มือของเธอไม่ได้ขาวสะอาด วิชาแพทย์ที่เรียนไม่ใช่เพื่อรักษาคน แต่เมื่อเดินทางนี้ก็มีแต่เดินไปจนสุดทาง เฟิงซือจู ศัลยแพทย์สาวที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ตัดสินใจทิ้งชื่อเสียงไว้ข้างหลัง หอบหิ้วเพียงเงินทองเดินทางไปทั่วโลก กลับถูกลอบแก้แค้น.. ตื่นมาอีกครั้งก็อยู่ในร่างของซูเจินจู คุณหนูสี่บุตรีอนุที่กำเนิดจากภรรยารองตระกูลพ่อค้าที่พ่วงด้วยสัญญาสาวใช้อุ่นเตียง “ฐานะของเจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งฮูหยินของข้า” “เพ้ย ไม่คู่ควรแล้วข้าต้องง้อเจ้ารึ เข้าบ้านเจ้าก็ต้องหอบสมบัติข้าเข้าไป ยังต้องไปปรนนิบัติเจ้า ไม่สู้เจ้าแต่งเข้าบ้านข้า แค่เพียงล้างเท้าให้ข้าทุกคืน ข้าสัญญาว่าจะมีเจ้าเป็นสามีคนเดียว” ....... ว่าที่สามีเจ้าไปแล้ว ให้ข้าล้างเท้าให้เจ้าแทนดีหรือไม่ !!!!!!
View More“เด็กใหม่?”
“ไม่ใช่ ... เด็กคนนี้คือคุณหนูเฟิงซือจู ลูกสาวของ คุณซือฉือกับคุณฟางเหนียง”
“อ่อเด็กคนนั้น มีชื่อในใบสั่งตายแต่รอดชีวิตมาได้ เด็กกำพร้าวัยสองปีรึ เอามาไว้ที่ข้าเถอะ ข้าจะเลี้ยงให้เป็นนักฆ่าที่เก่งที่สุด”
“มาอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ฝากเจ้าเลี้ยงไว้ที่นี่ก่อน ผู้สังหารต้องการฆ่าล้างครอบครัว หลังจากจัดการคนพวกนั้นได้ ค่อยส่งคุณหนูให้นายท่านเฟิงหม่าจู”
“ถ้าฝากเลี้ยงแค่ชั่วคราวก็หาคนอื่นเถอะ”
“เจ้า!!!”
…
....
“คุณปู่ .. ทางนู้นมีทุ่งหญ้า แล้วก็มีดอกไม้เต็มไปหมด ภูเขาก็กว้างมากเลยค่ะ หลานชอบ” เด็กสาวตัวน้อยวิ่งมาด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจผู้มองพองโตเหมือนฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศรอบตัวอบอวลด้วยความสดใส มีชีวิตชีวา
“ถ้าเจ้าชอบ เจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะ ...” น้ำเสียงเจือความลำบากใจของเฟิงหม่าจูเอ่ยขึ้น พลันทำให้ผู้ติดตามก้มหน้ามองพื้นด้วยความสงสารเด็กน้อยที่ต้องตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยวัยเพียง 4 ปี
“นายท่าย ท่านหมอเหวิงและท่านหมอหยางมาถึงแล้วครับ”
“นายท่าน ครูฝึกเซียวมาถึงแล้วครับ”
“นายท่าน พ่อบ้าน แม่นม คนรับใช้ และผู้ดูแลทั้งหมด หนึ่งร้อยแปดชีวิตเข้าประจำที่คฤหาสน์ของตระกูลเฟิงเรียบร้อยแล้วครับ”
“อาจู … ปู่ให้เจ้าอยู่ที่นี่ เพื่อตัวเจ้า และเพื่อตระกูลเฟิงของเรา คนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เจ้าคือความหวังของพวกเราตระกูลเฟิงที่จะแก้แค้นให้พ่อของเจ้า จำคำพูดปู่ไว้นะอาจู แก้แค้น แก้แค้นตระกูลแต้ แต้เถียน คือคนฆ่าพ่อแม่ของเจ้า จำไว้ อาจู แค้นสังหารบิดามารดา หากทำไม่สำเร็จเจ้าจะตายไม่ได้ เจ้าต้องแก้แค้น ทำลายตระกูลแต้ เหยียบย่ำความพินาศของพวกมันเพื่อยืนหยัดนำพาตระกูลเฟิงให้มั่นคง” น้ำเสียงหนักแน่นเจือความเศร้าของผู้นำตระกูลเฟิงในตอนนี้ ทำให้ตระหนักถึงสถานการณ์อันหนักอึ้งของตระกูลเฟิง ที่ขาดผู้สืบทอดหลัก อนาคตหม่นแสงจนต้องฝากความหวังไว้ที่เด็กหญิงตัวเล็กถึงเพียงนั้น
ลูกหลานของเฟิงหม่าจูถูกลอบสังหารตั้งแต่สองปีก่อน ลูกชายทั้งสาม เฟิงซือเฉิน เฟิงซือฉือ เฟิงซือโฮ่ว หลานชายบ้านหลัก เฟิงหรู เฟิงหรง เฟิงรุ่ย หลานสาวบ้านรอง เฟิงซือฮวา เฟิงซือหลิน หลานสาวบ้านสามเฟิงซืออ้าย ถูกฆ่าตายทั้งหมด เหลือเพียงหลานสาวบ้านรอง เฟิงซือจู และหลานชาย บ้านสาม เฟิงซือเป่า
เฟิงซือจูและเฟิงซือเป่าถูกเลี้ยงไว้ที่คฤหาสน์ส่วนตัวของตระกูลทางเหนือและทางตะวันออก แต่ละวันผ่านไปด้วยความยากลำบาก ตื่นเช้าฝึกวรยุทธ ขี่ม้า ยิงปืน ยิงธนู ฝึกใช้มีด ฝึกการต่อสู้ทุกศาตร์ทุกแขนง ตกบ่ายเรียนเรื่องสมุนไพร ยาพิษ และการฝังเข็ม ตกดึกเรียนเรื่องธุรกิจการบริหารจวบจนผ่านไป 8 ปี แตกฉานเรื่องต่างๆ จึงติดตามอาจารย์เซียวเข้าไปลองให้ชีวิตบนภูเขา ชีวิตบนภูเขาไม่ง่าย ฝึกหาแหล่งน้ำ ฆ่าสัตว์หาอาหาร เอาตัวรอดยามหิว ยามเหนื่อย ยามง่วงนอน สำหรับเด็กอายุ 12 ล้วนเป็นโจทย์ที่ยากจะผ่านไปได้ แต่ละวันถูกเคี่ยวกร่ำ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ทั้งแผลจากกิ่งไม้ แมลงและสัตว์ร้าย ความอ่อนเพลีย อ่อนล้าจากร่างกาย พลาดกินพืชที่มีพิษ พลาดทิ้งร่องรอยไว้ให้สัตว์ร้ายตามติดหมายให้เฟิงซือจูกลายเป็นอาหาร ประสบการณ์1ปีบนภูเขากับอาจารย์เซียวยากจะลืมเลือน
“คุณปู่” “นายท่าน”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นพร้อมกันทั้งของอาจารย์และลูกศิษย์ทำให้เฟิงหม่าจูหลุดออกจากพวัง นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ เพราะภาระที่หนักอึ้ง แบกตระกูลเฟิงขึ้นไว้บนบ่าพยายามพาร่างชราให้เดินได้ไกลที่สุดเพื่อทายาทที่เหลืออยู่ทั้งสอง หากเขาล้ม หลานทั้งสองจะขาดที่พึ่งสุดท้าย ทรัพย์สมบัติของตระกูลจะต้องถูกไอ้พวกคนแซ่แต้ใช้อุบายยึดทุกอย่างไป ชีวิตชราของเขา เขาไม่เสียดาย แต่หลานทั้งสองจะถูกเหยียบย่ำไม่ได้ หลานทั้งสองต่างได้รับความรู้ของทุกศาสตร์ทุกแขนง ในวันหน้าเมื่อเกิดอะไรขึ้นหลานทั้งสองของเขาจะต้องเอาตัวรอด จะต้องไม่ถูกใครสังหารทิ้งอย่างง่ายดายเป็นผักปลาอีกแล้ว
“อาจู เป็นอย่างไรบ้าง บนเขาเป็นอย่างไร รีบมาเล่าให้ปู่ฟัง” เสียงอบอุ่นเจือความเอ็นดูทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าของ “อาจู” มีแรงเล่าเรื่องบนเขาให้คุณปู่ฟัง เสียงก้องกังวาล ลำดับเรื่องราว ท่าทางที่ใครๆต่างเห็นแล้วให้ความเอ็นดู ช่างเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเด็กหญิงที่กำลังโตคนนี้จริงๆ
หลังจากเฟิงหม่าจูออกจากคฤหาสน์ไปได้ไม่กี่วัน ครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่งก็เข้ามารับเฟิงซือจู ที่แท้ เฟิงหม่าจูมาเพื่อบอกให้เฟิงซือจูเริ่มแก้แค้น
“ได้เวลาแล้วสินะ ท่านพ่อ ท่านแม่ ฮวาเจี่ย หลินเจี่ย ข้าจะแก้แค้นแทนพวกท่าน และเอาของที่ควรจะเป็นของพวกเรากลับมาให้หมด”
ตระกูลเฟิงและตระกูลแต้ เป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจอาหารมาสี่รุ่น ธุรกิจเติบโต แรกเริ่มทั้งสองตระกูลเปิดฟาร์มไก่ส่งขายตามร้านค้าต่างๆ รวมถึงเปิดขายปลีกหน้าฟาร์มทั้งไข่และไก่จากวันละร้อยตัวขึ้นเป็นวันละพันวันละหมื่นจวบจนถึงวันละแสนตัวจึงปรึกษากันขยายฟาร์มรองรับใบสั่งซื้อที่มากขึ้น พื้นที่หลายพันหลายหมื่นไร่ได้ถูกกว้านซื้อ สิ่งก่อนสร้างผุดขึ้นไวเหมือนเสกสร้าง กิจการขยายใหญ่ไปถึงฟาร์มหมู ฟาร์มโค สินค้าแปรรูป ของสด ของแห้ง ส่งขายปลีก ขายส่งทั้งในและนอกประเทศ ดีลภัตคาร ร้านอาหารมากมาย ทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์อันดีช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาจนถึงรุ่นสาม ทายาทรุ่นสามของตระกูลแต้ มีเพียงแต้เถียน แต้เถียนและเฟิงหม่าจูมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เรียกได้ว่าเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน แต่เนื่องด้วยแต้เถียนเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลแต้จึงมีนิสัยเอาแต่ใจ สำมะเลเทเมา แพ้ไม่ได้ ลงไม่เป็น ถือตนเองเป็นใหญ่ และ ติดการพนัน เมื่อนานวันเข้าลักษณะนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ของแต้เถียนและเฟิงหม่าจูจึงทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองเหลือเพียงหุ้นส่วนธุรกิจ
แต้เถียนมีภรรยาสามคน อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน แต่ภรรยาทั้งสามไม่ได้ปรองดองกันนัก บ้านร้อนดั่งไฟทำให้แต้เถียนไม่ค่อยกลับบ้าน กินนอนในคาสิโน นานวันเข้ามีแต่เสียไม่มีได้ เงินหมื่นล้านก็ไม่พอให้ล้างผลาญ หน้ามืดเทขายหุ้นในมือจนหมด รู้ตัวอีกทีบริษัทที่บรรพบุรุษร่วมสร้างก็หลุดมือออกไปไม่มีวันกลับจึงเกิดอุบายหวังสมบัติตระกูลเฟิง ส่งมือสังหารหวังฆ่าล้างตระกูลแล้วส่งลูกของตนไปเป็นลูกบุญธรรมของเฟิงหม่าจู ความคิดยังไม่ทันสำเร็จ เฟิงหม่าจูก็รู้ตัวส่งมือสังหารอีกกลุ่มให้ไปช่วยคนในตระกูล เสียดายช้าไปเพียงก้าว เหลือเพียงลมหายใจของเฟิงซือจู และ เฟิงซือเป่า
สังหารมือสังหารของตระกูลแต้ทั้งหมดหลักฐานเพียงพอเอาผิดแต้เถียน แต่หลักฐานทั้งหมดกลับหายไปในขั้นตอนสุดท้าย อีกทั้งยังถูกตั้งข้อหาแจ้งความเท็จ อายัดทรัพย์สินบางส่วน ชื่อเสียงกระทบธุรกิจ ถูกเฝ้าจากเจ้าหน้าที่อย่างลับๆและอย่างโจ่งแจ้งทำให้กระดิกตัวลำบาก ที่น่าเจ็บใจคือหุ้นของเฟิงซือจือทั้งหมด ถูกขายให้ แต้เลี่ยงจิน ลูกชายเพียงคนเดียวของแต้เถียนกับจางเหว่ย ภรรยาลำดับสองบุตรีของนายตำรวจใหญ่ ในราคา 1 หยวน
แต้เลี่ยงจินรับนิสัยเด่นจากแต้เถียนและจางเหว่ยมาอย่างสมบูรณ์แบบ หนึ่งบุรุษสองภรรยา บ้านลับนับไม่ถ้วน หาไม่ได้แต่ใช้มาก หน้าใหญ่ใจใหญ่ มือเติบ และด้วยชีวิตเติบโตมากับมารดาที่เป็นบุตรีตำรวจใหญ่ทำให้ไม่เกรงกลัวใคร ใช้อำนาจก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน
เมื่อเป็นแค้นสังหารลูกหลาน ก็สมควรแก้แค้นด้วยสิ่งเดียวกัน เป้าหมายแรกคือ ลูกชายฝาแฝดของแต้เลี่ยนจินกับภรรยารองลี่ลี่ แต้เลี่ยงหรงและแต้เลี่ยงรุ่ย เด็กทั้งสองอายุเท่าเฟิงซือจู กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
เฟิงซือจูที่ถูกครอบครัวเสิ่นรับไปเข้าเรียนที่เดียวกับแต้เลี่ยงหรงและแต้เลี่ยงรุ่ย ด้วยชื่อเสิ่นเว่ย เพียง 7 วัน แต้เลี่ยงหรงอาหารเป็นพิษเฉียบพลันตายคาโรงอาหาร แต้เลี่ยงรุ่ยรีบวิ่งไปแจ้งข่าวพลาดตกบันไดเลือดคั่งในสมองถูกส่งตัวและหมดลมที่โรงพยาบาล
งานศพผ่านไปไม่นาน แต้หลินเยว่ภรรยาเอกของแต้เลี่ยงจินรับบุตรีบุญธรรมนามเสิ่นเว่ย เสิ่นเว่ยอยู่รับใช้ใกล้ชิด เป็นเด็กดีว่าง่าย รวมถึงออกอุบายดึงรั้งแต้เลี่ยงจินให้แต้หลินเยว่ โยกย้ายเงินทองทรัพย์สินของลี่ลี่ภรรยารอง เข้ามาที่แต้หลินเยว่รวมถึงหุ้นที่โกงมาจาก เฟิงซือฉือ ทำให้แต้หลินเยว่รักและเอ็นดูเสิ่นเว่ยจากใจจริง ด้วยต้องการมีบุตรชายให้เป็นผู้สืบเชื้อสายตระกูล แต้เลี่ยงจินจึงสรรหายาดีมาดื่มบำรุง เสิ่นเว่ยรับหน้าที่สรรหายาดีใช้เงินไปมากมายบำรุงอยู่ถึงสองปีไม่มีบุตรแต่กลับเป็นบุรุษไร้สมถภาพ ซ้ำตรวจพบว่าตนเป็นหมัน ด้วยตรอมใจบวกกับยาบำรุงของเสิ่นเว่ยครึ่งปีหลังจากนั้นแต้เลี่ยงจินก็ได้แค่นอนอยู่บนเตียงขยับได้เพียงลูกตาสองข้าง
เมื่อแต้เถียนมาเยี่ยมลูกชายกลับถูกสะใภ้รอง ลี่ลี่วางยาพิษในน้ำชา เมื่อตำรวจไปถึงพบศพของแต้เถียนนอนอยู่บนพื้น ลี่ลี่ที่นั่งอยู่ข้างศพอย่างเหม่อลอย พูดจาวกไปวนมาจับใจความไม่ได้ จึงลงความเห็นว่าเกิดจากความกดดันต่างๆรวมถึงตั้งแต่สูญเสียลูกชายฝาแฝดไปเมื่อสองปีก่อนทำให้เกิดอาการทางจิตไม่สามารถเข้ารับการไตร่สวนตามกระบวนการและถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวช
หลังจากนั้นสามเดือน ลู่เอิน จางเหว่ย และหลีน่า ภรรยาทั้งสามของแต้เถียนถูกจับขณะลักลอบขนยาเสพติดหนีออกนอกประเทศ ลู่เอินและหลีน่าถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต จางเว่ยใช้เส้นสายขอประกันตัวเพื่อสู้คดีและปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยัดเงินจำนวนมากเพื่อปิดคดีขณะเดินทางกลับจากศาลกลับหายตัวลึกลับไร้ร่องรอย ครอบครัวออกตามหานานกว่าสามเดือนจนมาเจอศพที่ถูกถลกหนัง แล่เนื้อ เลาะเส้นเลือด ตัดเส้นเอ็น ถูกแขวนไว้กลางภูเขา พื้นด้านล่างศพเต็มไปด้วยสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณไล่สัตว์ร้าย กลบกลิ่นเลือด เหมือนตั้งใจเก็บสภาพศพที่ถูกทรมานนี้ไว้ให้เป็นของขวัญทางสายตาแก่ใครบางคน
หลินเยว่ สะใภ้เพียงคนเดียวของตระกูลเย่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกใช้ชีวิหรูหราได้เพียงไม่ถึงเดือนถูกพบหมดสติภายในบ้าน หลังเข้าโรงพยาบาลกลายเป็นเจ้าหญิงนินทรา
เสิ่นเว่ย ทายาทโดยชอบธรรมเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ได้เซ็นยินยอมถอดเครื่องช่วยหายใจของหลินเยว่และขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลแต้ให้เฟิงซือจูและเฟิงซือเป่าในราคาหนึ่งหยวน
ในปีเดียวกัน ตระกูลเฟิงได้เปิดตัวทายาทรุ่นที่ห้า เฟิงซือเป่าในวัยยี่สิบปีและเฟิงซือจูในวัยสิบหกปี
เฟิงซือเป่าในวัยยี่สิบปีเข้ารับช่วงต่อบริษัทจากเฟิงหม่าจู
เฟิงซือเป่าในวัยยี่สิบห้าปี แต่งงานกับเจียงเล่อปาทายาทสายการบินเอกชนแห่งหนึ่ง
เฟิงซือเป่าในวัยยี่สิบเจ็ดปีมีทายาทคนแรก
เฟิงซือเป่าในวัยสามสิบปี เป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ขยายธุรกิจร้านค้าปลีก ร่วมเซ็นสัญญากับสายการบินของเล่อปาเพื่อขยายธุรกิจอาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมทานบนเครื่องบิน รวมทั้งเพิ่มธุรกิจขนส่งสินค้าผ่านสายการบินใต้ความร่วมมือของตระกูลเจียงฝั่งภรรยา
เฟิงซือเป่าวัยสามสิบสามปี มีครอบครัวที่อบอุ่น ลูกชายสามคน ลูกสาวหนึ่งคน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเจริญรุ่งเรื่อง.. ตลอดไป
เฟิงซือจูในวัยสิบหกปีเข้าศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์ตะวันตกด้วยการสอบเทียบ และจบการศึกษาในวัยยี่สิบเอ็ดปี ศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทางออร์โธปิดิกส์(เป็นสาขาเฉพาะทางหนึ่งของศัลยศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก ข้อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อต่างๆของร่างกาย) และจบการศึกษาในวัยยี่สิบสามปี
เฟิงซือจูในวัยยี่สิบสามศึกษาต่อแพทย์แผนจีนระยะสั้น
เฟิงซือจูในวัยยี่สิบห้าปีเข้าทำงานที่โรงพยาบาลอันดับหนึ่งของประเทศในแผนกศัลยศาสตร์
เฟิงซือจูในวัยยี่สิบเจ็ดปี ขึ้นเป็นฝ่ายผู้บริหารโรงพยาบาล ผลักดันการรักษาควบคู่ระหว่างแพทย์แผนตะวันตกกับแพทย์แผนจีน
เฟิงซือจูในวัยสามสิบปี ทิ้งชื่อเสียงไว้ข้างหลัง พกเพียงเงินทองออกเดินทางท่องเที่ยวรอบโลก
“ทุกพื้นที่ พื้นถิ่น ต้องย่ำถึง แม้โน้มตัว ก็ต้องไปถึงที่ ศึกษาชีวิตด้วยวิถี ศึกษาวิถีด้วยอาหาร อาหารคือสิ่งสะท้อนชีวิตขอแต่ละพื้นถิ่นเป็นอย่างดี ลองชิม ลองชม ลองสัมผัส ลองจำ ลองทำ ลองพัฒนา ทั้งหมดที่กล่าวคือวิถี”
เฟิงซือจูในวัยสามสิบสามปี เสียชีวิต …
วันถัดมาในยามเฉิน เฟยอวี่เข้ามาหาซูเจินจูเพื่อรายงาน“คุณหนู บ่าวสืบข่าวมาได้เล็กน้อยเจ้าค่ะ พ่อค้าต่างแคว้นหลายคนเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวง ของมีค่าหลายอย่างถูกขนเข้าเมืองหลวงผ่านขบวนขนสินค้า จุดหมายคือตรอกถงยู่ ที่เป็นแหล่งจัดงานประมูลของตลาดมืด นี่เป็นของรายการของส่วนหนึ่งที่บ่าวได้มาจากบัญชีส่งสินค้าเจ้าค่ะ”“งานประมูลของตลาดมือหรือ น่าสนใจ เจ้ารู้เรื่องงานนี้ดีแค่ไหน”“บ่าวเคยได้ยินว่าเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อประมูลของหายาก มีทั้งโสมพันปี อาวุธต่างๆ หยกม่วง หินแร่ รวมถึงหัวของผู้ครองแคว้นก็เคยถูกนำมาประมูลเจ้าค่ะ การจะเข้าร่วมประมูลได้ต้องจ่ายเงินค่าเข้าคนละหนึ่งพันตำลึง และหากมีของที่ต้องการนำเข้าประมูลก็นำของไปประเมิณได้เช่นกันเจ้าค่ะ”“เจ้าทำงานได้ดีมาก พักสักหน่อยแล้วออกเดินทางไปรอข้าที่เมืองหลวง สืบข่าวเรื่องการประมูลให้ข้า และจองโรงเตี๊ยมที่ปลอดภัยที่สุดเอาไว้ให้เพียงพอกับคนของเรา ข้าจะพาสี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยหรง เฟยเมี่ยว หลิวหยาง จางหมิ่นไป”“บ่าวรับคำสั่งคุณหนูเจ้าค่ะ” เฟยอวี่รับตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงจากซูเจินจูก่อนจะออกจากห้องไป คล้อยหลังเฟยอวี่ออกไปไม่ถึงหนึ่งเค่อซูเจินจูก็ตรง
“เฟยอวี่ การเข้าเมืองหลวงต้องใช้ป้ายผ่านเข้าเมืองด้วยหรือ”“จริงๆแล้วไม่ต้องใช้เจ้าค่ะคุณหนู แต่ชาวบ้านทั่วไปหากต้องการผ่านเข้าเมืองหลวงจะต้องเสียอีแปะเป็นค่าผ่านทางให้กับทหารเฝ้าประตู เสียเยอะหรือเสียน้อยแล้วแต่ว่าผู้เฝ้าประตูเป็นใคร ส่วนป้ายผ่านเข้าเมืองเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้นเจ้าค่ะ ในความเป็นจริงแล้วป้ายพวกนี้มีขึ้นเพื่อให้คนมีเส้นสายสามารถผ่านเข้าออกเมืองโดยไม่ต้องเสียอีแปะ ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องตรวจค้นสัมภาระอย่างละเอียดและได้รับความเคารพจากทหารเฝ้าประตู รวมถึงป้องกันไม่ให้พวกทหารสร้างปัญหากับพวกคนรวยและขุนนางด้วยเจ้าค่ะ”“อ่อ แค่ยื่นป้ายออกไปก็ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยแล้วสินะ ช่างดีจริงๆ”“นายน้อยหงคงเหลือเส้นสายอยู่ไม่น้อยถึงขนาดใจกว้างทำป้ายให้คุณหนูได้ง่ายๆ”“เขาเห็นข้าเป็นโอกาสที่จะช่วยร้านผ้าฟู่หงเทียนกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งต่างหาก เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ออกไปสืบข่าวดูสักหน่อยก็ได้ ไปเมืองหลวงครั้งนี้ข้าจะพาเจ้า สี่เสวี่ย หลิวหยาง จางหมิ่น เฟยหรง เฟยเมี่ยว และเฟยหลันไปด้วย บอกเพ่ยเพ่ยกับเยว่ชิงเสียแต่เนิ่นๆให้นางได้เตรียมตัวจัดการงานและดูแลเรื่องต่างๆทั้งหมดที่นี่ตอนที่พวกเรา
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล
“องค์ชายหก ท่านช่างเป็นดาวนำโชคของพวกข้านัก” ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเซียวพูดขึ้นขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวที่ปูทับด้วยเบาะรองนั่งขนกระต่าย เบาะรองนี้ซูเจินจูสั่งให้ซินเซียงทำขึ้นจากขนกระต่ายสีอื่นๆเย็บติดสวมทับเบาะด้านในที่ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายยัดใส่ด้วยนุ่นที่ซื้อไปจากตำบลอีกที ที่สี่มุมผูกด้วยพู่หลากสีที่ทำขึ้นด้วยพู่ไหมจากเผ่าเจี๋ยที่ซูเจินจูได้รับมาจากนายท่านซูเมื่อครั้งออกไปทำการค้าต่างแคว้น“นั่นสิเพคะ หากไม่มีพระองค์พวกหม่อมชั้นคงต้องต่อแถวยาวหลายลี้ ตากแดดตากลมอยู่ด้านนอกเสียแล้ว” ผิงเหม่ยเหรินพูดขึ้นขณะพยักเพยิดไปท่างลี่รุ่ยเซียงสหายรักแต่ยังไม่ทันที่ลี่รุ่ยเซียงจะได้พูดอะไร องค์ชายหกก็หันกลับไปพูดคุยกับหญิงสาวอีกคนที่นิ่งเงียบมาตลอด“จิวอิง เหตุใดเจ้าจึงเงียบนัก คนงานนั่นก็บอกแล้วว่าเป็นถุงหอมหมื่นลี้ ไม่ใช่ผ้าไหมหอมหมื่นลี้เสียหน่อย หรือเจ้ากลัวว่าพวกข้าติดใจผ้าไหมหอมหมื่นลี้จนลืมผ้าไหมหยกของเจ้า”“หามิได้เพคะ ขอเพียงองค์ชายหกทรงพอพระทัย หม่อมฉันจะกล้าไม่พอใจได้เช่นไร”“คุณหนูเจ้าคะ มีกลุ่มคุณหนูคุณชายดูว่าจะมาจากเมืองหลวง อ้างตัวว่าเป็นองค์ชายหก ตอนนี้บ่
เช้าวันต่อมา หลิวหยางรับหน้าที่ขับรถม้าคันใหม่พาซูเจินจู สี่เสวี่ย เฟยหลัน และเฟยอวี่เข้าพบฮูหยินนายตำบลที่จวนนายตำบลเป่ย เมื่อมาถึงหน้าจวนนายตำบลหลิวหยางลงไปแจ้งกับคนเฝ้าประตูว่าคุณหนูของตนแซ่ซูชื่อเจินจูนำผ้าไหมหอมหมื่นลี้มาขอเข้าพบฮูหยิน พร้อมให้เงินหนึ่งตำลึงแก่คนเฝ้าประตู เงินหนึ่งตำลึงเร่งฝีเท้าคนให้ไวได้ดังม้า ไม่ถึงสองเค่อคนเฝ้าประตูก็ออกมาเปิดประตูให้ให้รถม้าเข้าไปซูเจินจูสวมชุดผ้าไหมหยกสีขาวปักลายนกกระยาง ลายปักละเอียดเพียงดูผ่านๆก็ยังสามารถรู้ได้ว่าเป็นงานปักชั้นสูง ผมรวบขึ้นอย่างประณีตปักด้วยปิ่นหยกขาวเนื้อดีหนึ่งคู่ที่ดูเข้ากันได้ดีกับกำไลหยกขาวที่ข้อมือ ผิวขาวราวหยก ขนตาเป็นแพหนาสีดำ ปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อยิ่งทำให้ซูเจินจูงดงามจนคนที่ได้เห็นไม่สามารถละสายตาไปได้สี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยอวี่ ผู้ติดตามทั้งสามคนสวมชุดผ้าไหมเฉกเช่นคุณหนูจากจวนใดจวนหนึ่ง เฟยหลันที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าหายดีแล้วยิ่งดูงดงามและลึกลับเมื่อสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน ปักด้วยปิ่นเงินลายดอกหลันฮวาเดินคู่มากับเฟยอวี่ในชุดผ้าไหมสีเดียวกันรวมผมขึ้นอย่างเป็นระเบียบปักด้วยปิ่นเงินลายเมฆา สี่เสวี่ยที่ตามรับใช้ใกล้ชิ
ซูเจินจูฝั่งร้านผ้าซูเตี้ยนได้สั่งให้คนงานไปซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้ของร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนมาหนึ่งพับ เมื่อสำรวจดูแล้วพบว่ากลิ่นของผ้าไม่ใช่กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้แต่เป็นกลิ่นของดอกเหมย อีกทั้งลายผ้าไม่คมชัดคงเป็นการวาดลายลงไปโดยตรง การใช้สีอ่อนเช่นนี้จะทำให้ลายผ้ามีสีซีดได้ง่าย อีกทั้งกลิ่นดอกเหมยไม่สามารถเกาะติดผ้าได้ดีเท่ากลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ เวลาผ่านไปสักพักกลิ่นก็คงจางหายไปเอง ดังนั้นผ้าไหมพวกนี้ไม่สามารถนับเป็นคู่แข่งอย่างแท้จริงได้หลงจู๊ฝูที่ออกไปสืบข่าวด้วยตนเองกลับมาพบนายท่านซูละซูเจินจูด้วยสีหน้าสบายใจ“เห็นทีว่าคุณหนูจะพูดถูกทุกอย่างเลยขอรับ ผู้ที่ซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้จากร้านเฉินอี้เตี้ยนไปกลับมาโวยวายที่ร้านเหตุเพราะเพียงนำผ้าไปซักเท่านั้น กลิ่นที่ควรมีก็ไม่มีอีกต่อไป เห็นทีว่าร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนจะเสียชื่อเสียครั้งใหญ่เป็นแน่”“เช่นนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย เอาล่ะ เมื่อหมดเรื่องแล้วเห็นทีว่าถึงเวลาไปเอาผ้าเสียที เจ้าล่ะ อาจู จะไปเอาผ้าหอมไหมหมื่นลี้อีกเมื่อใด”“ข้าให้เฟยหลันไปเอาผ้าแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็คงนำผ้ากลับมาแล้ว เห็นทีว่างานปักงานแรกคงเป็นการตีตราร้านลงบนผ้าเสียแล้วน
“คุณหนู บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เฟยหลันมองเฟยหมิงที่อยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ลมหายใจของนางดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูรักษานางได้จริงๆซูเจินจูรับเข็มเงินและโถบดยาไปก่อนจะสั่งให้เสี่ยวเหลียนนำเข็มเงินไปต้มในน้ำร้อนและให้เฟยหลันกรีดผ้าที่ขาของเฟยหมิงออก“กระดูกขาของนางแตก หากนางทนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับขาสักสามเดือนขาของนางก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม”“นางยังจะกลับมาเดินได้อีกหรือเจ้าคะ”“ต้องนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ไปก่อนสามเดือน หากขยับเขยื้อนก่อนหน้านั้นก็อาจจะเดินไม่ได้”“คุณหนูเหมือนหมอเทวดาเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าจะร้องไห้ทำไม ไอหย๋า ข้าแพ้น้ำตาของพวกเจ้านัก หยุดร้องเถอะข้าจะให้เสี่ยวเหลียนไปซื้อขนมให้เจ้ากิน”“คุณหนู บ่าวแค่ดีใจมากไปเจ้าค่ะ แต่เดิมบ่าวแค่ต้องการฝังศพนางให้ดีเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าคุณหนูดึงวิญญาณนางกลับมาจากนรกได้”“เพ้ย เจ้านี่ ตายแล้วไม่ให้นางขึ้นสวรรค์แต่กลับให้นางไปลงนรก เอาล่ะๆ เจ้าไปบดยากองนั้นเถอะ เดี๋ยวข้าฝังเข็มเสร็จแล้วต้องพอกยาให้นาง”“ทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ มัน เยอะมากเลยนะเจ้าคะ”“ทั้งหมดนั่นแหละพอกทั้งขาแล้วเอาผ้ามาพันเข้ากับไม้แผ่นเสียหน่อย กระดูกจะได้ไม่เคลื่อนที่มากนัก”
Comments