได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศแม้แต่น้อย อดไม่ได้ที่จะคำนึงถึงเรื่องเมื่อวาน หากยามนั้นนางกำชับให้ชิวสุ่ยระมัดระวังอีกสักนิดคงไม่เกิดเรื่องหากเป็นสาวใช้คนอื่น ไม่ใช่นางกำนัลที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันอย่างชิวสุ่ย จ้าวกุ้ยอินคงไม่รู้สึกอะไรนัก ครั้นคิดว่าตนเองเป็นสาเหตุให้นางกำนัลคนสนิทต้องมาตายอย่างอนาจ หัวใจของนางพลันบีบรัด แม้ไม่ได้ร้องไห้ออกมา ทว่าน้ำตากลับหลั่งรินอยู่ในใจถึงจะเสียใจที่นางกำนัลรุ่นใหญ่อย่างชิวสุ่ยต้องมาด่วนจากไป แต่ชิวเยวี่ยไม่อยากให้จ้าวกุ้ยอินเอาแต่นั่งหงอยเหงาเศร้าซึม เดิมทีร่างกายท่านหญิงก็ไม่แข็งแรง หากมัวแต่จมจ่อมกับความโศกเศร้า สุขภาพอาจย่ำแย่มากกว่าเดิม จึงเดินเข้าไปแล้วแสร้งยิ้มกล่าวอย่างกระตือรือร้น“วันนี้อากาศดี ท่านหญิงอยากออกไปนั่งเล่นในสวนสักหน่อยหรือไม่” แม้จ้าวกุ้ยอินส่ายหน้าเบา ๆ ชิวเยวี่ยก็ไม่ละความพยายาม ยังคงเอ่ยโน้มน้าวต่อไป “วันนี้
พอจ้าวกุ้ยอินคิดมาถึงตรงนี้ คิ้วที่เดิมขมวดแน่นพลันคลายออก ริมฝีปากเผยรอยยิ้มงดงามปานบุปผา ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกล ก่อนจะปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ แล้วยกจอกชาขึ้นจิบ หยิบขนมไป่เหอขึ้นมากัดคำเล็ก ๆ ด้วยความพึงพอใจ ประหนึ่งว่าคนที่ทำหน้าบูดเมื่อครู่มิใช่นาง“ชิวเยวี่ย”“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ” ชิวเยวี่ยรีบเดินเข้าไปยืนด้านข้าง รอรับคำสั่งด้วยท่าทีนอบน้อม จ้าวกุ้ยอินส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้อีก นางก็ขยับเข้าไป แล้วตั้งใจฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย“บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นางยิ้มจนแก้มบุ๋ม จากนั้นก็ลุกขึ้นหมุนตัวเดินจากไป แม้ชิวเยวี่ยจะเป็นนางกำนัลที่ไทเฮาส่งมาให้จ้าวกุ้ยอินได้เพียงปีเดียว แต่ด้วยอายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาดูสดใสน่ารัก ทั้งยังช่างเจรจาเป็นที่สุด คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้นางเข้ากับคนได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากแทบไม่มีผู้ใดหวาดระแวงเด็กสาวที่เพิ่งโตคนหนึ่ง คนที่นางไปตีสนิทด้วยจึงมักเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังโดยง่าย ด้วยเหตุนี้จ้าวกุ้ยอินจึงให้ชิวเยวี่ยออกไปสืบข่าวทั้งภายในและภายนอกจวนอยู่บ่อยครั้งพอนางกำนัลคนสนิทเดินลับตาไปแล้ว จ้าวกุ้ยอินก็นั่งชมนกชมไม้ไปตามเรื่องเช่นเดิม
“ลำบากท่านหมอแล้ว แต่ ‘คน’ ที่เป็นอะไรนั้นไม่ใช่ข้า” จ้าวกุ้ยอินยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดในจวนเจ็บไข้ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้น้อยทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าจะให้ตรวจนางกำนัล หรือสาวใช้คนใดของท่านขอรับ”“รบกวนท่านหมอแล้ว” กล่าวจบ จ้าวกุ้ยอินก็ผายมือไปด้านข้างซึ่งไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น“...” ชงอวี้นิ่งอึ้ง“ในตะกร้า” พอเห็นสีหน้างุนงงของผู้เป็นหมอ จ้าวกุ้ยอินจึงเปิดปากอีกประโยคชงอวี้สาวเท้าไปยังโต๊ะข้างตั่งที่มีตะกร้าวางอยู่ใบหนึ่ง พอถึงที่หมายก็ชำเลืองมองลงไป เมื่อเห็นกระรอกน้อยนอนตัวสั่นอยู่ในนั้น พลันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบความอดทนแม้อยากจะตะโกนใส่หน้าสวย ๆ ของฮูหยินซื่อจื่อว่า ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่? แต่ก็พยายามตั้งสติ รวมไปถึงทำความเข้าใจสตรีงดงามที่กำลังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วมองมาทางนี้อย่างมีความหวัง จึงยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้หากสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บป่วย ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงส่งคนเชิญตนเองมารักษามันกระมังแต่ว่าเขาเป็นหมอรักษาคน!“ท่านหมอรออะไรอยู่หรือ ยังไม่รีบตรวจอีก” จ้าวกุ้ยอินที่รอฟังอาการของกระรอกน้อยเจ้าปัญหาอยู่เอ่ยเ
“ขอบคุณฮูหยินชื่อจื่อมากขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” ชิงอวี้รับถุงแพรมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วกล่าวคำอำลา หลังจากได้รับอนุญาตเขาก็รีบจากไปทันทีจ้าวกุ้ยอินมองไปยังตะกร้าที่เจ้ากระรอกน้อยนอนอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แท้ท่าทางจะเป็นจะตายของมันเมื่อครู่เกิดจากความตะกละ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกยินดีที่เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลนี้จะไม่เป็นอะไร เพราะถ้ามันตายขึ้นมา คงเพิ่มความหดหู่ให้ชีวิตนางมากขึ้นไปอีก“ถ้าเป็นตามที่ท่านหมอบอก อีกไม่นานเจ้านี่คงจะถ่ายออกมา บ่าวว่าเอามันออกไปดูแลที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ชิวอิงยังคงจดจำกลิ่นราวกับมีอะไรตายเมื่อครู่ได้ดี จึงไม่คิดเสี่ยงให้มันถ่ายของเสียออกมาในห้องอีกแต่ว่าสายเกินไป...ปู๊ด! ปรื๊ด...ปรี๊ด! จ้าวกุ้ยอินเอามือปิดจมูก ลุกขึ้นในฉับพลัน แล้วสาวเท้าถี่ ๆ ออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่ร่างอรชรจะพ้นประตู ยังไม่วายหันมากำชับนางกำนับคนสนิท “ชิวอิง เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน พอทำความสะอาดเรียบร้อยค่อยไปตามข้า”ชิวอิงรับคำสั่งแล้วร้องไห้อยู่ในใจ พลางมองตะกร้าใบเล็กอย่างผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมฮือ...ท่านหญิง ทำไมเป็นข้าที่ต้องเช็ดอึกระรอกด้วยเล่า?เมื่
หลังจากได้ชื่ออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว จิงจิงก็ก้มหน้าลงแทะเปลือกเหอเถาต่อ โดยมีจ้าวกุ้ยอินนั่งเท้าคางมองมันด้วยความเอ็นดูอยู่เงียบ ๆดวงหน้างามพิสุทธิ์อาบย้อมด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาหงส์ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำฤดูสารท สีหน้าเปี่ยมสุขราวบุปผาบานสะพรั่ง ดูงดงามเปล่งประกายจนผู้มองตาพร่ามัวภาพสตรีสะคราญโฉมเริงรื่นดุจความฝัน ทำให้เรือนเจาหยางมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดลยามแสงทองบนท้องนภาถูกแทนที่ด้วยม่านราตรีสีดำ ทั่วทั้งจวนก็เริ่มจุดโคมไฟ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนเจาหยาง แสงสีนวลจากโคมเหนือประตูสว่างไสวเสมือนดวงดาวนำทางให้ใครสักคน หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่นไปทั้งกาย ชิวอิงกับชิวเยวี่ยก็ช่วยกันสวมชุดนอนให้นายหญิง ทั้งบรรจงสางผมจนเรียบลื่น กระทั่งเส้นไหมสีดำมันวาวแผ่สยายเต็มแผ่นหลังเอี้ยมสีชมพูปักลายดอกโบ๋ตั๋นถูกสวมทับด้วยอาภรณ์แพรโปร่งบางสีเดียวกัน ขับเน้นผิวขาวราวหิมะให้กระจ่างสดใส อวดเรือนร่างอรชรภายใต้แสงเทียน ดูเย้ายวนใจอย่างยิ่งจ้าวกุ้ยอินอดขมวดคิ้วมิได้ เมื่อเห็นคนสนิททั้งสองกระตือรือร้นในการแต่งกายให้นางเป็นพิเศษ ราวกับจะเตรียมส่งพระสนมไปยังห้องบรรทมของจักรพรรดิ“พวกเจ้าแน่ใจนะว่ากำลัง
ครั้นตื่นลืมตา จ้าวกุ้ยอินพบว่าที่ตนเองตระหนกอยู่ครึ่งค่อนคืนนั้นเสียเปล่าแล้วเยี่ยนหยางจงไม่ได้กลับมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้อง แม่นมจางเดินนำชิวอิงกับชิวเยวี่ยเข้ามาปรนนิบัติยามเช้าทันที เพราะวันนี้คู่แต่งงานใหม่ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียมจ้าวกุ้ยอินลุกขึ้นจากเตียงแล้วทำธุระเช้าโดยไม่อิดออด เพราะจะได้กลับจวนไปพบหน้าบิดากับพี่ชายใหญ่ ไหนจะอวี้หรูเหรินอีก เมื่อในหัวใจเกิดความยินดี ยามนี้จึงรู้สึกสดชื่นอย่างยิ่งหลังจากพลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ท่านหญิงเรียบร้อยแล้ว แม่นมจางก็พาชิวเยวี่ยออกไปจากห้อง เหลือเพียงชิวอิงที่กำลังง่วนกับการแต่งหน้าทำผมให้เจ้านายภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียง “กรุ๊งกริ๊ง” ยามชิวอิงหยิบปิ่นทองประดับทับทิมปักลงบนศีรษะ จ้าวกุ้ยอินเหลือบมองเครื่องประดับชุดนั้นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนยกมือขึ้นเป็นเชิงรั้ง “ข้าไม่เอาเครื่องประดับชุดนี้”“ทำไมเล่าเจ้าคะ? บ่าวว่าเครื่องประดับปิ่นชุดนี้งดงามอย่างยิ่ง เหมาะกับท่านหญิงเป็นที่สุด” ชิวอิงเลิกคิ้วถาม“ถ้าจำไม่ผิด ปิ่นชุดนี้คือของหมั้นที่เยี่ยนหยางจงส่งมาให้ข้า”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ่าวยังนึกแปลกใจไม่หาย ว่าท่
เถิด นี่มันบนรถม้านะ” จ้าวกุ้ยอินรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว จึงพยายามไม่มองเขา แล้วเอ่ยปราม“อ่อ ถ้าเป็นที่อื่น สามีไม่ต้อง...”“หยุดเดี๋ยวนี้เลย!”“ก็ได้...ก็ได้ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” ครั้นสัมผัสได้ถึงโทสะจาง ๆ ในน้ำเสียงภรรยาอีกครั้ง เยี่ยนหยางจงก็รีบออกปาก พลางดึงนางเข้ามาซบในอ้อมอก แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวน “กว่าจะกลับถึงจวนคงอีกนาน อินเอ๋อร์ก็พักผ่อนเถิด”“ข้า...ข้านอนแบบนี้ไม่ถนัด ท่านก็ขยับไปตรงโน้นสิ ผู้อื่นจะได้นอนลงบนตั่ง”“ตรงนี้ดีแล้ว” พูดพลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย“...” จ้าวกุ้ยอินไร้วาจา ได้แต่ลอบตำหนิอยู่ในใจ บุรุษผู้นี้เผด็จการเหลือร้าย แม้ปากจะเอ่ยคำหวาน แต่ไม่เคยยินยอมให้นางปฏิเสธเขาแม้แต่หนเดียว จึงจำต้องโอนอ่อน หลับตาลงในอ้อมกอดแต่โดยดีรถม้าเคลื่อนไปบนถนนศิลาอย่างช้า ๆ ทั้งสองไม่ได้สนทนาอะไรกันอีก มีเพียงสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นประทับเบา ๆ ลงบนหน้าผากของจ้าวกุ้ยอินอยู่เป็นระยะ เดิมทีนางคิดว่าอีกฝ่ายแค่แสดงละครฉากใหญ่ให้ผู้อื่นคิดว่าเขาเป็นสามีตัวอย่าง และตนเองเป็นสตรีผู้โชคดีแต่ยามนี้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสแสร้งหรือว่า...เขามี
“ชู่ว์...อย่าเอ็ดไป เจ้าไม่กลัวคนข้างนอกได้ยิน แล้วสงสัยว่าเรา...กำลัง...ทำอะไรกันอยู่...?” เมื่อเห็นคนปากเก่งแนบตนเองไว้กับผนังรถม้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ถลึงตาใส่ขู่ฟอด ๆ อย่างกับแมวน้อย เยี่ยนหยางจงก็เผยรอยยิ้มลำพองใจ“เจ้า...เจ้า...เจ้ามันชั่วช้าสารเลว กักฬะสิ้นดี”“น้องหญิงเรียกแบบนี้ใช้ไม่ได้นะ นี่สามี...ใช่คนชั่ว คนสารเลวที่ไหนกัน” เยี่ยนหยางจงส่งสายตาหยอกเย้า พลางหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน“คนถ่อย!” ยิ่งเห็นท่าทางยียวนและได้ยินถ้อยคำที่เขาเรียกขานนางอย่างสนิทสนมราวกับคู่สามีภรรยาที่รักกันดูดดื่ม นอกจากจะขนลุกแล้ว ยังรู้สึกโมโหมากขึ้นด้วย คนผู้นี้จงใจยั่วโทสะนางชัด ๆ จึงส่งสรรพนามใหม่ไปให้อีกคำ“อะไรกันเมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อตายังเรียกข้า ‘ท่านพี่’ อยู่แท้ ๆ”“คนน่ารังเกียจ!”“อินเอ๋อร์...จำได้ว่าเราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว สามีให้โอกาสเจ้าเรียกใหม่”“เจ้าจะทำไม ข้าพอใจจะเรียกแบบนี้ คนชั่ว คนสารเลว คนถ่อย คนบ้าอำนาจ...” จ้าวกุ้ยอินไม่ยอมแพ้ ยังคงเอ่ยสรรพนามไม่น่าฟังใส่เขาอย่างต่อเนื่อง“สามีเตือนเจ้าแล้ว”“หึ! คิดว่าผู้อื่นต้องกลัวเจ้าหมดงั้นสิ” จ้าวกุ้ยอินเชิดหน้าใส่อย่
ทันใดนั้นหลิวหยงคนสนิทของเยี่ยนหยางจงก็เดินนำคนสองสามคนเข้ามา ทว่าทุกสายตากลับไปตกอยู่ที่อาชาซึ่งถูกจูงมาทางด้านหลัง ยิ่งเข้ามาใกล้ ทุกคนในที่นั้นก็แทบลืมหายใจขนสีทองที่ปกคลุมตลอดทั้งตัวเปล่งประกายยามต้องแสงอรุณ ทั้งแข็งแรง องอาจปราดเปรียว งามสง่ายากจะหาใดเปรียบปาน“อะ...อะ...อาชาสวรรค์” จ้าวอ๋องอุทานออกมาแทบไม่เป็นคำ นับประสาอะไรกับจ้าวเฟิงเหลยที่ยืนตะลึงอ้าปากตาค้างไปแล้ว“ท่านพ่อตากล่าวได้ถูกต้อง แม้แคว้นหานจะมิได้ขาดแคลนอาชาเหงื่อโลหิต แต่รับรองว่าไม่มีผู้ใดมี ‘อาชาสวรรค์’ ไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน”“จะ...เจ้าให้ข้า”“ไม่ผิด และหวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะทำให้ท่านพ่อตากระจ่างในเจตนาของหยางจง” เยี่ยนหยางค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทั้งมั่นคงและหนักแน่น แววตาคมกล้าเผยความจริงใจใช้อาชาสวรรค์ตอบแทนที่เขายกสตรีแสนวิเศษให้! นี่เยี่ยนหยางจงกำลังจะบอกว่าธิดาของเขามีความสำคัญมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้เชียวจ้าวอ๋องหันไปมองจ้าวกุ้ยอินปราดหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนกลับมาที่เยี่ยนหยางจง แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ในเมื่อบุตรเขยพยายามแสดงความจริงใจถึงขนาดนี้ ตนเองจะยอมเชื่อใจดูสักครั้ง“เปิ่นหวาง
หลังรับสำรับกลางวันเสร็จ จ้าวอ๋องกำลังอารมณ์ดี จึงชวนบุตรเขยกับบุตรชายไปสนทนาและร่ำสุราต่อในสวน ส่วนจ้าวกุ้ยอินกับอวี้หรูเหรินขอตัวไปเดินเล่น พูดคุยกันตามประสาสตรีขณะที่เหล่าบุรุษกำลังสนทนากันอย่างออกรส บ่าวชายผู้หนึ่งก็เข้ามารายงาน“เรียนท่านอ๋อง มีพ่อค้าจากต่างแดนกลุ่มหนึ่งอ้างว่านำของมาส่งท่านแม่ทัพ บ่าวเห็นว่าไม่มีคำสั่ง จึงให้พวกเขาไปรอที่ประตูหลัง แต่ยังไม่ให้เข้ามาขอรับ”“หากเป็นของเจ้า เหตุใดจึงให้ส่งมาที่นี่เล่า” จ้าวอ๋องหันไปถามบุตรเขย“เรียนท่านพ่อตา สิ่งที่ส่งมาคือของขวัญวันเยี่ยมบ้านภรรยาของข้า” เยี่ยนหยางจงตอบพลางอมยิ้มน้อย ๆ“ไม่ใช่ว่าส่งเข้ามาหมดแล้วหรอกหรือ” จ้าวอ๋องนึกถึงของมีค่าที่ธิดายกเข้ามาให้ก่อนหน้านี้“เพื่อตอบแทนที่ท่านพ่อตายกสตรีที่แสนวิเศษเช่นท่านหญิงให้กับข้า แน่นอนว่าของขวัญชิ้นนี้ย่อมพิเศษกว่า”คำพูดของบุตรเขยเอ่ยเป็นนัย เขาต้องการแสดงออกถึงความจริงใจที่มีต่อจ้าวกุ้ยอิน จ้าวอ๋องจึงรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา พลันหันไปสั่งบ่าวชายที่ยืนรออยู่ “เร็วเข้า รีบให้พวกเขาเข้ามาส่งของ หลังจากรับไว้แล้วก็เอามาให้ข้าดูที่นี่”“ช้าก่อน ท่านพ่อตา พวกเราคงต้องไปชมที่คอกม้าจึ
“ช้าก่อน” เสียงตะโกนแหบห้าวดังกังวานมาจากหัวมุมถนน ยับยั้งคำสั่งเคลื่อนขบวนรถม้าไว้ทันท่วงทีจ้าวกุ้ยอินอยู่ภายในรถทำให้ไม่เห็นสภาพภายนอก ชิวอิงจึงออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นร่างสูงสง่าบนหลังอาชาสีนิลกำลังออกคำสั่งให้องค์รักษ์ตั้งขบวนอารักขา พลันเลิกม่านกลับเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี “ซื่อจื่อกลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังจัดกำลังอารักขาขบวนอยู่เจ้าค่ะ”“จัดกำลัง?” จ้าวกุ้ยอินขมวดคิ้ว ยังรู้สึกรับมือไม่ทัน“ท่านหญิงได้ยินไม่ผิดเจ้าค่ะ” พูดจบชิวอิงก็ขยับเข้ามา เลิกม่านหน้าต่างขึ้นเล็กน้อยจ้าวกุ้ยอินทอดสายตาออกไปภายนอก เห็นทหารองค์รักษ์ประมาณสิบกว่าคนกำลังตั้งขบวนอยู่ด้านหลัง จึงเข้าใจสถานการณ์อย่างแจ่มแจ้ง ความจริงแล้วบุรุษที่หายหน้าไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ได้คิดจะสร้างความอัปยศให้นางโดยการให้กลับไปเยี่ยมบ้านผู้เดียวสินะรอยยิ้มสายหนึ่งปรากฏบนดวงหน้างามลออโดยไม่รู้ตัวแต่พอเห็นว่าเยี่ยนหยางจงทำท่าเหมือนจะหันมาทางนี้ นางก็รีบเก็บสายตากลับ แล้วพึมพำเสียงเบา “นับว่าเจ้าหมียักษ์ยังรู้ดีชั่ว”เยี่ยนหยางจงมองม่านหน้าต่างที่พะเยิบพะยาบด้วยแววตาล้ำลึก ก่อนบังคับอาชาไปยังหน้าขบวนรถม้าพร้อมกับห
ครั้นตื่นลืมตา จ้าวกุ้ยอินพบว่าที่ตนเองตระหนกอยู่ครึ่งค่อนคืนนั้นเสียเปล่าแล้วเยี่ยนหยางจงไม่ได้กลับมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้อง แม่นมจางเดินนำชิวอิงกับชิวเยวี่ยเข้ามาปรนนิบัติยามเช้าทันที เพราะวันนี้คู่แต่งงานใหม่ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียมจ้าวกุ้ยอินลุกขึ้นจากเตียงแล้วทำธุระเช้าโดยไม่อิดออด เพราะจะได้กลับจวนไปพบหน้าบิดากับพี่ชายใหญ่ ไหนจะอวี้หรูเหรินอีก เมื่อในหัวใจเกิดความยินดี ยามนี้จึงรู้สึกสดชื่นอย่างยิ่งหลังจากพลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ท่านหญิงเรียบร้อยแล้ว แม่นมจางก็พาชิวเยวี่ยออกไปจากห้อง เหลือเพียงชิวอิงที่กำลังง่วนกับการแต่งหน้าทำผมให้เจ้านายภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียง “กรุ๊งกริ๊ง” ยามชิวอิงหยิบปิ่นทองประดับทับทิมปักลงบนศีรษะ จ้าวกุ้ยอินเหลือบมองเครื่องประดับชุดนั้นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนยกมือขึ้นเป็นเชิงรั้ง “ข้าไม่เอาเครื่องประดับชุดนี้”“ทำไมเล่าเจ้าคะ? บ่าวว่าเครื่องประดับปิ่นชุดนี้งดงามอย่างยิ่ง เหมาะกับท่านหญิงเป็นที่สุด” ชิวอิงเลิกคิ้วถาม“ถ้าจำไม่ผิด ปิ่นชุดนี้คือของหมั้นที่เยี่ยนหยางจงส่งมาให้ข้า”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ่าวยังนึกแปลกใจไม่หาย ว่าท่
หลังจากได้ชื่ออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว จิงจิงก็ก้มหน้าลงแทะเปลือกเหอเถาต่อ โดยมีจ้าวกุ้ยอินนั่งเท้าคางมองมันด้วยความเอ็นดูอยู่เงียบ ๆดวงหน้างามพิสุทธิ์อาบย้อมด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาหงส์ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำฤดูสารท สีหน้าเปี่ยมสุขราวบุปผาบานสะพรั่ง ดูงดงามเปล่งประกายจนผู้มองตาพร่ามัวภาพสตรีสะคราญโฉมเริงรื่นดุจความฝัน ทำให้เรือนเจาหยางมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดลยามแสงทองบนท้องนภาถูกแทนที่ด้วยม่านราตรีสีดำ ทั่วทั้งจวนก็เริ่มจุดโคมไฟ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนเจาหยาง แสงสีนวลจากโคมเหนือประตูสว่างไสวเสมือนดวงดาวนำทางให้ใครสักคน หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่นไปทั้งกาย ชิวอิงกับชิวเยวี่ยก็ช่วยกันสวมชุดนอนให้นายหญิง ทั้งบรรจงสางผมจนเรียบลื่น กระทั่งเส้นไหมสีดำมันวาวแผ่สยายเต็มแผ่นหลังเอี้ยมสีชมพูปักลายดอกโบ๋ตั๋นถูกสวมทับด้วยอาภรณ์แพรโปร่งบางสีเดียวกัน ขับเน้นผิวขาวราวหิมะให้กระจ่างสดใส อวดเรือนร่างอรชรภายใต้แสงเทียน ดูเย้ายวนใจอย่างยิ่งจ้าวกุ้ยอินอดขมวดคิ้วมิได้ เมื่อเห็นคนสนิททั้งสองกระตือรือร้นในการแต่งกายให้นางเป็นพิเศษ ราวกับจะเตรียมส่งพระสนมไปยังห้องบรรทมของจักรพรรดิ“พวกเจ้าแน่ใจนะว่ากำลัง
“ขอบคุณฮูหยินชื่อจื่อมากขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” ชิงอวี้รับถุงแพรมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วกล่าวคำอำลา หลังจากได้รับอนุญาตเขาก็รีบจากไปทันทีจ้าวกุ้ยอินมองไปยังตะกร้าที่เจ้ากระรอกน้อยนอนอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แท้ท่าทางจะเป็นจะตายของมันเมื่อครู่เกิดจากความตะกละ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกยินดีที่เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลนี้จะไม่เป็นอะไร เพราะถ้ามันตายขึ้นมา คงเพิ่มความหดหู่ให้ชีวิตนางมากขึ้นไปอีก“ถ้าเป็นตามที่ท่านหมอบอก อีกไม่นานเจ้านี่คงจะถ่ายออกมา บ่าวว่าเอามันออกไปดูแลที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ชิวอิงยังคงจดจำกลิ่นราวกับมีอะไรตายเมื่อครู่ได้ดี จึงไม่คิดเสี่ยงให้มันถ่ายของเสียออกมาในห้องอีกแต่ว่าสายเกินไป...ปู๊ด! ปรื๊ด...ปรี๊ด! จ้าวกุ้ยอินเอามือปิดจมูก ลุกขึ้นในฉับพลัน แล้วสาวเท้าถี่ ๆ ออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่ร่างอรชรจะพ้นประตู ยังไม่วายหันมากำชับนางกำนับคนสนิท “ชิวอิง เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน พอทำความสะอาดเรียบร้อยค่อยไปตามข้า”ชิวอิงรับคำสั่งแล้วร้องไห้อยู่ในใจ พลางมองตะกร้าใบเล็กอย่างผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมฮือ...ท่านหญิง ทำไมเป็นข้าที่ต้องเช็ดอึกระรอกด้วยเล่า?เมื่
“ลำบากท่านหมอแล้ว แต่ ‘คน’ ที่เป็นอะไรนั้นไม่ใช่ข้า” จ้าวกุ้ยอินยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดในจวนเจ็บไข้ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้น้อยทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าจะให้ตรวจนางกำนัล หรือสาวใช้คนใดของท่านขอรับ”“รบกวนท่านหมอแล้ว” กล่าวจบ จ้าวกุ้ยอินก็ผายมือไปด้านข้างซึ่งไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น“...” ชงอวี้นิ่งอึ้ง“ในตะกร้า” พอเห็นสีหน้างุนงงของผู้เป็นหมอ จ้าวกุ้ยอินจึงเปิดปากอีกประโยคชงอวี้สาวเท้าไปยังโต๊ะข้างตั่งที่มีตะกร้าวางอยู่ใบหนึ่ง พอถึงที่หมายก็ชำเลืองมองลงไป เมื่อเห็นกระรอกน้อยนอนตัวสั่นอยู่ในนั้น พลันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบความอดทนแม้อยากจะตะโกนใส่หน้าสวย ๆ ของฮูหยินซื่อจื่อว่า ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่? แต่ก็พยายามตั้งสติ รวมไปถึงทำความเข้าใจสตรีงดงามที่กำลังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วมองมาทางนี้อย่างมีความหวัง จึงยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้หากสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บป่วย ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงส่งคนเชิญตนเองมารักษามันกระมังแต่ว่าเขาเป็นหมอรักษาคน!“ท่านหมอรออะไรอยู่หรือ ยังไม่รีบตรวจอีก” จ้าวกุ้ยอินที่รอฟังอาการของกระรอกน้อยเจ้าปัญหาอยู่เอ่ยเ