แม้ว่ายามนี้หยางเจี้ยนจะยังเป็นแค่เพียงคุณชายใหญ่ของจวนสกุลหยาง ยังไม่ใช่พระมาตุลาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเช่นในชาติที่แล้ว แต่รอบกายของเขากลับมีพลังอำนาจคุกคามบางอย่างที่แผ่กระจายออกมาแล้วทำให้ทุกคนต่างก็เกรงขามและหวาดกลัว สายตาอันคมกล้าคู่นั้นของเขาทำให้หลายคนไม่กล้าสบตา แต่คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วอย่างหลินเหม่ยเหยากลับจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางคิดในใจว่าทำอย่างไรดีนางและสกุลของนางจึงจะไม่มีเรื่องขัดแย้งกับคนผู้นี้
“ข้าน้อยคือหลินเหม่ยเหยา บิดาของข้าคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงหลินเจวี๋ย ส่วนนี่คือน้องชายของข้าเป็นเพราะข้ากังวลว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นจะทำอันตรายเขาก็เลยลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นหนักมือไปหน่อย ขอคุณชายใหญ่ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะขออภัย หยางเจี้ยนได้แต่หรี่ตาลงเมื่อได้เห็นท่าทีของนางแม้ว่าจะดูอ่อนน้อมและขออภัยอย่างจริงใจแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเขาอย่างที่เด็กสาวคนอื่นๆ มักจะเป็น
“คุณหนูใหญ่หลินเป็นสหายสนิทของคุณหนูสามจวนเราขอรับ” คำพูดของผู้ติดตามทำให้หยางเจี้ยนยิ้มเย็นออกมาสายตาที่ใช้มองหลินเหม่ยเหยาก็พลันเย็นชามากยิ่งขึ้น
“อ้อที่แท้ก็คือคุณหนูที่อยู่จวนข้างๆ นี่เอง แล้วเหตุใดเด็กสาวเช่นเจ้าจึงได้มาป้วนเปี้ยนแถวนี้” คำพูดของหยางเจี้ยนทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มเย็นออกมาเช่นเดียวกัน นางเงยหน้าขึ้นไปประสานสายตากับเขาแล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สำนักคุ้มภัยสกุลมู่คือกิจการของข้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ข้าจะมาที่นี่” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางล้วงมือเข้าไปในถุงผ้าที่นางมักจะถือติดตัวมาด้วยแล้วนำขวดยาขวดเล็กๆ ออกมา
“นี่คือยาสลบที่ข้าใช้ แม้ว่าฤทธิ์ยาจะทำให้คนหรือสัตว์หมดสติในทันทีที่ได้สัมผัสแต่กลับทำให้หมดสติไม่นานนัก ข้าขอมอบให้คุณชายใหญ่หยางเพื่อเป็นการขอขมาที่ข้าลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกของท่าน” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางยื่นขวดยาออกไปตรงหน้า หยางเจี้ยนรีบส่งสัญญาณให้คนของเขามารับไปในทันที แม่สุนัขจิ้งจอกส่งเสียงคำรามใส่นาง แต่พอนางปรายสายตาไปทางมัน แม่สุนัขจิ้งจอกก็ลดเสียงคำรามลงแล้วก้มหน้าลงไปเลียลูกๆ ของตนด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“อีกไม่นานลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนี้ก็จะฟื้นคืนสติขึ้นมา ข้าขอรับรองว่าพวกมันจะต้องไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอน” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางเจี้ยนก็พยักหน้า
“เจ้าก็จงภาวนาขออย่าให้พวกมันเป็นอะไรก็แล้วกัน” เมื่อเขาเอ่ยจบก็สั่งให้คนของเขาไปอุ้มลูกสุนัขจิ้งจอกขึ้น แม่สุนัขจิ้งจอกเดิมทีก็ขู่คำรามใส่คนที่มาอุ้มลูกของมันแต่พอหยางเจี้ยนส่งเสียงห้ามปรามมันเบาๆ มันก็หยุดคำรามแล้ววิ่งไปคลอเคลียหยางเจี้ยนในทันที
“ถ้าเช่นนั้นข้ากับน้องชายต้องขอตัวก่อน หากลูกสุนัขจิ้งจอกฟื้นขึ้นมาแล้วมีอาการผิดปกติท่านสามารถส่งคนไปตามข้าที่จวนได้ทุกเมื่อ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางเจี้ยนก็แค่นเสียงในลำคอแล้วโบกมือให้นางด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนางจึงได้ย่อกายคารวะอำลาแล้วจึงได้พาน้องชายกลับจวน
เมื่อไปถึงจวนนางก็ยืนนิ่งมองหลินโม่วถูกชุยอวี้หลันเอาไม้ไล่ตีโดยไม่ช่วยเหลือ หากเป็นเมื่อก่อนนางคงจะออกหน้าช่วยน้อยชาย อีกทั้งยังแสดงท่าทีต่อต้านมารดาเลี้ยงอย่างดื้อรั้น แต่ยามนี้นางกลับเห็นพ้องต้องกันกับมารดาเลี้ยงว่าน้องชายของนางควรจะได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง
“พี่หญิง! เหตุใดคราวนี้ท่านจึงไม่ช่วยข้า” หลินโม่วเอ่ยพลางวิ่งมาแอบด้านหลังของนาง แล้วหลบหลีกไม้เรียวที่ตั้งใจจะฟาดใส่เขาของชุยอวี้หลันด้วยความคล่องแคล่ว
“หลินโม่ว อย่าหนีนะ” ชุยอวี้หลันเอ่ยพลางหอบออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย นางไล่ตีเขามาหลายถ้วยชาแล้ว น้อยครั้งนักที่จะตีถูกเขาทำให้นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ระวังนะ ระวังว่าท่านจะตีถูกพี่หญิงเข้า ถ้าพี่หญิงเจ็บตัวขึ้นมาจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่” หลินโม่วเอ่ยพลางหัวเราะออกมาแต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้รู้สึกสนุกสนานไปกับเขาด้วย คำพูดของเขาทำให้แม้แต่ชุยอวี้หลันยังหยุดนิ่ง หลินเหม่ยเหยาได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วเอ่ยกับน้องชายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าคงจะตามใจเจ้ามากจนเกินไป ให้ท้ายเจ้ามากจนหลงลืมตน มู่เหอ มู่จิ่นมาจับตัวเขาเอาไว้ ข้าจะดูสิว่าคราวนี้เขาจะหนีรอดไม่เรียวของแม่เล็กได้ไหม” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินโม่วก็ผงะถอยหลังไป แต่ก็ยังช้าไปกว่ามู่เหอและมู่จิ่นที่เข้ามาช่วยกันจับยึดแขนของเขาเอาไว้คนละข้าง
“แม่เล็กคือผู้ควบคุมดูแลจวนแห่งนี้ เป็นนายหญิงที่ทุกคนให้ความเคารพ ส่วนข้าแม้ว่าจะเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนแต่ก็ยังต้องให้ความเคารพนางในฐานะผู้อาวุโสในจวนที่คอยอบรมเลี้ยงดู ก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักคิดได้ตลอดไป เจ้าเองก็เช่นกัน เป็นคุณชายคนเดียวของจวน วันๆ ไม่สนใจศึกษาเรียนรู้ตำราวิชาแพทย์ก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้กาลเทศะเจ้าควรจะเรียนรู้เอาไว้ วันหน้าเมื่อเติบใหญ่เจ้าต้องพบกับผู้คนอีกมากมาย หากเจ้ายังคงพูดจาไม่คิดและไม่รู้กาลเทศะเช่นนี้วันหน้าเจ้าจะต้องเกิดเรื่องแน่” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินโม่วก็พลันน้ำตาคลอเต็มสองหน่วยตาในทันทีด้วยรู้แน่ชัดแล้วว่าวันนี้พี่สาวจะต้องไม่ช่วยเขาแน่
“แต่ข้ายังมีท่านพ่อคอยช่วยเหลือ แถมยังมีท่านคอยปกป้องแล้วข้ายังจะต้องระมัดระวังอะไรอีก” คำพูดของน้องชายทำให้คราวนี้หลินเหม่ยเหยาพลันมีน้ำตาเอ่อคลอเต็มสองตาไปด้วย
“หากวันหน้าท่านพ่อไม่อยู่แล้วเล่า ส่วนข้าเองก็ไร้ความสามารถไม่อาจจะปกป้องเจ้าได้ แล้วเจ้าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางคิดถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว ไม่เพียงไม่อาจจะช่วยบิดาได้ แม้แต่น้องชายและมารดาเลี้ยงนางก็สิ้นไร้หนทางที่จะช่วยเหลือ แม้ว่าจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์ในสำนักคุ้มภัยอยู่ในมือ แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักแล้วนางก็สิ้นไร้กำลังที่จะช่วยเหลือ กองกำลังของสำนักคุ้มภัยเล็กๆ มีหรือจะสู้กองกำลังอันยิ่งใหญ่ของแคว้นได้ ยังไม่นับว่านางไม่อยากจะดึงคนของสำนักคุ้มภัยมาเกี่ยวข้องกับเรื่องกบฏของบิดา สิ่งเดียวทำได้ก็คือนางจำต้องตัดความเกี่ยวข้องกับสำนักคุ้มภัย เพื่อให้ทุกคนในสำนักรอดพ้นจากข้อหากบฏ
“เช่นนั้นคราวหน้าข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ท่านก็อย่าได้หลั่งน้ำตาออกมาอีกเลย” เมื่อหลินโม่วเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาจึงได้รู้ว่ายามนี้บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ
“เอาเถอะๆ วันนี้จะละเว้นโทษโบยตีให้เจ้าสักครั้ง แต่ครั้งหน้าอย่าได้มีอีก หากมีอีกแม่จะสั่งให้คนช่วยกันจับตัวเจ้าส่งไปที่หอลงทัณฑ์ในทันที” ชุยอวี้หลันเอ่ยพลางโยนไม้ลงพื้นแล้วจึงได้หันมาทางหลินเหม่ยเหยา
“เอาล่ะคุณหนูใหญ่ท่านก็ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ข้าไม่ตีน้องชายของท่านก็ได้เพียงแต่ครั้งหน้าหากเขาทำผิดอีก คงต้องเป็นหน้าที่ของคุณหนูใหญ่ที่จะต้องลงทัณฑ์เขาจนกว่าเขาจะหลาบจำและไม่ทำอีก” คำพูดของชุยอวี้หลันทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังใช้ผ้าซับน้ำตาพลันชะงักไป ด้วยรู้ดีว่ายามนี้ทุกคนกำลังเข้าใจท่าทีของนางผิด คิดว่านางกำลังร้องไห้เพราะเกรงว่าน้องชายจะถูกลงโทษแต่นางก็ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดของทุกคน แถมยังยินดีที่จะได้เป็นคนลงไม้ลงมือกับน้องชายของตนเองอีกด้วย
“ในเมื่อแม่เล็กมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ข้าเช่นนี้ ข้าก็ยินดีจะทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ แม่เล็กวางใจเถิดข้าจะลงโทษเขาให้หนักกว่าที่แม่เล็กลงมือเสียอีก” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินโม่วเอ่ยวาจาประท้วงออกมาในทันที
“พี่หญิง! ท่านจะลงมือกับข้าได้ลงคอจริงหรือ” คำถามของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาพยักหน้าพลางเอ่ยวาจายืนยันในทันที
“ต้องอบรมให้หนักสักหน่อย ในเมื่อเจ้ายังแยกแยะไม่ออกว่าระหว่างลูกสุนัขกับลูกสุนัขจิ้งจอก ข้าก็ควรจะลงมือกับเจ้าให้หนักสักหน่อย” หลินเหม่ยเหยายืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในใจของนางคิดถึงภาพน้องชายที่เป็นหนุ่มน้อยแล้วในชาติที่แล้ว แม้ว่าจะเติบใหญ่แล้วแต่หลินโม่วกลับยังคงอาลัยอาวรณ์และพูดถึงลูกสุนัขที่ตนเองเคยอยากได้มาเลี้ยงในวัยเด็ก ทั้งๆ ที่เขามีสุนัขให้เลี้ยงตั้งหลายตัวแต่ก็เอาแต่บอกว่าไม่เหมือนลูกสุนัขที่เขาเคยอยากได้ ยามนั้นนางไม่เข้าใจแต่ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เหมือน ลูกสุนัขที่ชาวบ้านทั่วไปเลี้ยงจะนำไปเทียบกับลูกสุนัขจิ้งจอกที่หยางเจี้ยนเลี้ยงเอาไว้ได้อย่างไร...
ต่อให้หยางเม่าพยายามสั่งให้คนในจวนสกุลหยางห้ามพูดถึงเรื่องความผิดของหยางสุ่ยเซียน แต่มีหรือที่เขาจะสามารถทำได้ จวนสกุลหยางมีคุณชายห้าคนและมีคุณหนูถึงหกคน มีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ถือกำเนิดจากฮูหยินคนก่อนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ส่วนนอกนั้นล้วนเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากอนุเกือบทั้งสิ้น การแก่งแย่งชิงดีกันเองภายในจวนสกุลหยางดุเดือดไม่ต่างไปจากจวนขุนนางทั่วไปที่มีลูกหลานในจวนมากมายในจวนสกุลหยางมีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ไม่จำเป็นต้องลงไปแก่งแย่งชิงดีและประชันฝีมือด้วย ไม่เพียงชาติกำเนิดดีกว่าผู้อื่น แต่ก่อนที่ฮูหยินคนก่อนจะเสียชีวิตนางได้วางรากฐานให้บุตรชายและบุตรสาวเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งฮูหยินคนใหม่ก็ไม่ค่อยจะมีฝีไม้ลายมือเท่าใดนัก หากไม่พึ่งพาหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ก็แทบจะสู้รบตบมือกับผู้ใดไม่ได้เลย คุณหนูภายในจวนที่มีฝีไม้ลายมือมากที่สุดและได้รับความโปรดปรานรองจากหยางสุ่ยอวี้ก็คือหยางสุ่ยเซียน ดังนั้นพอหยางสุ่ยเซียนพลาดพลั้ง ย่อมมีคนรอที่จะเหยียบย่ำนางให้จมดินอยู่แล้วหลินเหม่ยเหยานั่งทบทวนความทรงจำที่ตนเองมีต่อสกุลหยางด้วยความตั้งอกตั้ง
นายท่านหยางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ คำพูดที่ว่าหากนางไม่ยั้งมือป่านนี้บุตรสาวของเขาคงจะตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกโกรธเคือง เขาจึงได้เอ่ยต่อว่าหลินเหม่ยเหยาออกมาตามตรง“คุณหนูใหญ่สกุลหลินคำพูดคำจาช่างโอหังเสียจริง ท่านรองหัวหน้าแพทย์หลวงหลินท่านดูบุตรสาวของท่านสิ ไร้มารยาทเช่นนี้วันหน้าจะมีสกุลใดอยากจะแต่งนางเข้าสกุลกัน” นายท่านหยางเอ่ยออกมาพลางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้เกรงกลัวและไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทนางย่อกายคารวะขออภัยด้วยท่วงท่าอันงดงามแล้วจึงได้เอ่ยตอบคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนน้อม“ต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่านหัวหน้าราชบัณฑิตหยางนะเจ้าคะ เพียงแต่คำพูดของข้าไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่หรือว่าแสดงความโอหัง แต่ข้าพูดตามความเป็นจริง ในยามปกติหากถูกทำร้ายข้าแค่โปรยยาพิษหรือไม่ก็ยาสลบก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่กับคุณหนูสามที่เคยเป็นสหาย ข้าลงมือทำร้ายนางไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ แต่หากไม่ลงมือคนที่ถูกตบหน้าคงจะต้องเป็นข้าแน่ ถึงอย่างไรโทสะที่ถูกคุณหนูสามหมิ่นแคลนวงศ์สกุลก็ยังคงอยู่จึงได้ไม่คิดจะออมแรงที่ฝ่ามือเจ้าค่ะ” คำพูด
ในขณะที่ทางจวนสกุลหลินกำลังพูดคุยถึงเรื่องน่ายินดีด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่มีให้กัน แต่ทางจวนสกุลหยางกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ หยางเม่าผู้เป็นนายท่านใหญ่สกุลหยางได้แต่นั่งปลอบใจอนุคนโปรดของตนเองและบุตรสาวคนที่สามที่ถือกำเนิดจากอนุผู้นี้ด้วยความปวดใจ“ท่านพ่อ! หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงตบใบหน้าข้า แต่ยังพูดจาดูหมิ่นเรื่องที่ข้าเป็นบุตรสาวของอนุ คำพูดของนางไม่เพียงดูถูกข้าและแม่เล็กของข้า แต่นางยังกล้าพาดพิงไปถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยพลางร่ำไห้ออกมา ยามนี้นางนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้านายท่านหยางด้านข้างของนางยังก็มีเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาแท้ๆ นั่งร่ำไห้อยู่เป็นเพื่อนท่าทีของสองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือทำให้สวีเยียนผู้เป็นภรรยาเอกคนที่สองของนายท่านหยางจำต้องยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเพื่อปกปิดรอยยิ้มของตนเอง ส่วนสายตาของนางก็จ้องมองสองแม่ลูกราวกับกำลังจ้องมองตัวตลกอยู่ นายท่านหยางยังคงโปรดปรานเฉินอี๋เหนียงอยู่ก็จริง แต่ยามนี้เฉินอี๋เหนียงมีอายุมากแล้วจะสู้นางที่อ่อนวัยกว่าอีกทั้งยังมีสกุลสวีคอยหนุนหลังอยู่ได้อย่างไร จริงอยู่ที่นางยังไม่มีบุตรธิดา แต่ในฐานะภ
หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าหยางสุ่ยเซียนไม่มีทางยอมถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ หลังจากที่สาวใช้ที่นางส่งไปจับตาที่เรือนหนิงฝูเข้ามารายงานว่าหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับมาถึงจวนแล้วและยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแห่งนั้นนางก็รีบตรงไปที่เรือนหนิงฝูเพื่อขอเข้าพบบิดาในทันที“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาหาพ่อจนถึงเรือนแห่งนี้ได้” หลินเจวี๋ยเอ่ยพลางยื่นมือรับถ้วยชาที่ชุยอวี้หลันส่งให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย“ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านพ่อและแม่เล็กทราบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นตระหนกยามที่คนสกุลหยางส่งคนมาเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยวางถ้วยชาลงในทันที“เกิดอันใดขึ้น เจ้าสามารถบอกกับพ่อมาได้ตามตรง” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที“วันนี้ข้าตบหน้าของหยางสุ่ยเซียนเจ้าค่ะ ยามนี้นางน่าจะเอาเรื่องที่ถูกข้าทำร้ายไปฟ้องนายท่านหยางผู้เป็นบิดาของนางแล้ว “คำพูดของนางทำให้หลินเจวี๋ยพลันขมวดคิ้วในทันที"นางล่วงเกินเจ้าหรือ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลแน่" คำพูดของบิดาทำให้นางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอย่างน้อยก็ยังมีบิดาของนางที่สามารถเ
หลังจากวันที่ได้พบกับหยางเจี้ยน หลินเหม่ยเหยาก็ไม่ได้ออกจากจวนอีก ทางจวนสกุลหยางเองนอกจากเทียบเชิญจากหยางสุ่ยเซียนแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากทางจวนสกุลหยางอีกเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นปลอดภัยดี“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสามสกุลหยางมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เสียงรายงานของสาวใช้ทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าหยางสุ่ยเซียนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหยางสุ่ยเซียนจึงได้พยายามจะพบนางให้ได้เช่นนี้ ทั้งที่นางก็ปฏิเสธทั้งเทียบเชิญและเทียบขอเข้าพบของหยางสุ่ยเซียนไปตั้งหลายครั้งแล้ว“ไปเชิญนางเข้ามาเถิด” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางก้มหน้าลงไปอ่านตำราในมือต่อ ยามนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้วนางจึงมักจะมานั่งอ่านตำราในศาลากลางน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัว สายลมที่พัดพาผ่านผิวน้ำทำให้อากาศรอบกายเย็นสบาย ดังนั้นในหน้าร้อนของทุกปีนางจึงชอบมานั่งเล่นในสถานที่แห่งนี้ ยามที่หยางสุ่ยเซียนเดินเข้ามาจึงได้แต่จ้องมองท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายของนางด้วยความริษยา“เหยาเหยา เหตุใดช่วงนี้เจ้าจึงได้ห่างเหินกับข้ากันเล่า หรือเป็นเพราะว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งผู้เป็นคู่หมาย
แม้ว่ายามนี้หยางเจี้ยนจะยังเป็นแค่เพียงคุณชายใหญ่ของจวนสกุลหยาง ยังไม่ใช่พระมาตุลาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเช่นในชาติที่แล้ว แต่รอบกายของเขากลับมีพลังอำนาจคุกคามบางอย่างที่แผ่กระจายออกมาแล้วทำให้ทุกคนต่างก็เกรงขามและหวาดกลัว สายตาอันคมกล้าคู่นั้นของเขาทำให้หลายคนไม่กล้าสบตา แต่คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วอย่างหลินเหม่ยเหยากลับจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางคิดในใจว่าทำอย่างไรดีนางและสกุลของนางจึงจะไม่มีเรื่องขัดแย้งกับคนผู้นี้“ข้าน้อยคือหลินเหม่ยเหยา บิดาของข้าคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงหลินเจวี๋ย ส่วนนี่คือน้องชายของข้าเป็นเพราะข้ากังวลว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นจะทำอันตรายเขาก็เลยลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นหนักมือไปหน่อย ขอคุณชายใหญ่ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะขออภัย หยางเจี้ยนได้แต่หรี่ตาลงเมื่อได้เห็นท่าทีของนางแม้ว่าจะดูอ่อนน้อมและขออภัยอย่างจริงใจแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเขาอย่างที่เด็กสาวคนอื่นๆ มักจะเป็น“คุณหนูใหญ่หลินเป็นสหายสนิทของคุณหนูสามจวนเราขอรับ
เมื่อตามตัวน้องชายได้แล้วหลินเหม่ยเหยาก็ตั้งใจว่าจะพาน้องชายของตนกลับ แต่มู่เปียวผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยคนปัจจุบันกลับรั้งให้นางอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องการแบ่งปันผลกำไรจากกิจการในช่วงนี้ นอกจากสำนักคุ้มภัยแล้วมารดาของนางยังทิ้งร้านค้าเอาไว้ให้นางอีกหลายร้าน แต่เพราะนางไม่ค่อยจะได้สนใจเรื่องการค้าชีวิตในชาติก่อนของนางจึงได้ขัดสนเรื่องเงินทองในยามที่ตนเองต้องประสบกับความยากลำบากในชาติที่แล้วพอนางแต่งเข้าจวนสกุลซ่งบรรดาร้านค้าเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ค่อยจะทำเงินให้นางจนผลสุดท้ายนางก็ขายทอดตลาดในที่สุด เงินที่ได้มาเป็นเงินจำนวนน้อยนิดที่นางพกติดตัวเอาไว้ ในยามที่บิดาต้องโทษมารดาเลี้ยงและน้องชายถูกคุมขัง นางแทบจะไม่มีเงินพอที่จะติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกเขาได้จนผลสุดท้ายนางจำต้องขายเครื่องประดับทั้งหมดของตนเอง จึงสามารถไปเยี่ยมเยียนได้แค่เพียงมารดาเลี้ยงและน้องชายเพียงเท่านั้น ส่วนบิดากว่านางจะรวบรวมเงินได้เขาก็ถูกประหารที่ลานประหารไปเสียแล้วมาชาตินี้นางรู้แล้วว่าชีวิตของนางไม่อาจจะขาดเงิน ดังนั้นยามที่มู่เปียวเชิญนางเข้าไปฟังเขารายงานผลกำไรทางการค้า นางจึงได้ให้ความสนใจก
เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลินเหม่ยเหยาสิ่งแรกที่หลินเหม่ยเหยาตั้งใจจะทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบให้เต็มที่ เดิมทีนางมีความเย็นชาต่อชุยอวี้หลันอยู่เป็นนิจ ต่อต้านทุกสิ่งที่ชุยอวี้หลันชี้นำให้นางทำ แต่ยามนี้สิ่งที่นางทำก็คือการทำตัวเป็นลูกเลี้ยงที่ดีเชื่อฟังคำชี้แนะของชุยอวี้หลันโดยไม่โต้เถียง“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้คุณหนูใหญ่จึงได้ทำตัวผิดแปลกไปเช่นนี้เล่า” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าเปลี่ยนไปมากเลยหรือ ข้าก็หลงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของข้าน่าจะทำให้แม่เล็กพึงพอใจได้เสียอีก” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงคัดอักษรตามบทคัดลอกที่ชุยอวี้หลันหามาให้“คุณหนูใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียินดีเชื่อฟังข้าเช่นนี้ข้าย่อมดีใจ เพียงแต่อยู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มันทำให้ข้าอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน มีผู้ใดพูดจาล่วงเกินท่านหรือว่ามีใครทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อมารดาเลี้ยงของนางเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าสิ่งที่แม่เล็กสอนสั่งอีกทั้งยังเข้มงวดกับข
ยามที่หลินเหม่ยเหยาลืมตาตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตนเองในสกุลหลิน สภาพแวดล้อมภายในห้องล้วนมีสภาพเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ปักปิ่น ในยามนั้นหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางยังคงเข้าออกห้องของนางโดยไม่ได้ถือสาเรื่องธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น“เหยาเหยา เจ้าดูนี่สิพ่อได้ฟู่จื่อมามากมาย เจ้าต้องช่วยพ่อตรวจสอบดูนะว่าพิษของมันถูกพ่อทำให้เจือจางลงไปจนหมดสิ้นแล้วหรือยัง” เสียงของหลินเจวี๋ยทำให้หลินเหม่ยเหยารีบขยับตัวลุกขึ้น ดึงม่านคลุมเตียงออกแล้วจ้องมองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ“ท่านพ่อ!” เสียงเรียกกับท่าทีของบุตรสาวไม่ได้ทำให้หลินเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขากำลังจดจ่ออยู่กับสมุนไพรที่เขาพึ่งจะได้มา“อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย ดูนี่สิฟู่จื่อนี่คุณภาพดีมากทีเดียว” หลินเจวี๋ยพูดพลางยื่นกล่องไม้ใส่สมุนไพรให้บุตรสาวดู แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่สนใจนางโผเข้าไปโอบกอดบิดาของตนเองแล้วร่ำไห้ออกมา“ท่านพ่อ ต้องโทษข้าที่มองคนไม่เป็น ทำให้ท่านและทุกคนในครอบครัวต้องได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย” ท่าทีของบุตรสาวทำให้หลินเจวี๋ยนิ่งงั