หลังจากวันที่ได้พบกับหยางเจี้ยน หลินเหม่ยเหยาก็ไม่ได้ออกจากจวนอีก ทางจวนสกุลหยางเองนอกจากเทียบเชิญจากหยางสุ่ยเซียนแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากทางจวนสกุลหยางอีกเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นปลอดภัยดี
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสามสกุลหยางมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เสียงรายงานของสาวใช้ทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าหยางสุ่ยเซียนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหยางสุ่ยเซียนจึงได้พยายามจะพบนางให้ได้เช่นนี้ ทั้งที่นางก็ปฏิเสธทั้งเทียบเชิญและเทียบขอเข้าพบของหยางสุ่ยเซียนไปตั้งหลายครั้งแล้ว
“ไปเชิญนางเข้ามาเถิด” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางก้มหน้าลงไปอ่านตำราในมือต่อ ยามนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้วนางจึงมักจะมานั่งอ่านตำราในศาลากลางน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัว สายลมที่พัดพาผ่านผิวน้ำทำให้อากาศรอบกายเย็นสบาย ดังนั้นในหน้าร้อนของทุกปีนางจึงชอบมานั่งเล่นในสถานที่แห่งนี้ ยามที่หยางสุ่ยเซียนเดินเข้ามาจึงได้แต่จ้องมองท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายของนางด้วยความริษยา
“เหยาเหยา เหตุใดช่วงนี้เจ้าจึงได้ห่างเหินกับข้ากันเล่า หรือเป็นเพราะว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งผู้เป็นคู่หมายของเจ้ากลับเข้าเมืองหลวงมาแล้ว เจ้าก็เลยทำตัวเหินห่างจากข้า” คำพูดประโยคนี้ของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังชงชาเพื่อรับรองแขกถึงกับชะงักไปในทันที แต่แล้วนางก็ยิ้มออกมาแล้วรินชาลงในถ้วยชาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งสำหรับนางเองส่วนอีกถ้วยนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นของแขกอย่างหยางสุ่ยเซียน
“ก็แค่คุณชายใหญ่สกุลซ่งกลับมาแล้ว เหตุใดข้าจะต้องไม่อยากจะพบกับเจ้ากันเล่า เจ้ากับเขามีความเกี่ยวข้องอันใดกันหรือ” คำถามของหลินเหม่ยเหยาทำให้หยางสุ่ยเซียนพลันขมวดคิ้วในทันที
“เหตุใดเจ้าจึงได้ถามคำถามที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยจะดีเช่นนี้กันเล่า ข้ากับเขาจะไปมีความเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ข้าก็แค่คิดว่าพอคู่หมั้นของเจ้ากลับมาแล้วอนุผู้นั้นของท่านพ่อเจ้าก็จะสั่งให้เจ้าเก็บเนื้อเก็บตัวเพื่อรอแต่งออกเพียงเท่านั้น” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันยกมุมปากขึ้น
“ข้ายังไม่ทันได้ผ่านพิธีปักปิ่นเรื่องแต่งงานยังไม่มีทางกำหนดขึ้นในเร็ววันนี้หรอก อีกทั้งผู้ที่ทำสัญญาหมั้นหมายอย่างท่านปูของข้าและท่านปู่ของเขาก็ล้มหายตายจากไปตั้งหลายปีแล้ว ยังไม่แน่ชัดว่าทางจวนสกุลซ่งจะยึดถือเรื่องนี้เป็นคำสัตย์ที่จะต้องทำตาม” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็พยักหน้า
“นั่นสินะ ยามนี้ท่านพ่อของเจ้าได้เป็นถึงรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงแล้ว รอเพียงการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากสำนักราชวัง ท่านพ่อของเจ้าก็จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงอย่างเป็นทางการแล้ว ในขณะที่นายท่านใหญ่สกุลซ่งกลับยังเป็นแค่เพียงแพทย์หลวงตำแหน่งธรรมดาสามัญทั่วไป ก็ไม่น่าประหลาดใจที่จวนสกุลหลินและเจ้าจะรังเกียจการหมั้นหมายในครั้งนี้” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยากระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะในทันที ที่แท้คำพูดประโยคนี้ก็มาจากปากของหยางสุ่ยเซียนนี่เอง
ในชาติก่อนเพราะคำพูดประโยคนี้จึงทำให้ซ่งเสวี่ยหรงเข้าใจว่านางและคนสกุลหลินคิดดูถูกเขา และความเข้าใจเช่นนี้ของเขาจึงทำให้สามีในชาติก่อนของนางเย็นชาใส่นางในบางครั้ง เขาเคยบกกับนางว่าเขาได้ยินคำพูดประโยคนี้มาจากผู้อื่น แต่ยามนี้นางรู้แล้วว่าคำว่า “ผู้อื่น” ของเขาหมายถึงหยางสุ่ยเซียนนี่เอง
“ขะ ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ จึงทำให้เจ้าไม่เพียงกระแทกถ้วยชาใส่ข้าแต่ยังถลึงตาใส่ข้าด้วยความโกรธเคืองเช่นนี้อีกด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยถามด้วยความสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ แต่หลินเหม่ยเหยากลับแค่เพียงแค่นหัวเราะออกมา
“หยางสุ่ยเซียนเจ้าจะทำสีหน้าเช่นนี้ให้ผู้ใดดูกัน แม่นางน้อยที่สามารถเอาตัวรอดในสกุลใหญ่ได้เช่นเจ้ามีหรือจะไม่เข้าใจในความโกรธเคืองของข้า” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็พลันส่ายหน้าและแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจในทันที
“แต่ข้าไม่รู้ คำพูดของข้าทำให้เจ้ารู้สึกโกรธเคืองที่ตรงไหน”
“เจ้าไม่รู้ตัวจริงๆ หรือว่าเจ้ากำลังเอ่ยวาจาให้ร้ายข้า เจ้าเป็นคนพูดไม่ใช่หรือว่าท่านพ่อของข้ากำลังจะเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง ส่วนท่านลุงซ่งกลับเป็นแค่เพียงแพทย์หลวงธรรมดาสามัญ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จวนสกุลหลินและข้าจะรังเกียจการหมั้นหมายนี้ คำพูดเช่นนี้คุณหนูที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีไม่กล้าเอ่ยออกมาหรอก มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เอ่ยวาจาชั่วร้ายเช่นนี้ออกมาได้ เจ้าไม่เพียงพูดจาให้ร้ายข้าแต่ยังลามมาถึงสกุลหลินของข้าด้วย แล้วยังกล้ามาถามข้าอีกหรือว่าข้าโกรธเคืองเจ้าด้วยเรื่องใด” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็รีบส่ายหน้าในทันที
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษ” คำขอโทษของหยางสุ่ยเซียนไม่ได้จริงใจเลยสักนิด หากเป็นชาติก่อนหลินเหม่ยเหยาคงจะมองไม่ออก แต่ชาตินี้นางรู้ธาตุแท้ของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้ว ในใจของนางก็ได้แต่แอบชื่นชมหยางสุ่ยเซียนอยู่ในใจที่แม้ว่าหยางสุ่ยเซียนในยามนี้จะมีอายุแค่เพียงสิบสี่ปี แต่การแสดงออกบนสีหน้ากลับเก่งกาจเสียยิ่งกว่านักแสดงงิ้วที่มารดาเลี้ยงของนางจ้างมาทำการแสดงในจวนเสียอีก ไม่น่าประหลาดใจที่ในชาติที่แล้วเด็กสาวที่หมกมุ่นอยู่แต่กับตำราแพทย์และตำราสมุนไพรเช่นนางจะมองหยางสุ่ยเซียนไม่ออก
“เก็บคำพูดสวยหรูของเจ้าไปพูดกับผู้อื่นเถิด เรื่องการหมั้นหมายคือเรื่องส่วนตัวของข้าเจ้าไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยถึง ส่วนเรื่องที่ว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งไปที่ไหนหรือทำอะไรถ้าเจ้าให้ความสำคัญมากนักทำไมไม่ไปบอกกับท่านแม่ของเจ้าจัดการเรื่องหมั้นหมายของเขากับเจ้าเสียเลยเล่าเจ้าจะได้มีสิทธิ์ติดตามความเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างชอบธรรม อ้อ ข้าลืมไปท่านแม่ของเจ้าเป็นแค่เพียงอนุในจวนนี่นา ย่อมไม่อาจจะมีอำนาจมาจัดการเรื่องการหมั้นหมายของเจ้าได้อยู่แล้ว” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้สีหน้าที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาของหยางสุ่ยเซียนก็พลันเปลี่ยนแปลงไปในทันที
“หลินเหม่ยเหยาเจ้าอย่าได้ล่วงเกินแม่เล็กของข้า” เมื่อหยางสุ่ยเซียนไม่คิดจะเสแสร้งอีกต่อไปแล้วหลินเหม่ยเหยาก็หัวเราะออกมาในทันที
“ทำไมเล่า แม่เล็กของเจ้าข้าแตะต้องไม่ได้แล้วแม่เล็กของข้าเล่าเจ้าถือสิทธิ์อะไรมาพูดจาดูถูกนาง หยางสุ่ยเซียนแม่เล็กของข้าเป็นถึงผู้ดูแลจวนแห่งนี้ ทุกคนต่างให้ความเคารพนางในฐานะนายหญิงของจวน แล้วแม่เล็กผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของเจ้าเล่านางมีสิ่งใดที่เหนือกว่าแม่เล็กของข้าหรือ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางจ้องมองดวงหน้างามที่ยามนี้เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของหยางสุ่ยเซียนแล้วก็พลันแค่นเสียงใส่ใบหน้าของนาง
“ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้ดูถูกคำว่าอนุเชียว ไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้าอาจจะต้องกลายเป็นอนุของผู้อื่นด้วยความเต็มใจก็ได้” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หยางสุ่ยเซียนลุกขึ้นมาแล้วโน้มร่างกายข้ามสิ่งกีดขวางบนโต๊ะตั้งใจว่าจะตบใบหน้าของหลินเหม่ยเหยาให้ได้ แต่หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงยกมือขึ้นมาจับฝ่ามือที่ฟาดลงมาของหยางสุ่ยเซียนเอาไว้ได้ นางยังตวัดฝ่ามือที่ว่างอีกข้างของตนเองเข้าไปที่ใบหน้าของหยางสุ่ยเซียนจนเต็มแรง จนทำให้หยางสุ่ยเซียนเสียหลักล้มลงไปบนพื้นอีกด้วย
“หลินเหม่ยเหยาเจ้ากล้าตบหน้าข้าหรือ” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาเอ่ยออกมาด้วยความแค้นในจิตใจ
“ขายังกล้าลงมือได้มากกว่านี้อีกเจ้าอยากลองหรือไม่” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หยางสุ่ยเซียนตะโกนก้องออกมา
“พี่สาวของข้าคือกุ้ยเฟยที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน พวกเจ้าสกุลหลินจงระมัดระวังตัวเอาไว้ให้ดี” เมื่อหยางสุ่ยเซียนเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“เจ้าแน่ใจหรือว่ากุ้ยเฟยจะทรงจัดการข้าด้วยเรื่องของเจ้า น้องสาวต่างมารดาที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน อีกทั้งอนุผู้นั้นยังเป็นสาเหตุที่ทำให้มารดาของพระนางต้องตาย เจ้าคิดว่าพระนางจะทรงยินดีที่จะยื่นพระหัตถ์มาช่วยเหลือเจ้าหรือ เท่าที่ข้ารู้ความเกลียดชังที่พระนางมีต่อเจ้าน่าจะมากพอๆ กับที่ข้าเกลียดชังเจ้านี่แหละ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้ใบหน้าของหยางสุ่ยเซียนพลันซีดเผือดพลางคิดในใจว่านางเคยเผลอเล่าเรื่องนี้ให้หลินเหม่ยเหยาฟังตอนไหน แล้วเหตุใดหลินเหม่ยเหยาจึงได้รู้เรื่องในจวนของนางได้มากขนาดนี้
“หลินเหม่ยเหยาข้าจะต้องเล่นงานเจ้าให้ได้” เมื่อนางเอ่ยจบก็ขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากจวนสกุลหลินในทันที
ต่อให้หยางเม่าพยายามสั่งให้คนในจวนสกุลหยางห้ามพูดถึงเรื่องความผิดของหยางสุ่ยเซียน แต่มีหรือที่เขาจะสามารถทำได้ จวนสกุลหยางมีคุณชายห้าคนและมีคุณหนูถึงหกคน มีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ถือกำเนิดจากฮูหยินคนก่อนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ส่วนนอกนั้นล้วนเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากอนุเกือบทั้งสิ้น การแก่งแย่งชิงดีกันเองภายในจวนสกุลหยางดุเดือดไม่ต่างไปจากจวนขุนนางทั่วไปที่มีลูกหลานในจวนมากมายในจวนสกุลหยางมีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ไม่จำเป็นต้องลงไปแก่งแย่งชิงดีและประชันฝีมือด้วย ไม่เพียงชาติกำเนิดดีกว่าผู้อื่น แต่ก่อนที่ฮูหยินคนก่อนจะเสียชีวิตนางได้วางรากฐานให้บุตรชายและบุตรสาวเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งฮูหยินคนใหม่ก็ไม่ค่อยจะมีฝีไม้ลายมือเท่าใดนัก หากไม่พึ่งพาหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ก็แทบจะสู้รบตบมือกับผู้ใดไม่ได้เลย คุณหนูภายในจวนที่มีฝีไม้ลายมือมากที่สุดและได้รับความโปรดปรานรองจากหยางสุ่ยอวี้ก็คือหยางสุ่ยเซียน ดังนั้นพอหยางสุ่ยเซียนพลาดพลั้ง ย่อมมีคนรอที่จะเหยียบย่ำนางให้จมดินอยู่แล้วหลินเหม่ยเหยานั่งทบทวนความทรงจำที่ตนเองมีต่อสกุลหยางด้วยความตั้งอกตั้ง
นายท่านหยางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ คำพูดที่ว่าหากนางไม่ยั้งมือป่านนี้บุตรสาวของเขาคงจะตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกโกรธเคือง เขาจึงได้เอ่ยต่อว่าหลินเหม่ยเหยาออกมาตามตรง“คุณหนูใหญ่สกุลหลินคำพูดคำจาช่างโอหังเสียจริง ท่านรองหัวหน้าแพทย์หลวงหลินท่านดูบุตรสาวของท่านสิ ไร้มารยาทเช่นนี้วันหน้าจะมีสกุลใดอยากจะแต่งนางเข้าสกุลกัน” นายท่านหยางเอ่ยออกมาพลางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้เกรงกลัวและไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทนางย่อกายคารวะขออภัยด้วยท่วงท่าอันงดงามแล้วจึงได้เอ่ยตอบคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนน้อม“ต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่านหัวหน้าราชบัณฑิตหยางนะเจ้าคะ เพียงแต่คำพูดของข้าไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่หรือว่าแสดงความโอหัง แต่ข้าพูดตามความเป็นจริง ในยามปกติหากถูกทำร้ายข้าแค่โปรยยาพิษหรือไม่ก็ยาสลบก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่กับคุณหนูสามที่เคยเป็นสหาย ข้าลงมือทำร้ายนางไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ แต่หากไม่ลงมือคนที่ถูกตบหน้าคงจะต้องเป็นข้าแน่ ถึงอย่างไรโทสะที่ถูกคุณหนูสามหมิ่นแคลนวงศ์สกุลก็ยังคงอยู่จึงได้ไม่คิดจะออมแรงที่ฝ่ามือเจ้าค่ะ” คำพูด
ในขณะที่ทางจวนสกุลหลินกำลังพูดคุยถึงเรื่องน่ายินดีด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่มีให้กัน แต่ทางจวนสกุลหยางกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ หยางเม่าผู้เป็นนายท่านใหญ่สกุลหยางได้แต่นั่งปลอบใจอนุคนโปรดของตนเองและบุตรสาวคนที่สามที่ถือกำเนิดจากอนุผู้นี้ด้วยความปวดใจ“ท่านพ่อ! หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงตบใบหน้าข้า แต่ยังพูดจาดูหมิ่นเรื่องที่ข้าเป็นบุตรสาวของอนุ คำพูดของนางไม่เพียงดูถูกข้าและแม่เล็กของข้า แต่นางยังกล้าพาดพิงไปถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยพลางร่ำไห้ออกมา ยามนี้นางนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้านายท่านหยางด้านข้างของนางยังก็มีเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาแท้ๆ นั่งร่ำไห้อยู่เป็นเพื่อนท่าทีของสองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือทำให้สวีเยียนผู้เป็นภรรยาเอกคนที่สองของนายท่านหยางจำต้องยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเพื่อปกปิดรอยยิ้มของตนเอง ส่วนสายตาของนางก็จ้องมองสองแม่ลูกราวกับกำลังจ้องมองตัวตลกอยู่ นายท่านหยางยังคงโปรดปรานเฉินอี๋เหนียงอยู่ก็จริง แต่ยามนี้เฉินอี๋เหนียงมีอายุมากแล้วจะสู้นางที่อ่อนวัยกว่าอีกทั้งยังมีสกุลสวีคอยหนุนหลังอยู่ได้อย่างไร จริงอยู่ที่นางยังไม่มีบุตรธิดา แต่ในฐานะภ
หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าหยางสุ่ยเซียนไม่มีทางยอมถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ หลังจากที่สาวใช้ที่นางส่งไปจับตาที่เรือนหนิงฝูเข้ามารายงานว่าหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับมาถึงจวนแล้วและยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแห่งนั้นนางก็รีบตรงไปที่เรือนหนิงฝูเพื่อขอเข้าพบบิดาในทันที“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาหาพ่อจนถึงเรือนแห่งนี้ได้” หลินเจวี๋ยเอ่ยพลางยื่นมือรับถ้วยชาที่ชุยอวี้หลันส่งให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย“ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านพ่อและแม่เล็กทราบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นตระหนกยามที่คนสกุลหยางส่งคนมาเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยวางถ้วยชาลงในทันที“เกิดอันใดขึ้น เจ้าสามารถบอกกับพ่อมาได้ตามตรง” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที“วันนี้ข้าตบหน้าของหยางสุ่ยเซียนเจ้าค่ะ ยามนี้นางน่าจะเอาเรื่องที่ถูกข้าทำร้ายไปฟ้องนายท่านหยางผู้เป็นบิดาของนางแล้ว “คำพูดของนางทำให้หลินเจวี๋ยพลันขมวดคิ้วในทันที"นางล่วงเกินเจ้าหรือ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลแน่" คำพูดของบิดาทำให้นางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอย่างน้อยก็ยังมีบิดาของนางที่สามารถเ
หลังจากวันที่ได้พบกับหยางเจี้ยน หลินเหม่ยเหยาก็ไม่ได้ออกจากจวนอีก ทางจวนสกุลหยางเองนอกจากเทียบเชิญจากหยางสุ่ยเซียนแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากทางจวนสกุลหยางอีกเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นปลอดภัยดี“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสามสกุลหยางมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เสียงรายงานของสาวใช้ทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าหยางสุ่ยเซียนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหยางสุ่ยเซียนจึงได้พยายามจะพบนางให้ได้เช่นนี้ ทั้งที่นางก็ปฏิเสธทั้งเทียบเชิญและเทียบขอเข้าพบของหยางสุ่ยเซียนไปตั้งหลายครั้งแล้ว“ไปเชิญนางเข้ามาเถิด” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางก้มหน้าลงไปอ่านตำราในมือต่อ ยามนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้วนางจึงมักจะมานั่งอ่านตำราในศาลากลางน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัว สายลมที่พัดพาผ่านผิวน้ำทำให้อากาศรอบกายเย็นสบาย ดังนั้นในหน้าร้อนของทุกปีนางจึงชอบมานั่งเล่นในสถานที่แห่งนี้ ยามที่หยางสุ่ยเซียนเดินเข้ามาจึงได้แต่จ้องมองท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายของนางด้วยความริษยา“เหยาเหยา เหตุใดช่วงนี้เจ้าจึงได้ห่างเหินกับข้ากันเล่า หรือเป็นเพราะว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งผู้เป็นคู่หมาย
แม้ว่ายามนี้หยางเจี้ยนจะยังเป็นแค่เพียงคุณชายใหญ่ของจวนสกุลหยาง ยังไม่ใช่พระมาตุลาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเช่นในชาติที่แล้ว แต่รอบกายของเขากลับมีพลังอำนาจคุกคามบางอย่างที่แผ่กระจายออกมาแล้วทำให้ทุกคนต่างก็เกรงขามและหวาดกลัว สายตาอันคมกล้าคู่นั้นของเขาทำให้หลายคนไม่กล้าสบตา แต่คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วอย่างหลินเหม่ยเหยากลับจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางคิดในใจว่าทำอย่างไรดีนางและสกุลของนางจึงจะไม่มีเรื่องขัดแย้งกับคนผู้นี้“ข้าน้อยคือหลินเหม่ยเหยา บิดาของข้าคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงหลินเจวี๋ย ส่วนนี่คือน้องชายของข้าเป็นเพราะข้ากังวลว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นจะทำอันตรายเขาก็เลยลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นหนักมือไปหน่อย ขอคุณชายใหญ่ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะขออภัย หยางเจี้ยนได้แต่หรี่ตาลงเมื่อได้เห็นท่าทีของนางแม้ว่าจะดูอ่อนน้อมและขออภัยอย่างจริงใจแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเขาอย่างที่เด็กสาวคนอื่นๆ มักจะเป็น“คุณหนูใหญ่หลินเป็นสหายสนิทของคุณหนูสามจวนเราขอรับ
เมื่อตามตัวน้องชายได้แล้วหลินเหม่ยเหยาก็ตั้งใจว่าจะพาน้องชายของตนกลับ แต่มู่เปียวผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยคนปัจจุบันกลับรั้งให้นางอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องการแบ่งปันผลกำไรจากกิจการในช่วงนี้ นอกจากสำนักคุ้มภัยแล้วมารดาของนางยังทิ้งร้านค้าเอาไว้ให้นางอีกหลายร้าน แต่เพราะนางไม่ค่อยจะได้สนใจเรื่องการค้าชีวิตในชาติก่อนของนางจึงได้ขัดสนเรื่องเงินทองในยามที่ตนเองต้องประสบกับความยากลำบากในชาติที่แล้วพอนางแต่งเข้าจวนสกุลซ่งบรรดาร้านค้าเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ค่อยจะทำเงินให้นางจนผลสุดท้ายนางก็ขายทอดตลาดในที่สุด เงินที่ได้มาเป็นเงินจำนวนน้อยนิดที่นางพกติดตัวเอาไว้ ในยามที่บิดาต้องโทษมารดาเลี้ยงและน้องชายถูกคุมขัง นางแทบจะไม่มีเงินพอที่จะติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกเขาได้จนผลสุดท้ายนางจำต้องขายเครื่องประดับทั้งหมดของตนเอง จึงสามารถไปเยี่ยมเยียนได้แค่เพียงมารดาเลี้ยงและน้องชายเพียงเท่านั้น ส่วนบิดากว่านางจะรวบรวมเงินได้เขาก็ถูกประหารที่ลานประหารไปเสียแล้วมาชาตินี้นางรู้แล้วว่าชีวิตของนางไม่อาจจะขาดเงิน ดังนั้นยามที่มู่เปียวเชิญนางเข้าไปฟังเขารายงานผลกำไรทางการค้า นางจึงได้ให้ความสนใจก
เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลินเหม่ยเหยาสิ่งแรกที่หลินเหม่ยเหยาตั้งใจจะทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบให้เต็มที่ เดิมทีนางมีความเย็นชาต่อชุยอวี้หลันอยู่เป็นนิจ ต่อต้านทุกสิ่งที่ชุยอวี้หลันชี้นำให้นางทำ แต่ยามนี้สิ่งที่นางทำก็คือการทำตัวเป็นลูกเลี้ยงที่ดีเชื่อฟังคำชี้แนะของชุยอวี้หลันโดยไม่โต้เถียง“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้คุณหนูใหญ่จึงได้ทำตัวผิดแปลกไปเช่นนี้เล่า” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าเปลี่ยนไปมากเลยหรือ ข้าก็หลงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของข้าน่าจะทำให้แม่เล็กพึงพอใจได้เสียอีก” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงคัดอักษรตามบทคัดลอกที่ชุยอวี้หลันหามาให้“คุณหนูใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียินดีเชื่อฟังข้าเช่นนี้ข้าย่อมดีใจ เพียงแต่อยู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มันทำให้ข้าอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน มีผู้ใดพูดจาล่วงเกินท่านหรือว่ามีใครทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อมารดาเลี้ยงของนางเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าสิ่งที่แม่เล็กสอนสั่งอีกทั้งยังเข้มงวดกับข
ยามที่หลินเหม่ยเหยาลืมตาตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตนเองในสกุลหลิน สภาพแวดล้อมภายในห้องล้วนมีสภาพเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ปักปิ่น ในยามนั้นหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางยังคงเข้าออกห้องของนางโดยไม่ได้ถือสาเรื่องธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น“เหยาเหยา เจ้าดูนี่สิพ่อได้ฟู่จื่อมามากมาย เจ้าต้องช่วยพ่อตรวจสอบดูนะว่าพิษของมันถูกพ่อทำให้เจือจางลงไปจนหมดสิ้นแล้วหรือยัง” เสียงของหลินเจวี๋ยทำให้หลินเหม่ยเหยารีบขยับตัวลุกขึ้น ดึงม่านคลุมเตียงออกแล้วจ้องมองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ“ท่านพ่อ!” เสียงเรียกกับท่าทีของบุตรสาวไม่ได้ทำให้หลินเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขากำลังจดจ่ออยู่กับสมุนไพรที่เขาพึ่งจะได้มา“อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย ดูนี่สิฟู่จื่อนี่คุณภาพดีมากทีเดียว” หลินเจวี๋ยพูดพลางยื่นกล่องไม้ใส่สมุนไพรให้บุตรสาวดู แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่สนใจนางโผเข้าไปโอบกอดบิดาของตนเองแล้วร่ำไห้ออกมา“ท่านพ่อ ต้องโทษข้าที่มองคนไม่เป็น ทำให้ท่านและทุกคนในครอบครัวต้องได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย” ท่าทีของบุตรสาวทำให้หลินเจวี๋ยนิ่งงั