แม้บุตรชายจะพูดเพียงแค่ว่า ‘แม้นางจะเกิดจากความผิดพลาดของข้า กับมารดาของนาง แต่หลันเอ๋อ์คือของขวัญที่ล้ำค่าสำหรับข้า’ แต่สำหรับสกุลลู่แล้ว หลันฮวายิ่งกว่าของขวัญล้ำค่า เพราะนางเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว ของจวนแม่ทัพแดนใต้ ที่มีเขาเป็นประมุข
ถ้าเป็นลูกหลานของพี่ชายน้องชายของเขานั้น เขามินับว่าสำคัญเพราะเด็กสาวเหล่านั้น มิได้เกิดจากบุตรชายหญิงของเขาสักคน จึงอย่าได้คิดจะมาเทียบเคียง เด็กน้อยของเขาเป็นอันขาด
“หรือเจ้ามิอยากได้นางมาอยู่ด้วย”
ในที่สุดท่านแม่ทัพลู่ก็เริ่มหาแนวร่วม เมื่อนึกวาดฝันที่จะได้ตัวหลานสาวเพียงเดียวมาอยู่ด้วย ต่อให้เฉินเซียนจะหวงลูกมากแค่ไหน แต่รับรองว่าเฉินเซียน จะไม่มีวันยอมให้หลันฮวาต้องไปลำบาก หรือตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
“ไยข้าจะมิต้องการนางเหล่าขอรับ แต่เจ้าหนูนั่น จะยอมให้ดอกกล้วยไม้ห่างกายหรือไม่เท่านั้น”
แม้เขาอยากจะได้ใกล้ชิดหลานสาว แต่เพราะรู้จักนิสัยของน้องชายดี จึงไม่มั่นใจเท่าใดนัก เรื่องที่เฉินเซียนจะปล่อยหลันฮวา มาอยู่ในมือของเขากับบิดา
“พวกข้า ก็อยากเล่นกับคุณหนูหลันเอ๋อร์ เช่นกันนะขอรับท่านแม่ทัพ”
สี่นายกอง ต่างพากันมีดวงตาเป็นประกาย เมื่อนึกถึงเด็กน้อยขวัญใจกองทัพสกุลลู่ ความน่ารักของนาง มัดใจคนทั้งกองทัพ แต่บิดาของนางลู่เฉินเซียนต่างหาก ที่หวงลูกสาวยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ก็มิปาน ขนาดลู่ฮูหยิน ต้องการให้นางไปอยู่ในเมืองหลวง ยังไม่สามารถทำได้เลย
คนในกองทัพกำลังหาวิธีขโมยตัวหลานสาว ส่วนคนที่นอนเฝ้าลูกสาวก็มิรู้ร้อนรู้หนาวอันใด
เมืองหลวง แคว้นหลี่
ภายในตำหนักเซียวเหยา ชายหนุ่มรูปร่างบอบบางหน้าทะนุถนอม กำลังนั่งอ่านสาสน์ ที่ถูกส่งมาจากวังหลวง ด้วยสีหน้าราบเรียบ มิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ฉายาอ๋องน้ำแข้งนั้น เขาได้มาเพียงเพราะตัวเขาไร้ซึ่งรอยยิ้มนี่เอง
เพราะในอดีตรอยยิ้มของเขา คือที่มาของความยุ่งยาก จนเกิดเรื่องเมื่อหลายปีก่อน และนั้นแต่นั้นมา เขาก็มิเคยแย้มยิ้มให้ผู้ใดได้เห็นอีกเลย มิเว้นแม้แต่คนในครอบครัว
“หม่าเยียน”
“ขอรับท่านอ๋อง”
สิ้นคำเรียกขานเพียงครู่เดียว ชายหนุ่มรูปงามในชุดสีน้ำเงินเข้ม ก็ได้ก้าวเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะทำความเคารพผู้เป็นนาย
“ฝ่าบาทต้องการให้ข้า ไปรักษาการและนำทัพแทนแม่ทัพจ้าวยังแดนเหนือ ที่ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัสอยู่ เจ้าจงเร่งจัดเตรียมกำลังพลของเราให้พร้อม อ่อ...นำคนของเราไปเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งให้รั้งรออยู่ที่นี่ โดยให้แม่ทัพอู๋หลิวเป็นผู้ดูแล เสบียงเสริมสำหรับทหารแดนเหนือ จงจัดเตรียมให้พร้อมอย่าให้ขาด พรุ่งนี้ข้าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก่อน มะรืนเราจะออกเดินทางก่อนฟ้าสาง”
“ทุกอย่างจะพร้อมก่อนมะรืนพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย”
องครักษ์คนสนิท ไม่คิดที่จะตั้งคำถามใดกับผู้เป็นนาย เขารู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดบ้าง ด้วยกองทัพของชินอ๋องเสวี่ยนเซียวเหยานั้น มีทุกอย่างพร้อมสรรพอยู่ตลอดเวลา มิว่าต้องการเรียกใช้กองกำลัง มิว่าในยามคับขันเพียงใด เหล่าทหารในสังกัด ก็จะปรากฏกายขึ้นในเวลาอันสั้น
แม้กระนั้นขุนนางหลายฝ่าย ก็คอยกล่าวหา ว่าท่านอ๋องสิบแปดไร้สามารถ เป็นได้เพียงกาฝากบัลลังก์ ทว่าฝ่าบาทก็ยังทรงมอบกองกำลัง เกือบทั้งหมดไว้ในมือพระอนุชา
“หม่าเยียน ข้ายังมีอีกเรื่องที่ยังอยากรู้”
“สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเคยพบกุนซือหลวงหรือไม่ ฝ่าบาทแจ้งมาว่า เขาคือกุนซือที่อยู่กับท่านแม่ทัพลู่ที่ชายแดนทิศใต้ ข้ามิเคยได้ยินว่ามีกุนซือหลวงมาก่อน”
อ๋องหนุ่มเงยหน้ามองคนสนิท เพื่อรอฟังคำตอบที่เขาค้างคาใจ นับตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรก ที่เขาเคยได้ยินตำแหน่งกุนซือหลวง เหมือนกับว่าตำแหน่งนี้ เพิ่งเกิดขึ้นได้มินาน
จริงอยู่ว่าเขากับพระเชษฐา จงใจที่จะหันเหความสนใจของหนอนร้าย ที่เริ่มเผยตัวตนออกมากันบ้างแล้ว แต่เรื่องของกุนซือหลวง เขาก็ไม่เคยที่จะรับรู้มาก่อนอยู่ดี
‘ท่านผู้เฒ่า คิดจะทำอะไรของเขากันนะ’
อ๋องหนุ่มพร่ำบ่นพี่ชายอยู่ภายในใจ เขาสองพี่น้องเกิดร่วมมารดา และมีบางเหตุผลที่พี่ชาย ไม่คิดเกรงกลัวเขาก่อกบฏ อีกทั้งการมอบกำลังทหารให้เขามากมาย ก็เพื่อดูว่าขุนนางคนไหน คิดแตกแยกหมายยุยง ให้พี่น้องช่วงชิงอำนาจกันเองบ้าง
เพราะสำหรับเขาแล้ว บัลลังก์คือคุกทองคำชั้นดี ไร้อิสระ ไร้ความเป็นส่วนตัว เรื่องมากมายก่ายกอง ให้ต้องสะสางมิเว้นวัน วังหลังก็ช่วงชิงกันจนน่ากลัว แบบนี้แล้ว...เขาจะเอามาทำไมเล่า ตำแหน่งฮ่องเต้
“ถ้ากุนซือหลวง ข้าน้อยเองก็มิรู้จักพ่ะย่ะค่ะ แต่ถ้าเป็นกุนซือแห่งกองทัพลู่ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น คือบุตรชายคนเล็กของแม่ทัพลู่ฉางเอิน มีนามว่าลู่เฉินเซียนพะยะค่ะ ชื่อของกุนซือผู้นี้ กระหม่อมได้ยินมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ยังมิเคยได้เห็นหน้าสักครั้งพ่ะย่ะค่ะ เอ่อ...จะว่ามิเคยพบก็คงมิใช่ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์หนุ่มรับแก้ไขคำพูด เพราะสายตาที่มองมา ของผู้เป็นนาย บ่งบอกว่ามิเชื่อในคำของเขาทั้งหมด
“อย่างไร”
“กระหม่อมเคยพบเขาเมื่อครั้ง เขายังเป็นหนุ่มแรกรุ่นพ่ะย่ะค่ะ เวลาก็ผ่านมานานมากแล้ว ย่อมต้องลืมเลือนใบหน้าของเขาไปบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
หม่าเยียน จะพูดถึงเรื่องในอดีตได้อย่างไร มันหาใช่มีเหตุการณ์เดียวเสียเมื่อไหร่ แต่ในเมื่อท่านอ๋อง ได้ลืมเลือนเรื่องเหล่านั้นไปนับสิบปี เขาหรือจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกทำไมกัน
เพราะบางอย่างนั้น ปล่อยให้สูญหายไป กับความทรงจำที่สูญเสียไปแล้ว จะเป็นการดีที่สุด หากการบอกความจริงไปแล้ว เกิดสิ่งที่มิเป็นผลดีต่อผู้เป็นนาย เขาก็มิสมควรจะเอ่ยมันออกมา
“เก่งมากคุณหนูลู่ ฝีมือดีมิแพ้บิดาเจ้าเลยสักนิด”ท่านอ๋องสิบแปดเอ่ยชมเด็กสาว ที่ตอนนี้ยิ้มแต้ส่งให้แก่ทุกคน ก่อนจะหันไปไหวไหล่ให้แก่คู่ปรับของตนเอง ซึ่งองค์ชายเสวี่ยนหรงเทียน ทำเพียงเบะปากตอบนางเท่านั้น โดยที่หญิงสาวมิทันสังเกตเห็นแววตาเป็นประกาย ที่พาดผ่านดวงตาขององค์ชาย ทว่ามันกลับไม่รอดสายตาของพี่ชายทั้งสองของนางไปได้“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันเผอิญโชคช่วยมากกว่าเพคะ”ลู่เยว่ฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส และยังคงมีท่าทางเสมือนเด็กได้ของเล่นที่ถูกใจ ซึ่งสำหรับทุกคนนั้นช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก ยกเว้น...เขาองค์ชายผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ยังเยาว์ จนถึงทุกวันนี้“มันโชคดีจนน่าแปลกใจมากกว่า เสด็จอาว่าจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุดองค์ชายหลงเทียนก็ได้เอ่ยขึ้น เมื่อเขารู้สึกคลางแคลงใจกับเรื่องนี้ เขามั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องมีสิ่งผิดปกติ มิเช่นนั้นแล้ว...กวางตัวนี้ต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน“อย่างไรรึหรงเทียน อามิเห็นว่าจะมีอันใดที่ดูผิดปกติสักอย่าง เจ้าเป็นบุรุษ จงมีน้ำใจของนักกีฬาให้มาก ยังมีสัตว์ป่าอีกหลายตัวที่รอให้เจ้าพิสูจน์ฝีมือ ครั้งนี้เจ้าอาจพลาด แต่ทว่ามันยังมีครั้งหน้าอยู่อีก อย
เสวี่ยนเซียวเหยาตำหนิชายหนุ่มอยู่ในใจ ยิ่งมองหน้าสาวน้อยเยว่ฉีที่อมยิ้มน้อย ๆ กับชายคนนั้น เขาก็อดคิดถึงใครบางคน เมื่อหลายปีก่อนมิได้ มือเรียวจะเลื่อนไปลูบตรงอกเสื้อ เพื่อสัมผัสบางอย่างที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา มิเคยให้ห่างกายเลยสักครั้ง‘ไยท่านหายไปเลย หรือท่านรู้แล้วว่าข้าคือผู้ใด’ความรู้สึกที่แอบซ้อนมาตลอดนั้น บางครั้งก็ทำให้เขาอึดอัดมิน้อย แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อใจของเขานั้น ได้ถวิลหาเพียงคนที่มอบจูบแรกให้แก่เขาเมื่อหลายปีก่อนยิ่งนานวันเข้า เขายิ่งมิคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับหญิงงาม ที่พระเชษฐาทรงแนะนำให้ ในตำหนักอ๋องไร้ซึ่งสนมนางใน ทรงรักการอยู่แบบสงบ มิฝักใฝ่เรื่องเช่นนั้นเพราะใจของเขานั้น รอใครบางคนอยู่ และเขาเองก็อยากจะพิสูจน์เช่นกัน ว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคิดกับคนผู้นั้นอย่างไร แล้วอีกฝ่ายจะคิดเช่นไรกับเขา เมื่อรู้ว่าแท้ที่จริงเขาคือใคร เสวี่ยนเซียวเหยารู้สึกเจ็บแปลบอยู่กลางอก เมื่อนึกถึงว่าหากเจ้าของหยกม่วงลืมเลือนเขาไปแล้วจริง ๆ มันรู้สึกจุกจนหายใจแทบไม่ออก เลยทีเดียว...ลู่เฉินเซียนชักม้ากลับไปหาผู้นำกลุ่ม ด้วยใบหน้าเรียบตึง พอ ๆ กับคนที่หันหน้ากลับไปยังป่า ที่จะทำการล่าต่อ โดยที
ครึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อเข้าสู่เขตป่า ลู่ฉงได้รับหน้าที่พาทหารออกต้อนสัตว์ป่า ส่วนลู่เฉินเซียนทำหน้าที่ คอยอารักขาใกล้ชิดเจ้านายทั้งสาม พร้อมองครักษ์ส่วนพระองค์อีกบางส่วน รวมทั้งคนติดตามของคุณหนูลู่เยว่ฉี อีกสองคนลู่เฉินเซียนอดมิได้ ที่จะคอยชำเลืองมอง คนที่นั่งบนหลังม้าเคียงข้าเขาในตอนนี้ และแน่นอนว่าเขารู้สึกขุ่นเคือง กับความดื้อรั้นของอ๋องสิบแปดผู้นี้นัก ด้วยก่อนหน้าที่จะมาถึงตรงนี้ เขาได้เอ่ยทัดทานอีกฝ่าย ว่ามิควรอยู่ตรงนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ แต่คำตอบที่ได้รับ ทำให้เขาเองถึงกับพูดมิออกเช่นกัน‘เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ ถึงได้คิดว่าคนเช่นข้า อ่อนแอถึงเพียงนั้น’ใช่แล้ว...เขามิเคยรู้จักอ๋องสิบแปด เสวี่ยนเซียวเหยามาก่อนเลย จึงมิรู้ว่าเด็กหนุ่มหน้าหวานดุจสตรีเช่นนี้ จะหยิ่งผยองเกินกว่าที่คิดไปมากทีเดียว ‘สักวัน...เจ้าต้องเจอดีเข้าจนได้ ต่อให้เจ้าเป็นน้องชายฮ่องเต้ ก็มิได้หมายความว่าร่างกายเจ้า จะแข็งดุจเหล็กกล้าเสียเมื่อไหร่กัน’ ชายหนุ่มได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจใบหน้าหล่อเหลาที่ช่วงครึ่งบนของวงหน้า ที่ได้ปิดบังด้วยหน้ากากเสือดำ มองเห็นเพียงเรียวปากหยักที่ยังยกยิ
“ฮ่าๆ”สามพี่น้องแอบนินทาน้องสาวที่ตอนนี้ ได้นั่งในฐานะตัวแทนสกุลลู่ เด็กสาววัยสิบห้า นางเป็นลูกหลงของพ่อแม่ ด้วยอายุห่างจากพี่ชายคนเล็กถึงสิบปี ทำให้นางไม่เคยถูกขัดใจจากทั้งสามเลยลู่เยว่ฉีแอบชำเลืองมองชายหนุ่ม ที่สวมหน้ากากพยัคฆ์ทั้งสาม ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ นางเมื่อยจะตายอยู่แล้ว ที่ต้องนั่งปั้นหน้าวางท่า เป็นบุตรีที่เพียบพร้อม ทั้งที่ความเป็นจริง นางอยากจะถอดชุดรุ่มร่ามสีหวานนี่ออกเต็มทีแล้วทุกคนเงียบเสียงลงในทันที เมื่อบุรุษในชุดมังกร ก้าวเข้ามาในลานพร้อมด้วยสตรีผู้เป็นคู่บารมี ทุกคนได้ยืนขึ้นทำความเคารพ กันอย่างพร้อมเพรียง การล่ากำลังจะเริ่มแล้ว“ทุกท่านเชิญตามสบาย วันนี้เป็นวันที่เราทุกคน มาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่าได้มากพิธีไป”ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น หลังจากเข้านั่งประจำที่ของตนเองแล้ว สายตามังกรกวาดมองไปรอบบริเวณ เพื่อดูเหล่าผู้มาแข่งขันในครั้งนี้“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ทุกคนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียง โดยมิต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า ถึงคำพูดใด ๆ เป็นที่รู้กันดี ว่าฮ่องเต้ชอบความเรียบง่าย ยิ่งเวลานี้ออกมาอยู่นอกเขตวังหลวง ยิ่งทรงสั่งห้ามพิธีการต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องยุ่งยาก การออกล่า
เจ็ดปีต่อมา ณ เมืองฉางกวง ในการแข่งขันล่าสัตว์ ของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ได้จัดขึ้นยังป่าในเขตเมืองฉางกวง ครั้งนี้แม่ทัพลู่ฉางเอินไม่ได้เข้าร่วม ในการอารักษ์ขาฮ่องเต้ แต่เขาได้ส่งบุตรชายทั้งสาม ให้มาทำหน้าที่แทนอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้ และองครักษ์คนสนิทเท่านั้นที่รู้ ว่าทั้งสามที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้ หน้ากากพยัคฆ์ คือสามทายาท ของท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน สามองครักษ์ ผู้มีหนาม หยาง ฉง เฉิน นักรบผู้ไร้ที่มาในความเข้าใจของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลาย“น้องสามเจ้าเป็นอันใดไปเล่า ข้าเห็นเอาแต่จ้องมองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตา”เป็นลู่ฉงที่เอ่ยถามออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นน้องชาย มองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตาอยู่เป็นนานเฉินเซียนรู้สึกคุ้นหน้าอ๋องสิบแปดยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่เคยที่จะได้พบปะ หรือทำความรู้จักกับชินอ๋องผู้นี้เลยสักครั้ง เพียงแค่รู้สึกเหมือนเคยพบกัน ที่ไหนมาก่อนก็เท่านั้น‘อ่า...ข้าลืมไปได้อย่างไร ว่าท่านอ๋องสิบแปด เป็นญาติกับเหยาเอ๋อร์ หากนางเติบโตมา ก็ต้องมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านอ๋องอยู่มิน้อยสินะ’ สายตาเหยี่ยว สอดส่องหาใครบางคนไปทั่วทั้งลาน แต่ก็มิอาจพบ...‘แต่ทำไมนางม
แม้แต่คนที่กำลังตกอยู่ ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นคู่หมายของเขาเมื่อครู่ ด้วยความตกตะลึง และความที่ยังเยาว์วัยอยู่ ทำให้ได้แต่ยืนนิ่งมิได้ขยับกาย จนคนตัวโตกว่า ถอนริมฝีปากออกไปแล้ว นั่นเอง ต้วนเหยาจึงได้กลับมาหายใจเป็นปกติ“พี่ขอโทษเหยาเอ๋อ แต่พี่มิอยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากเจ้าเข้าใจไหม เวลานี้พี่ล่วงเกินเจ้าแล้ว นับจากนี้เจ้าคือคู่หมายของพี่อย่างแท้จริง พรุ่งนี้พี่จะให้ท่านพ่อ ทำการสู่ขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน”ต้วนเหยาทั้งโกธรและอับอาย ก่อนจะผลักร่างแกร่งออกให้ห่างกาย แล้ววิ่งออกจากสวนไปอย่างรวดเร็ว แต่จะทำร้ายอีกฝ่าย ก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ที่หลอกลวงเฉินเซียนก่อนเฉินเซียนกำลังจะพุ่งตามเด็กสาวไป แต่มีบุรุษในชุดองครักษ์ ออกมาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน ทำให้ชายหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อย ว่าไยองครักษ์จากวังหลวง ถึงได้ตามติดคุณหนูสกุลต้วน แทนที่จะเป็นคนของสกุลต้วน“ได้โปรดคุณชายลู่ อย่าได้คิดตามเจ้านายพวกเราไปเลย มิเช่นนั้นเราจำเป็นต้องลงมือกับท่าน”เฉินเซียนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะทรุดนั่งลงคุกเข่าด้วยความสับสน เมื่อเขายังคิดไม่ตก ถึงความเป